พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 851 มอบรางวัล
พอได้ยินเสียงฝีเท้า วารุณีก็รู้ว่าเป็นเสียงของนัทธี เธอที่กำลังอุ้มสุขใจอยู่จึงหันกลับมาทันที และพูดกับนัทธีด้วยความตื่นเต้น
นัทธีเดินเข้ามาและหยุดยืนที่เธอ มองลงมายังสุขใจในอ้อมแขนของเธอ พลางกล่าวเบาๆ “ผมเห็นแล้ว สุขใจหัวเราะจริง ๆ ด้วย”
“หม่ามี๊หม่ามี๊” ไอริณกระโดดดึ๋งๆ ไปที่ข้างเท้าของนัทธี จากนั้นยกมือเล็กๆ ขึ้นพลางกล่าวว่า “หม่ามี๊ ผมรู้ว่าน้องชายหัวเราะได้ เมื่อกี้ตอนที่เรามาที่นี่ น้องก็หัวเราะตอนอยู่ในรถ”
“จริงๆ นะหม่ามี๊ ผมเป็นพยานได้” ไอริณพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงเห็นด้วย
นัทธียื่นนิ้วชี้ออกไปแตะใบหน้าน้อยๆ ของสุขใจ “สิ่งที่เด็กสองคนพูดนั้นเป็นความจริง ตอนเราเพิ่งมาถึงที่นี่ สุขใจก็ตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนผม แถมยังหัวเราะอีก ผมคิดว่าเขาอาจจะรู้ว่าคุณอยู่ที่นี่จึงตื่นขึ้นมา คงอยากเห็นคุณ และอยากยิ้มให้คุณโดยเฉพาะน่ะ”
“จริงหรือ สุขใจใจดีจังเลย หม่ามี๊รักลูกนะ” หลังจากฟังคำพูดของสามีและลูกๆ ทั้งสอง แววตาวารุณีที่มองสุขใจจึงยิ่งประหลาดใจปนดีใจ จากนั้นก้มลงจูบสุขใจ
สุขใจหัวเราะคิกคักขึ้นอีกครั้ง
เสียงหัวเราะที่อ่อนโยนของเด็กทารกดังก้องอยู่ในห้อง ทำให้บรรยากาศในห้องอบอุ่นเป็นพิเศษ
นัทธีจิ้มใบหน้าน้อยๆ ของสุขใจ
ผิวของเด็กน้อยอ่อนโยน ใบหน้าเนียนนุ่ม พอได้ใช้มือจิ้มก็รู้สึกดีสุดๆ
ดังนั้นในสองวันมานี้ นัทธีจึงจิ้มอยู่เล่นอยู่บ่อยๆ
สุขใจดูเหมือนจะหงุดหงิดที่ถูกเขาจิ้ม มือเล็กๆ จึงชูขึ้นมาจับนิ้วชี้ของนัทธี
มือเล็ก ๆ ที่นุ่มนิ่มและอบอุ่นของเด็กทารกจับนิ้วชี้ของนัทธี ใบหน้าของเขาจึงปรากฏถึงความแปลกประหลาด ในขณะเดียวกันก็ทำให้หัวใจของเขาอ่อนยวบยาบขึ้นไปอีก
“สุขใจจับมือฉันละ” นัทธีมองไปยังวารุณีพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
วารุณีพยักหน้า “ใช่ค่ะ สุขใจคงคิดถึงปะป๊า ถึงจับมือปะป๊าไว้ใช่ไหมจ๊ะ?”
