พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 865 อยากรื้อฟื้นความทรงจำไหม
ลูกสาวและสามีพูดขนาดนี้แล้ว ทีนี้ก็ไม่ถึงขั้นที่คุณแม่ปารวีจะไม่เชื่อแล้ว
นัยน์ตาของคุณแม่ปารวีไม่สามารถปกปิดความตกใจได้ “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? ทำไมจู่ๆ เขาถึงลดความแค้นที่มีต่อพวกเราล่ะ”
พอคำถามนี้ออกมา คุณพ่อประสิทธิ์และปาจรีย์ต่างก็เงียบไปเลย
เพราะว่าพวกเขาต่างก็ตอบไม่ออก ใครก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพงศกรกันแน่ ทำไมจู่ๆ ถึงลดความแค้นที่มีต่อพวกเขา
นอกจากว่า พวกเขาจะไปถามพงศกร
ทว่าจะถามเหรอ?
ปาจรีย์มองไปทางคุณพ่อประสิทธิ์
หลังจากที่คุณพ่อประสิทธิ์ลังเลไปสักพักแล้ว สุดท้ายก็ส่ายหัว “ช่างเถอะ ไม่ว่าจะเพราะอะไรเขาถึงได้ไม่เห็นเราเป็นศัตรูแล้ว พวกเราก็ทำเป็นไม่รู้ อย่าไปถามสาเหตุกับเขา หากถามแล้ว กลับทำให้เขาโมโหขึ้นมา แล้วยกเลิกสิ่งที่ตกลงกับพวกเราไว้ในก่อนหน้านี้ทั้งหมดก็แย่แล้ว”
คุณแม่ปารวีพยักหน้า “พ่อของหนูพูดถูก ทำเป็นไม่รู้เถอะ? พวกเราดูแลเขาก่อน รอให้หลังจากนี้ ดูว่าสามารถหลุดพ้นตากเขาได้หรือเปล่า หากได้ งั้นก็ดีที่สุด หากไม่ได้ เฮ้อ……”
คำพูดด้านหลัง เธอไม่ได้พูดแล้ว ทว่าความหมายนั้นทุกคนต่างก็รู้ดี
ทันใดนั้น ครอบครัวสามคนนี้ก็ตกอยู่ในความเงียบสงบ ผ่านไปสักพัก จึงจะตีบรรยากาศที่เงียบสงบนี้แตก
คุณแม่ปารวีตบไหล่ของปาจรีย์เบาๆ พูดอย่างอ่อนโยนว่า “พอแล้ว ไม่ต้องคิดมากแล้ว”
ปาจรีย์ยิ้มที่มุมปากแล้วตอบกลับอื้ม “หนูรู้ค่ะ เอาเถอะค่ะคุณพ่อคุณแม่ เวลาพอประมาณแล้ว หนูเข้าไปดูเขาก่อนนะคะ ดูว่าเขาดื่มซุปหมดหรือยัง จะได้ทำความสะอาดเก็บถ้วยเก็บตะเกียบค่ะ”
“ไปเถอะ” คุณแม่ปารวีพยักหน้า
ปาจรีย์ลุกขึ้น เดินไปยังนอกประตูห้องผู้ป่วยของพงศกร ยกมือขึ้นเคาะประตู “คุณพงศกร ฉันเอง ฉันสามารถเข้ามาได้ไหม?”
“เข้ามาเถอะ” ภายในประตูห้องมีเสียงของพงศกรดังผ่านมา เสียงของเขาเงียบสงบมาก ไม่มีความโกรธแค้นใดๆ และความโหดเหี้ยมใดๆ แฝงอยู่ข้างในเลย
คุณพ่อประสิทธิ์และคุณแม่ปารวีสบตากัน
ครั้งนี้ คุณแม่ปารวีเชื่อทั้งหมดแล้วจริงจริง พงศกรไม่ได้เห็นพวกเขาเป็นศัตรูแล้วจริงจริง
เหตุผลนี้ ทำให้พวกเขาแปลกใจและตกใจมากจริงจริง
ทว่าพวกเขาไม่ได้ตัดสินใจจะไปถาม
ก็เหมือนกับที่พูดเมื่อกี้ หากถามแล้วเขาเกิดโมโหขึ้นมาจะทำอย่างไร?
“ประสิทธิ์ พวกเราเข้าไปไหม?” คุณแม่ปารวีมองคุณพ่อประสิทธิ์แล้วถาม
คุณพ่อประสิทธิ์ส่ายหัว “ไม่เข้าไปแล้ว คนที่ทำให้พ่อแม่เขาเสียชีวิต คือพวกเรา เขาคิดว่าเป็นแบบนี้มาโดยตลอด ดังนั้นเขาจึงมีความแค้นกับพวกเรามากกว่าปาจรีย์ เขาอาจจะแค่ทำเช่นนี้กับปาจรีย์ แต่ยังคงเห็นพวกเราเป็นศัตรูเหมือนเดิมล่ะ?”
