พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 850 ในที่สุดก็ได้อุ้มลูก
นัทธีวางมือบนศีรษะของลูกคนละข้าง มองดูไปทางวารุณี กระตุกมุมปากขึ้นแล้วพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “หม่ามี๊ของพวกลูกฉลาดมากขนาดนั้น แค่ให้คำใบ้เธอนิดหน่อย เธอก็จะเดาได้ทันทีว่าสุขใจอยู่ตรงนี้”
ถึงเมื่อเขาไม่ให้คำใบ้เธอ สุดท้ายเธอก็จะรู้ได้เองว่าสุขใจอยู่ที่นี่
เพียงแค่ เวลาอาจช้าหน่อยเท่านั้น
อารัณรีบพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “คุณพ่อพูดถูกครับ หากหม่ามี๊ไม่ฉลาด ก็คงกำเนิดลูกที่ฉลาดแบบผมไม่ได้”
“พี่ชายนี่หลงตัวเองจริงๆนะคะ ” ไอริณมองตาขวางใส่เขา
อารัณเบิกตากว้าง “น้องกล้าบอกว่าพี่หลังตัวเองเหรอ อีกอย่าง น้องรู้คำว่าหลงตัวเองมาจากไหน” ไอคิวของไอริณจะเหมือนเด็กทั่วไป เพียงแต่แขนขาของเธอมีการเจริญเติบโตได้ดีเท่านั้น
ดังนั้นการที่ไอริณสามารถพูดคำว่าหลงตัวเองออกมาได้ เขาประหลาดใจเป็นอย่างมาก
ไอริณกะพริบตาแล้วพูด “โค้ชพูดค่ะ โค้ชบอกว่าคนที่ชอบชมตัวเอง นั้นเป็นการหลงตัวเอง แม้การฝึกซ่านโฉ่วของวังเตจะทำได้ไม่ดีเท่าหนูแต่เขาก็ชอบบอกว่าเขาฝึกได้ดีที่สุด ดังนั้นโค้ชจึงบอกเขาหลงตัวเอง”
อารัณกระตุกมุมปาก“ไอริณ คำนี้เธอต้องรีบลืมมันไปซะ”
“ทำไมคะ” ไอริณถามอย่างสงสัย
อารัณยืดอกขึ้นแล้วพูด “เพราะวัยของเธอไม่เหมาะกับการใช้คำพวกนี้”
“แต่พี่คะ พี่ก็อายุเท่ากับหนูไม่ใช่เหรอคะ”
“พี่ไม่เหมือน” อารัณหึอย่างภาคภูมิใจ “น้องยังเป็นนักเรียนอนุบาล พี่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแล้ว อายุจิตใจของพวกเรามันต่างกัน”
เขาทำท่าสูงมาก “อายุจิตใจพี่ สูงกว่าน้องเยอะแบบนี้เลย”
ไอริณเบะปาก “ปกติพี่ก็เหมือนหนูไม่ใช่เหรอคะ ไม่เห็นอายุจิตใจพี่จะสูงไปถึงไหนเลย”
“ฮ่าๆๆ” เมื่อได้ลูกทั้งสองโต้เถียงกัน นัทธีก็อดที่จะขำไม่ได้ หลังจากก็ส่ายหัวอย่างทำอะไรไม่ได้
ก็จับมือลูกทั้งสองคนไว้ “พอได้แล้ว หยุดพูดเรื่องพวกนี้ พวกเราไปดู หม่ามี๊กับสุขใจดีกว่านะ”
“ได้ค่ะ ไปดูน้องกัน” ไอริณเมื่อได้ยินว่าจะไปดูสุขใจ ก็ดีอกดีใจขั้นมาทันที
เธอชอบน้องชายมากจริงๆ
อารัณก็เป็นเช่นนั้น รีบพยักหน้า แล้วดึงมือนัทธีไปทางนั้น “คุณพ่อ พวกเรารีบไปกันเถอะครับ
นัทธีอือตอบ พาลูกสองคนไปทางที่วารุณีอยู่
ในขณะนี้ วารุณเดินมาอยู่หน้าประตูที่ปิดสนิทแล้ว เธอยื่นมือไปจับลูกบิดประตู แล้วหายใจเข้าลึกๆ พยายามที่กลั่นไม่ให้หัวใจเต้นเร็ว หลังจากก็บิดแรงๆ เปิดประตูออก ภายในห้องมืดเล็กน้อย เป็นเพราะไม่ได้เปิดไฟ
แต่วารุณีไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เธอได้กลิ่นน้ำนมจากภายในอากาศ ที่มันชัดเจนยิ่งขึ้น
