พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 864 เหมือนเขาจะเปลี่ยนไปแล้ว
“ในเมื่อฉันไม่ใช่ปีศาจ งั้นเธอกลัวฉันทำไม?” พงศกรจ้องตาของเธอแล้วถาม
ปาจรีย์อ้าปาก “ฉัน……”
เธอพูดฉันไปนานมาก แต่ก็พูดอะไรไม่ออก
เธอคงจะไม่สามารถบอกได้ว่า เธอไม่ได้เห็นเขาเป็นปีศาจจริงๆ
เขาไม่ใช่ปีศาจ ทว่าความหวาดกลัวที่นำมาให้เธอ กลับไม่ได้แตกต่างอะไรกับปีศาจเลยสินะ?
เห็นปาจรีย์ก้มหน้า กลายเป็นเจ้าขี้ขลาดอีกครั้ง ในใจของพงศกรก็มีความเหนื่อยล้าไม่มากก็น้อย
“ช่างมัน เธอออกไปเถอะ” เขาโบกมืออีกครั้ง ให้เธอออกไป
เขารู้ ความหวาดกลัวที่เธอกลัวเขา มาจากเรื่องในอดีตทั้งหมดที่ตัวเองเคยทำกับเธอ
ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะจำไม่ได้แล้ว ทว่าจิตใต้สำนึกของเธอ กลับไม่สามารถลืมไปได้
ดังนั้นเผชิญหน้ากับเธอ เธอจึงได้ระมัดระวังเช่นนี้ ไม่สบายใจเช่นนี้ และไม่สามารถอยู่กับเขาอย่างอิสระและเป็นตัวของตัวเอง
ดูเหมือนว่าตัวเอง ยังมีทางเดินอีกไกลที่ต้องเดิน
พงศกรนึกคิดด้วยนัยน์ตาที่หม่นหมอง
ปาจรีย์เห็นว่าสีหน้าของเขาไม่ได้ค่อยดี คิดว่าเป็นเพราะตนเองไม่สามารถสงบสติอารมณ์ในการป้อนซุปเขา ดังนั้นสีหน้าเขาจึงไม่ดี ทันใดนั้นในใจก็ยิ่งตื่นเต้นหวาดกลัวไปใหญ่
“คุณพงศกร……”
“ออกไป” เธอยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกพงศกรพูดแทรกตัดคำพูดอีกครั้ง
ปาจรีย์อ้าปาก เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าเห็นนัยน์ตาที่ไม่สามารถถกเถียงได้ สุดท้ายก็ปิดปากลง หันหลังแล้วออกไป
หลังจากที่เธอออกไปแล้ว พงศกรนวดหว่างคิ้ว อดทนกับความตึงแน่นที่นำพาความไม่สะดวก ถือถ้วยซุปซี่โครงหมู่ขึ้นมา ค่อยๆดื่ม
ปาจรีย์ไม่รู้ว่ามือของเขาไม่เพียงแต่สามารถใช้ได้ ยังสามารถใช้ได้ดีขนาดนี้ด้วย
ขณะนี้ เธอเดินออกมาจากห้องผู้ป่วยแล้ว นั่งลงยังเก้าอี้ตรงทางเดิน ตัดสินใจรอสักพัก ค่อยเข้าไปดูว่าพงศกรดื่มหมดหรือยัง
เขาไม่อยากให้เธอเห็นตอนที่ตัวเขาดื่มซุป งั้นตัวเองก็รอจนกว่าเขาจะดื่มหมดแล้วค่อยเข้าไป
ขณะนี้ จู่ๆ ข้างๆ ก็มีเสียงเท้าเดินดังผ่านมา
ปาจรีย์เก็บอารมณ์แล้วเงยหน้าขึ้นมอง คือคุณพ่อประสิทธิ์และคุณแม่ปารวีควงแขนกันเดินมา
ปาจรีย์ยืนขึ้น “คุณพ่อ คุณแม่ พวกท่านมาได้อย่างไรคะ”
“มาเยี่ยมหนูไง” คุณแม่ปารวียิ้มตอบกลับ
คุณพ่อประสิทธิ์พยักหน้า “ใช่แล้ว หนูดูแลเขาอยู่ที่นี่คนเดียว พวกเราที่เป็นพ่อแม่จะวางใจได้อย่างไร”