“นายพูดถูก งั้นได้ พวกเรารอปาจรีย์อยู่ที่นี่กันเถอะ” คุณแม่ปารวียิ้ม
คุณพ่อประสิทธิ์ไม่ได้พูดอะไรแล้ว จูงมือของเธอ ทำการปลอบใจอย่างไร้เสียง
ในห้องผู้ป่วย หลังจากที่ปาจรีย์เข้าไปแล้ว ก็มองไปทางเตียงผู้ป่วยทันที อยากจะดูว่าผู้ชายที่อยู่บนเตียงดื่มหมดหรือยัง
พอดูแล้ว ก็เห็นว่าผู้ชายไม่ได้ถือถ้วยอยู่ แต่ว่าจับนิตยสารด้านการแพทย์ไว้เล่มหนึ่ง นี่ทำให้ปาจรีย์รู้สึกอดสงสัยไม่ไหว “คุณพงศกร คุณไม่ได้ดื่มซุปเหรอ?”
ปาจรีย์เบ้ปากมองไปทางตำแหน่งตรงหัวเตียง
ปาจรีย์มองไปแล้ว จึงจะเห็นว่าถ้วยซุปที่ตนเองเทไว้ก่อนหน้านี้ หมดแล้ว กลายเป็นถ้วยเปล่าแล้ว
เห็นได้เลยว่า เขาดื่มไปแล้ว
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ในใจของปาจรีย์มีความดีใจเล็กน้อย ทว่าบนใบหน้ากลับไม่แสดงออก เดินไปอย่างเงียบๆ หยิบถ้วยเปล่านั้นขึ้นมา “คุณพงศกร คุณจะเอาอีกไหม?”
“ไม่แล้ว” พงศกรส่ายหัว “ดื่มพอแล้ว รสชาติไม่เลว เธอต้มเอง?”
เขามองเธอ
ปาจรีย์ก้มมองลงล่าง เลี่ยงสายตาจากเขา “ขอบคุณที่ชม ฉันเป็นคนต้มเอง”
“ฉันจำได้ว่า เหมือนเธอจะต้มซุปซี่โครงหมูไม่ค่อยเป็น” พงศกรใช้มือข้างเดียวพยุงหัวไว้แล้วพูด
ปาจรีย์อื้มตอบกลับ “ฝึกมาจากแม่ฉันเอง ล้มเหลวไปหลายครั้งมากกว่าจะสำเร็จ”
พงศกรพยักหน้าเบาๆ “ไม่เลว”
ปาจรีย์เอียงศีรษะ ตอนนี้ไม่ค่อยเข้าใจวคำว่า ไม่เลว ของเขาหมายความว่าอะไรกันแน่
กำลังชมว่าฝีมือเข้าครัวของเธอไม่เลว หรือว่าการที่เธอฝึกต้มซุปกับแม่นั้นไม่เลว?
ไม่ได้คิดอะไรมาก ปาจรีย์เก็บถ้วยและตะเกียบขึ้นมา “คุณพงศกร ฉันไปล้างจานก่อน มีเรื่องอะไร เรียกฉันได้ตลอดเวลาเลยนะ”
“อื้ม” พงศกรตอบกลับ
ปาจรีย์ถือถังเก็บอุณหภูมิและตะกร้าเดินไปทางห้องครัว
นี่คือห้องผู้ป่วยขั้นสูง จะว่าเป็นห้องผู้ป่วย สู้บอกว่าเป็นห้องสวีทขนาดเล็กจะดีกว่า ข้างในมีทั้งห้องครัวและห้องน้ำ
แต่ว่าสิ่งของในห้องครัวดูแล้วไม่ค่อยสะอาด ดังนั้นเธอจึงไม่ได้คิดอยากจะต้มซุปที่นี่ แต่ว่าต้มซุปจากที่บ้านแล้วส่งมา
ทว่าล้างภาชนะที่นี่ถือว่าไม่เลว
ปาจรีย์ล้างถ้วยตะเกียบละถังเก็บอุณหภูมิในห้องครัว ในขณะที่ล้างอยู่ จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงพูดที่ดังออกมาจากข้างนอก
การกระทำของปาจรีย์ค่อยๆ เบาลง แล้วค่อยๆ ปิดน้ำให้เบาลง แอบฟังขึ้นมา อยากจะฟังดูว่าข้างนอกพูดอะไรกัน
ความจริงแล้ว ถึงแม้ว่าเธอจะทำเช่นนี้ เธอก็ยังคงได้ยินเสียงพูดข้างนอกไม่ชัด ได้ยินเพียงแค่สองสามคำ
อย่างเช่นการผ่าตัดผ่านไปได้ดี เช่นพวกที่ต้องรอเวลาในการพักฟื้นเป็นต้น
โดยรวมแล้ว ปาจรีย์ไม่ได้ใจความอะไรเลย
แต่ว่าเธอคิดว่า เขาน่าจะคุยกับญาติของผู้ป่วยแหละมั้ง ไม่ว่ายังไงแล้วเขาก็เป็นหมอคนหนึ่ง ทำการผ่าตัดให้ผู้ป่วย ญาติของผู้ป่วย อาจจะโทรมาถามเขาเกี่ยวกับการพักฟื้นตัวในภายหลังของผู้ป่วย
ดังนั้นการโทรคุยครั้งนี้ คงจะเป็นเช่นนี้
พอคิดแบบนี้แล้ว ปาจรีย์ก็ไม่ได้ฟังอีก เปิดน้ำใหญ่ขึ้น และรีบเร่งการกระทำให้รีบล้างเสร็จ
ในไม่ช้า ถ้วยตะเกียบและถังเก็บอุณหภูมิก็ล้างเสร็จสะอาด
ปาจรีย์เก็บของพวกนี้เข้าในตะกร้า จากนั้นก็ถือตะกร้าออกมาจากห้องครัว
พงศกรก็คุยโทรศัพท์เสร็จพอดี มองไปทางเธอ “เตรียมตัวจะกลับบ้านแล้ว?”