สุขใจไม่เข้าใจว่าผู้ใหญ่กำลังกล่าวอะไร จึงพ่นน้ำลายราวกับกำลังตอบกลับ
เมื่อเห็นเช่นนี้ วารุณีกับนัทธีก็มองหน้ากันและยิ้ม
ในเวลานี้ เด็กสองคนที่อยู่ข้างเปลดึงเสื้อวารุณี “หม่ามี๊หม่ามี๊ รีบพาน้องชายลงมาหน่อย พวกเราก็อยากเห็นน้องเหมือนกัน หม่ามี๊อุ้มสูงไป หนูดูไม่ได้”
“จริงด้วยหม่ามี๊” อารัณเห็นด้วย
วารุณีหัวเราะเบาๆ “จ้ะจ้ะ หม่ามี๊อุ้มน้องลงมาหน่อยก็ได้แล้ว”
เด็กทั้งสองชอบน้องชายคนนี้มาก และเธอก็มีความสุขที่ได้เห็นพวกเขาเป็นแบบนี้
ตราบใดที่เด็กทั้งสองชอบน้องชาย เธอก็ไม่ต้องกังวลว่าทั้งสามคนจะทะเลาะกัน
หากพูดอย่างเห็นแก่ตัวละก็ สุขใจไม่ได้มีร่างกายที่แข็งแรง และในอนาคต ค่าใช้จ่ายของสุขใจคงสูงกว่าลูกอีกสองคนอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าเธอจะชี้แจงประเด็นนี้ให้เด็กสองคนเข้าใจอย่างชัดเจน
ขอเพียงเด็กทั้งสองคนเข้าใจ เธอก็จะได้ไม่ต้องกังวล เด็กทั้งสองคนอาจจะไม่พอใจที่ตัวเธอใช้เวลากับสุขใจมากไป จึงอาจไม่ชอบสุขใจ
วารุณีอุ้มสุขใจลงเพื่อให้เด็กทั้งสองได้เห็น
ทั้งสองก้มศีรษะลง มองดูทารกในผ้าอ้อมและหัวเราะอย่างมีความสุข
“หม่ามี๊ น้องกำลังพ่นน้ำลายละ น่ารักจังเลย” ไอริณกล่าวพลางลูบใบหน้าน้อยๆ ของสุขใจ
อารัณพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ใช่ แถมน้องก็ไม่ร้องไห้ไม่โหวกเหวก ดีจริงๆ โอตินที่อยู่บ้านลุงเรวัตก็อายุได้สองขวบแล้ว ยังร้องไห้อ๋าๆ ทั้งวันอยู่เลย ไม่น่ารักเลยสักนิด ผมไม่ชอบเด็กขี้แย แต่ผมชอบน้องชายของผมนะ”
ขณะที่พูด เขาก็คว้ามือน้อยๆ ของสุขใจและจับไว้
วารุณีตอบด้วยรอยยิ้ม “ใช่จ้ะ สุขใจไม่ร้องไห้ไม่โหวกเหวก ช่างน่ารักจริงๆ”
จากนั้นนัทธีก็เปิดปากกล่าวนิ่งๆ “สองวันมานี้ สุขใจแทบไม่ได้ร้องเลย แต่จะร้องตอนหิวหรืออยากเข้าห้องน้ำ นอกเหนือจากนั้นก็ไม่ได้ร้องไห้ไม่ได้โหวกเหวก บางทีก็นอนเล่นอยู่บนเปลเองไม่ก็นอนหลับ อุ้มไปไหนมาไหนง่ายทีเดียว”
หากไม่ใช่เพราะแพทย์ยืนยันแล้วว่าสุขใจไม่ได้เป็นอะไร
เด็กที่ประพฤติตัวดีแบบนี้ใครๆ ก็ล้วนคิดว่าเป็นคนโง่
“อย่างนั้นก็แสดงว่าลูกชายของเราฉลาด รู้ว่าผู้ใหญ่ลำบาก เพราะงั้นเลยเชื่อฟังยังไงละจ้ะ” วารุณีมองสุขใจพลางกล่าว
แล้วเธอก็นึกถึงอะไรบางอย่าง จึงถามขึ้นอีก “จริงสิที่รัก ก่อนหน้านี้คุณบอกว่าจะเซอร์ไพรส์ฉัน คุณหมายถึงสุขใจใช่ไหม?”
นัทธีเงยหน้าขึ้น “ใช่ ผมรู้ ไม่ว่าของขวัญชิ้นไหนก็ไม่ทำให้คุณเซอร์ไพรส์มากไปกว่าสุขใจแล้ว เพราะงั้นผมถึงปิดบังคุณมาโดยตลอด และไม่ได้บอกคุณเรื่องที่สุขใจออกจากโรงพยาบาล นั่นก็เพื่ออยากพาเขามา เธอจะได้มีความสุข เป็นอย่างไรบ้าง เซอร์ไพรส์มากใช่ไหม?”
วารุณีพยักหน้ารัวๆ ด้วยดวงตาที่แดงก่ำ “เซอร์ไพรส์สิคะ คุณพูดถูก ในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่ทำให้ฉันเซอร์ไพรส์มากไปกว่าการปรากฏตัวของลูกแล้ว นี่ยิ่งเซอร์ไพรส์เลยละค่ะ”
เธอมองไปยังสุขใจ แววตาของเธอเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและความรักของคนเป็นแม่
นัทธีวางสุขใจลงในเปล
หลังจากที่สุขใจนอนลงก็หัวเราะคิกคักอีกครั้ง จากนั้นก็ไม่รู้ว่าสองมือนั้นกำลังทำอะไร เขาคว้ามือขึ้นไปบนอากาศพลางหัวเราะขึ้นอีกครั้ง ดูแล้วน่ารักน่าชัง
ท่าทางของสุขใจทำให้พ่อแม่อย่างวารุณีและนัทธีใจละลายหมดแล้ว
วารุณีห่มผ้าห่มให้สุขใจแล้วถามว่า “สุขใจออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่คะ?”