นัยน์ตาของคุณพ่อประสิทธิ์มองไปทางห้องผู้ป่วยข้างๆ แล้วพูด
ปาจรีย์พยุงสองสามีภรรยาแล้วนั่งลง จากนั้นก็ตอบกลับว่า “วางใจเถอะค่ะคุณพ่อคุณแม่ หนูไม่เกิดอะไรขึ้นแน่นอน จะพูดแล้ว เขาก็เข้าหาได้ง่ายนะคะ แค่บางครั้งตัวหนูเองที่ปล่อยไม่ลง ดังนั้นจึงดูระมัดระวังเป็นพิเศษค่ะ”
เพราะกลัวว่าพงศกรจะโมโหกะทันหัน ดังนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอยอมทนทำตามทุกอย่าง กลัวว่าจะเป็นการยั่วโมโหเขา
ยังดีที่วันที่ผ่านมานี้ เขาไม่ได้โมโหเลยจริงๆ
ไม่เช่นนั้น เธอไม่มีทางอยู่มาถึงตอนนี้ได้แน่นอน
“เฮอะ เข้าหาง่าย?” คุณพ่อประสิทธิ์พูดด้วยน้ำเสียงดูถูก และสีหน้าเยาะเย้ย “หากเขาเข้าหาได้ง่าย บนโลกใบนี้ ศัตรูทุกคน ก็สามารถเข้าหาได้ง่ายเช่นกันแล้ว”
“ใช่แล้วปาจรีย์ เธออย่าคิดว่าไม่อยากให้พวกเราเป็นห่วง ถึงได้ตั้งใจพูดเช่นนี้” คุณแม่ปารวีจูงมือของลูกสาวด้วยความสงสาร และไม่เชื่อคำพูดของเธอ
อย่างไรก็ตามเรื่องก่อนหน้านี้ที่พงศกรทำไว้พวกเขาจำได้อย่างขึ้นใจ
ไม่ใช่คนที่จะเข้าหาได้ง่ายๆ ดังนั้นพวกเขาจะไม่เชื่อก็เป็นเรื่องปกติ
“คุณแม่” ปาจรีย์ยิ้มอย่างจนปัญญา “หนูไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนี้จริงๆ ค่ะ พูดพูดความจริงค่ะ สองสามวันนี้ เขาเข้าหาได้ง่ายจริงๆ ค่ะ หนูไม่รู้ว่าเป็นเพราะหนูระมัดระวังหรือเปล่า แต่โดยรวมแล้วเขาไม่เคยโมโหกับหนู และไม่เคยตั้งใจสร้างความลำบากใจให้หนู ดังนั้นหนูถือว่ามีชีวิตที่ดีค่ะ ไม่ได้อกสั่นขวัญแขวนอยู่ตลอดค่ะ”
“จริงเหรอ?” คุณแม่ปารวีเห็นลูกสาวของตนเองพูดอย่างจริงจัง ในใจก็มีความเชื่อรางๆ
ถึงแม้คุณพ่อประสิทธิ์จะไม่พูดอะไร ทว่านัยน์ตา ก็พอประมาณกับคุณแม่ปารวี
คุณแม่ปาจรีย์พยักหน้าอย่างจริงจัง “แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริงค่ะ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วงหนู หนูยังดีจริงๆ ค่ะ”
“ในเมื่อหนูพูดแบบนี้แล้ว งั้นก็โอเค งั้นพวกเราก็เชื่อหนู” คุณแม่ปารวีลูบผมของลูกสาว
ปาจรีย์เอนพิงไปยังไหล่ของคุณแม่ปารวี “ขอบคุณค่ะพ่อแม่”
“ขอบคุณอะไร หนูคือลูกสาวของพวกเรา พวกเราที่เป็นพ่อแม่ ต้องเป็นห่วงหนูอยู่แล้ว”
คุณแม่ปารวีโอบกอดเธอแล้วพูด
คุณพ่อประสิทธิ์พยักหน้า “แม่หนูพูดถูก จริงด้วยปาจรีย์ ทำไมหนูถึงมานั่งข้างนอก เขาหลับแล้วเหรอ?”