กลิ่นนี้ ยิ่งทำให้เธอมั่นใจมากขึ้น ว่าสุขใจอยู่ที่นี่
เมื่อคิดแล้ว ลมหายใจวารุณีร้อนรนขึ้นอีกครั้ง เธอยกมือขึ้น เปิดไฟที่อยู่ข้างประตู
ไม่นาน ไฟส่องสว่างทั่วห้อง
วารุณีเห็นข้างเตียงใหญ่ในห้อง มีเปลเด็กสีน้ำเงินหรูอยู่เตียงหนึ่ง
เมื่อมองผ่านราวเปล เธอสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าในเปลมีบางอย่างนูนขึ้น
เธอรู้ว่านั้นคือสุขใจ
มือทั้งสองของวารุณีกำไว้แน่ เพราะความร้อนรนภายในใจ ทำให้ร่างกายไม่สามารถหยุดสั่นได้
ในเวลาเดียวกัน ขาทั้งสองข้างที่สั่นของเธอ ก็ก้าวเดินไปทางเปลเด็กด้วยความสั่น
เมื่อเดินไปถึงข้างเปลเด็ก วารุณีก้มหน้ามอง เป็นไปอย่างที่คาดไว้ ข้างในมีเด็กคนหนึ่ง กำลังหลับตาพริ้ม นอนอย่างสบาย
แม้หน้าตาเด็กน้อย จะแตกต่างจากสุขใจเมื่อเดือนกว่าที่เธอเคยเห็น แต่เธอรู้ ว่านี่คือสุขใจ
ความเกี่ยวพันทางสายเลือดนั้นไม่สามารถโกหกเธออยู่แล้ว
ยิ่งกว่านั้น เด็กน้อยมีการเปลี่ยนแปลงทุกวันอยู่แล้ว ผ่านไปเดือนกว่า สุขใจก็ต้องโตขึ้นเล็กน้อยอยู่แล้ว
“สุขใจ……”มือทั้งสองข้างวารุณีจับราวเปลเด็กไว้แน่ น้ำเสียงเพราะเป็นดีใจเกินไป จึงทำให้สั่นเครือและสะอื้น
ตั้งแต่สุขใจเกิดมา เธอก็ต้องค่อยเป็นห่วงสุขใจอยู่ตลอดเวลา และค่อยคิดถึงสุขใจตลอดเวลา แต่เพราะสุขใจต้องค่อยนอนอยู่ในตู้อบตลอดเวลา ดังนั้นจึงทำให้เธอไม่สามารถเจอสุขใจได้ทุกวัน และไม่สามารถอุ้มเขาได้
แต่ในใจของเธอ กลับไม่เคยลืมที่จะอธิษฐานกับเทพสวรรค์ ขอให้เทพสวรรค์ปกป้องคุ้มครองสุขใจให้สุขใจออกจากตู้อบโดยเร็วที่สุด เพื่อให้พวกเขาสองแม่ลูกได้อยู่ด้วยกันเร็วที่สุด
ในช่วงหลายเดือนที่สุขใจอยู่ในตู้อบ เธออยากอุ้มสุขใจ อยากจูบสุขใจจนแทบบ้า
แต่เธอรู้ดี ว่าถึงอยากยังไงก็ไม่สามารถทำได้ เพราะสุขใจ ยังไม่สามารถออกมาได้
ดังนั้นเธอทำได้เพียงยับยั้งความคิดถึงของตัวเองที่มีต่อสุขใจ ให้ตัวเองไม่ไปคิด แบบนี้เธอถึงจะไม่ถูกความเจ็บปวดนี้ทรมาน
แต่เพราะกาลเวลาที่ผ่านไปแต่ละวัน เธอก็รู้ว่าระยะเวลาที่สุขใจอยู่ในตู้อบมันสั้นลงไปทุกทีแล้ว โดยเฉพาะช่วงเวลาที่แข่งขันนี้ เธอค่อยแต่นับเวลาอยู่ทุกวัน นับเวลาที่สุขใจจะออกจากตู้อบ
จนถึงขั้นที่ว่า ทุกวันที่เธอตื่น สิ่งแรกที่ทำ ไม่ใช่การล้างหน้าแปรงฟัน แต่เป็นการฉีกหน้าปฏิทิน ใช้วิธีนี้มาเตือนสติของตัวเอง ว่ายังเหลือเวลาเท่าไหร่ที่สุขใจสามารถออกจากตู้อบได้ และตัวเองเหลือเวลาเท่าไหร่ ที่สามารถอุ้มสุขใจได้
ตอนแรกเธอคิดว่า รอให้ตัวเองแข่งขันทางนี้เสร็จแล้วกลับประเทศ ก็สามารถเห็นสุขใจออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว
แต่สุดท้ายไม่คิดเลยว่า ตารางเวลาในการแข่งขันมีการเปลี่ยนแปลง การแข่งขันของพวกเธอต้องจบก่อนล่วงหน้า
แต่ว่าเป็นแบบนี้มันก็ดี จบก่อนล่วงหน้า เธอก็สามารถกลับประเทศก่อนล่วงหน้าได้ และก่อนที่สุขใจจะออกจากโรงพยาบาล เธอก็สามารถไปหาสุขใจที่โรงพยาบาลทุกวันได้
แต่ตอนนี้ เธอยังแข่งขันไม่เสร็จ สุขใจกลับออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว แถมยังมาปรากฏตัวต่อหน้าเธอด้วย แบบนี้จะให้เธอทนไหวได้ยังไง
วารุณีไม่สามารถกลั้นความดีใจได้อีกต่อไป ยื่นมือไปอุ้มสุขใจ แล้วร้องไห้ออกมาด้วยความตื่นเต้น “สุขใจ……”
เธอลูบหน้านุ่มนิ่มของลูกชายตัวน้อยด้วยความรักที่เหลือล้น ด้วยใบหน้าที่ทั้งยิ้มทั้งร้องไห้
เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ความฝัน นี่คือสุขใจจริงๆ
สวรรค์รู้ เธอกลัวแค่ไหนว่าสุขใจตรงหน้าจะเป็นเพียงการจินตนาการของเธอ หรือเป็นแค่การฝันของเธอเท่านั้น
แต่มันดีตรง นี่เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ความฝัน นี่เป็นสุขใจของเธอจริงๆ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ วารุณีก็กอดสุขใจแน่นขึ้น
อาจเป็นเพราะเธอตื่นเต้นมากเกินไป หรือเป็นเพราะเสียงร้องไห้เพราะความดีใจของเธอ ปลุกสุขใจตื่น
เขายังไม่ลืมตา ก็เบะปาก แล้วร้องไห้ออกมา
เสียงร้องไห้ทำให้ความตื่นเต้นของวารุณีกลายเป็นสงบลง หลังจากนั้นก็รีบอุ้มลูกขึ้นมาจากเปลเด็ก อุ้มไว้ในอ้อมอกแล้วตบปลอบเบาๆ “สุขใจเด็กดี สุขใจไม่ร้อง หม่ามี๊ผิดเอง หม่ามี๊ทำลูกตื่น หม่ามี๊ขอโทษนะลูก สุขใจไม่ต้องร้อง หม่ามี๊อยู่นี่ หม่ามี๊อยู่นี่”
เธอปลอบไปด้วย ก็ก้มหน้าจูบหน้าผากและใบหน้าสุขใจไปด้วย
อาจเป็นเพราะสายใยแห่งแม่ลูก หลังจากที่วารุณีปลอบไปได้ไม่นาน สุขใจก็ค่อยๆหยุดร้องไห้ และลืมตาขึ้นช้าๆ ใช้ดวงตากลมโตที่แดงก่ำจากการร้องไห้ และมีน้ำตาคลอเบ้าจ้องมองวารุณี จากนั้นก็ยิ้มออก แล้วเปล่าเสียงเด็กที่ฟังแล้วน่ารักเป็นอย่างมากออกมา
เมื่อเห็นเช่นนี้ อย่างแรกคือวารุณีตะลึงไปก่อน จากนั้นก็ตื่นเต้นอย่างดีใจขึ้นมา “สุขใจลูกยิ้ม สุขใจยิ้มให้หม่ามี้”
นี่เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเกินไปแล้ว
การเกิดของสุขใจเมื่อเทียบกับเด็กปกติทั่วไปแล้ว ตอนนี้อาจยังไม่เกิด
เพราะฉะนั้นเด็กแบบนี้ น่าจะยังยิ้มไม่ได้ถึงจะถูก
แต่ว่าความจริงเป็นเช่นนี้แล้ว สุขใจของเธอ กลับยิ้มออกมา
นี่ทำให้วารุณีช็อก และดีใจเป็นอย่างมาก
สุขใจยิ้มได้ ซึ่งก็หมายความว่าระบบความรู้สึกของเขา กำลังพัฒนาตามปกติ
“สุขใจ ลูกเก่งมาก ลูกยิ้มได้ด้วย คุณสามี คุณเห็นหรือยัง ว่าสุขใจยิ้มได้”