“เมื่อห้าวันก่อน” นัทธีกล่าว
วารุณีแกล้งทำเป็นไม่พอใจแล้วทุบที่หน้าอกเขา “ออกมาเมื่อห้าวันก่อน คุณปิดบังฉันมาตลอดเลยหรือ ปิดมานานขนาดนี้ แถมยังปิดได้มิดอีกต่างหาก”
“ก็เพื่อเซอรไพรส์เธอยังไงละ ปิดไม่มิดก็ต้องปิด แถมลูกอีกสองคนนี่นะ” เขามองไปทางเด็กสองคนที่กำลังปีนเปลเล่นกับสุขใจ
“พวกเขาทั้งคู่อดใจไม่ไหวจนแทบจะพูดออกมาตั้งหลายรอบ แต่ผมกำชับไว้ จึงยังอดใจไหวก็เพื่อเซอร์ไพรส์เธอ เราสามคนพ่อลูกต่างพยายามปิดบังอย่างลำบาก ดังนั้นที่รัก คืนนี้คุณจะไม่ให้รางวัลดีๆ กับผมหน่อยหรือ” นัทธีก้มหน้าลงพลางส่งเสียงเย้ายวนที่ข้างหูเธอ
ทำไมวารุณีจะไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร เธอกลอกตาและใช้ศอกดันเขาอย่างไม่สบอารมณ์ “ไปเลยไป เด็กๆ ยังอยู่ที่นี่นะ คุณพูดอะไรเนี่ย”
“ผมพูดเบาจะตาย พวกเขาไม่ได้ยินหรอก” นัทธีจับมือแล้วมองไปยังข้อศอกของเธอ “เจ็บศอกหรือเปล่า?”
วารุณีเห็นเขาห่วงใยเธอจึงทั้งโมโหทั้งตลก “ฉันไม่เจ็บอยู่แล้ว คุณล่ะ ฉันทำให้คุณเจ็บหรือเปล่าเนี่ย?”
“ไม่เลย” นัทธีส่ายหัว
เขาเป็นลูกผู้ชาย เจ็บแค่นี้จะทนไม่ได้หรือ?
พูดอีกอย่างว่า ภรรยาตีแปลว่าภรรยารัก เพราะงั้นต้องอดทน
“ก็ได้ คืนนี้คุณอยากได้อะไรฉันก็จะทำให้ ตกลงไหม?” วารุณีมองดูเด็กทั้งสามและเห็นว่าพวกเขาไม่ได้สนใจเธอจริง ๆ จึงเขย่งเท้าพลางกล่าวที่ข้างหูสามี
นัทธีตาเป็นประกายในทันที เขากระแอมเบาๆ และกล่าวด้วยเสียงกระเส่า “ตกลงครับ ตามใจคุณเลย”
“ตามใจฉันนะ” วารุณีพยักหน้า “เห็นแก่ที่คุณนำสุขใจมา ทำให้ฉันเซอไพรส์มากขนาดนี้ นี่เป็นรางวัลที่ฉันให้คุณ”
ลูกกระเดือกของนัทธีขยับลง เสียงของเขายิ่งกระเส่า “ที่รัก คุณดีจริงๆ เลย”
“พอแล้วน่า คุณตอบฉันก่อนดีกว่า สุขใจจะออกจากโรงพยาบาลเดือนหน้าไม่ใช่หรือคะ? ทำไมเขาถึงออกมาตอนนี้? ออกก่อนเร็วขนาดนี้เลยหรือ?” วารุณีขมวดคิ้ว งงงวยเล็กน้อย “สุขใจออกออกจากโรงพยาบาลเร็วขนาดนี้เป็นเพราะโรงพยาบาลจัดการ หรือเป็นเพราะคุณกันแน่เนี่ย?”
“ต้องเป็นโรงพยาบาลสิ” นัทธีเอาแขนโอบไหล่เธอแล้วตอบเธอ “ไม่ต้องกังวล เรื่องสุขภาพของเด็กๆ ผมไม่ทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าหรอก”
วารุณีถอนหายใจด้วยความโล่งอก “อย่างนั้นก็ดีค่ะ แต่ว่าสุขใจออกจากโรงพยาบาลเร็วขนาดนี้จะดีหรือ?”
เธอยังคงกังวลอยู่เล็กน้อย