เขาชี้ไปทางห้องผู้ป่วยของพงศกรแล้วถาม
ปาจรีย์ส่ายหัว “เปล่าค่ะ เขาดื่มซุปซี่โครงหมูอยู่ข้างในค่ะ ไล่ให้หนูออกมา”
“ไล่ออกมา?” น้ำเสียงของคุณพ่อประสิทธิ์พุ่งสูงขึ้น “นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ใช่แล้วปาจรีย์ นี่เกิดอะไรขึ้น?” คุณแม่ปารวีมองปาจรีย์ด้วยสีหน้าที่จริงจัง
ตอนแรกสองสามีภรรยาได้ยินเธอบอกว่าสองสามวันนี้พงศกรเข้าหาง่าย ก็โล่งอกไปที
ทว่าตอนนี้ก็ได้ยินเธอบอกว่า พงศกรไล่เธอออกมา นี่พึ่งโล่งอกไปที ก็กังวลขึ้นมาอีกแล้ว
ปาจรีย์เองก็รู้ว่าคำพูดของตนเองในเมื่อกี้ทำให้พ่อแม่เป็นห่วงแล้ว รีบโบกมืออธิบาย “คุณพ่อคุณแม่ พวกท่านอย่ากังวลค่ะ คือแบบนี้ค่ะ เรื่องนี้เป็นความผิดของหนู เมื่อกี้หนู……”
หลังจากนั้น เธอก็พูดเรื่องที่ตนเองตื่นเต้นยังไง และลวกจนทำให้พงศกรบาดเจ็บยังไง โดยพูดออกมาอย่างละเอียด
หลังจากที่คุณพ่อประสิทธิ์และคุณแม่ปารวีฟังจบแล้ว หัวใจที่เป็นห่วง ก็วางใจลงไม่น้อย
ที่แท้สาเหตุของเรื่อง ไม่ใช่พงศกรนั่นมาทำให้ปาจรีย์ลำบากใจกะทันหัน แต่ว่าเป็นตัวปาจรีย์เองที่สร้างขึ้น
“ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ พวกท่านอย่าคิดมากนะคะ” ปาจรีย์จูงมือของสองสามีภรรยาแล้วพูด
คุณพ่อประสิทธิ์มองเธอ “ปาจรีย์ หนูลวกโดนเขา เขาไม่ได้โมโหกับหนูจริงๆเหรอ แค่ไล่หนูออกมาง่ายๆ แบบนี้เหรอ?”
เขาไม่ค่อยวางใจจริงๆ กลัวว่าลูกสาวจะโกหก
อย่างไรก็ตามเพื่อที่ลูกสาวจะไม่ให้สองสามีภรรยากังวล ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถทำออกมาได้
คุณแม่ปารวีเองก็รีบพยักหน้าแล้วพูด “ใช่แล้วปาจรีย์ หนูอย่าปิดบังเด็ดขาดนะ นั่นจะทำให้พวกเราที่เป็นพ่อแม่ ยิ่งไม่สบายใจไปใหญ่”
ปาจรีย์มองดูท่าทางที่กระวนกระวายของพ่อแม่ ในใจก็ทั้งซึ่งใจและรู้สึกอบอุ่น จูงมือของทั้งสองยิ้มแล้วส่ายหัว “ไม่มีจริงๆ ค่ะ คุณพ่อคุณแม่ หนูไม่ได้ปิดบังพวกท่านเลย หนูพูดความจริงค่ะ หลังจากที่หนูลวกโดนเขาแล้ว ตอนนั้นหนูก็กลัวว่าเขาจะโมโหกะทันหัน แต่ว่าอยู่นอกเหนือความคิดของหนูค่ะ เขาเปล่า ในทางกลับกันยังให้หนูทำแผลให้อย่างเงียบสงบ หลังจากนั้นยังให้หนูป้อนเขาดื่มซุป แต่เพราะว่าหนูตื่นเต้นเกินไป เกือบลวกโดนเขาอีก ดังนั้นเขาจึงให้หนูออกมาอย่างรำคาญ อย่างอื่นไม่ได้ทำอะไรกับหนูจริงๆ ค่ะ”
เห็นตอนที่ลูกสาวพูดเงียบสงบ ไม่ได้มีความรู้สึกผิดใดๆ คุณพ่อประสิทธิ์และคุณแม่ปารวีจึงจะเชื่อ
“งั้นก็ดี งั้นก็ดี” คุณแม่ปารวีถอนหายใจอย่างรู้สึกหวาดกลัว
คุณพ่อประสิทธิ์เห็นประตูห้องผู้ป่วยของพงศกรแล้ว อารมณ์ดูซับซ้อน “จะพูดแล้ว ไอ่หนุ่มนี่เหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย”
“ห๊ะ?” คุณแม่ปารวีมองเขาด้วยความสงสัย “เธอพูดว่าอะไร?”
คุณพ่อประสิทธิ์พูดซ้ำคำพูดของตนเองอีกครั้ง “ฉันบอกว่า ฉันรู้สึกว่าไอ่หนุ่มนี่ เหมือนว่าบางที่จะเปลี่ยนไปแล้ว”
“หมายความว่าอะไรเนี่ย?” คุณแม่ปารวีรู้สึกสงสัยไปใหญ่
ตลอดช่วงเวลานี้ เธอมาโรงพยาบาลน้อยที่สุด และไม่ค่อยได้พบปะกับพงศกร
ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าพงศกรมีอะไรบ้างที่เปลี่ยนไป
ทว่าคุณพ่อประสิทธิ์ที่มาที่นี่บ่อยๆ กลับรู้สึกได้ถึงปัญหาเล็กน้อย
คุณพ่อประสิทธิ์ลูบคางแล้วพูด “ฉันรู้สึกว่าไอ่หนุ่มนี่ ดูเก็บอารมณ์ขึ้นเยอะมาก ความโกรธแค้นที่มีต่อพวกเรา เหมือนว่าลดลงไปเยอะมาก”
“ประสิทธิ์ นายไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม?” คุณแม่ปารวีรู้สึกตลกในคำพูดนี้ของเขา
และแล้วคุณพ่อประสิทธิ์กลับส่ายหัว “ฉันไม่ได้ล้อเล่น ฉันมีความรู้สึกแบบนี้จริงๆ”
“จริงๆ แล้ว หนูเองก็รู้สึกว่าคุณพ่อพูดถูกค่ะ” ขณะนี้ จู่ๆ ปาจรีย์ก็เอ่ยปากขึ้น “เพราะว่าหนูมีความรู้สึกเดียวกับคุณพ่อค่ะ”
“ปาจรีย์?” คุณแม่ปารวีตะลึงงัน
ปาจรีย์ยิ้ม “ช่วงเวลานี้หนูดูแลเขามาโดยตลอด ดังนั้นเป็นคนที่เข้าใจในความเปลี่ยนแปลงของเขามากที่สุด ก่อนอื่นเลยการที่เขาไม่ได้โมโหกับหนูก็คือหลักฐานที่มีประโยชน์มากๆ ต่อจากนั้นก็คือ หนูไม่เคยเห็นความเกลียดแค้นและความรำคาญจากนัยน์ตาของเขาเลย ดังนั้นหนูจึงพูดว่า สิ่งที่คุณพ่อพูดอาจจะเป็นเรื่องจริงค่ะ”