ปาจรีย์พยักหน้าเบาๆ “เอาของกลับไปเก็บ ดึกๆ ค่อยเข้ามา”
อย่างไรก็ถามเพื่อที่จะดูแลเขา เธอได้เปิดห้องที่คอยดูแลเขาอยู่ที่นี่ กลางคืนก็อยู่นอนต่อที่นี่
ดังนั้น ถึงแม้ว่าเธอจะกลับไป ก็กลับไปเพียงแต่ครู่เดียว เดี๋ยวก็จะกลับมาเหมือนเดิม
พงศกรพยักหน้าเบาๆ “เธอกลับไปเถอะ”
“อื้ม” ปาจรีย์ตอบกลับ จากนั้นก็ถือตะกร้าแล้วเดินออกไปทางนอกประตู
พึ่งเดินถึงหน้าประตู เปิดประตูออก จู่ๆ พงศกรก็พูดขึ้นผ่านทางข้างหลังของเธอว่า “ปาจรีย์ เธออยากรื้อฟื้นความทรงจำไหม?”
คำถามนี้ถามเอาปาจรีย์อึ้งไปเลย ทันใดนั้นไม่รู้ว่าควรจะตอบยังไง
คุณพ่อประสิทธิ์และคุณแม่ปารวีได้ติดตามความเคลื่อนไหวภายในห้องผู้ป่วยอยู่นอกประตูตลอด กลัวว่าพงศกรจะทำอะไรลูกสาวพวกเขา ดังนั้นพอได้ยินเสียงประตูเปิดออก ก็รีบลุกขึ้นมาจากเก้าอี้
ปรากฏว่าพึ่งลุกขึ้น ก็ได้ยินพงศกรถามคำถามนี้กับปาจรีย์
ทันใดนั้น คุณพ่อประสิทธิ์ก็โมโหขึ้นทันที ดึงปาจรีย์ไปยังข้างหลังของตนเอง แล้วพร่ำบ่นไปทางพงศกรที่อยู่ในห้องผู้ป่วยอย่างโมโหว่า “ไอ่หนุ่มนี่ แกพูดอะไร? นี่แกหมายความว่าอะไร? ใครอยากรื้อฟื้นความทรงจำ? ฉันจะบอกให้นะ ปาจรีย์ของเราไม่อยากรื้อฟื้นความทรงจำ จะรื้อฟื้นความทรงจำไปทำไม? เจ็บปวดต่อไปเหรอ? ดังนั้นถ้าจะให้ดีแก่เก็บความคิดนั่นของแกกลับไป แล้วอย่าพูดประโยคนี้อีก ยิ่งอย่าไปแอบไปคลายปมการสะกดจิตของปาจรีย์ หากฉันรู้แล้ว พวกเราก็ลงนรกไปด้วยกัน ฉันพูดแล้วทำได้ ไม่เชื่อก็รอดู ปาจรีย์ พวกเราไป!”
พูดประโยคนี้จบแล้ว คุณพ่อประสิทธิ์ดึงมือของปาจรีย์ แล้วเดินตรงไปทางลิฟต์
คุณแม่ปารวีได้มองพงศกรด้วยนัยน์ตาที่ซับซ้อน จากนั้นก็ปิดประตู วิ่งตามไปทางที่สองพ่อลูกจากไป
ภายในลิฟต์ คุณพ่อประสิทธิ์ปล่อยมือของปาจรีย์ออก คนทั้งคนก็ยังคงโมโหอยู่
ปาจรีย์กัดริมฝีปากล่าง ไม่ได้พูดอะไร ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
คุณแม่ปารวีกลับมาแล้ว กดหมายเลขชั้น แล้วมองไปทางปาจรีย์ เห็นปาจรีย์กำลังคิดอะไรบางใจ ในใจก็เคว้งขึ้นทันที แต่กลับไม่ได้รบกวน กลับหันสายตาไปทางคุณพ่อประสิทธิ์ “ประสิทธิ์ นี่นายว่ามันหมายความว่าอะไร?”
คุณพ่อประสิทธิ์พูดด้วยสีหน้าที่แย่ “เฮอะ ยังจะพูดอะไรได้อีก อยากจะให้ปาจรีย์รื้อฟื้นความทรงจำ เจ็บปวดต่อไปไง เป็นเหมือนที่คิดไว้เลย อะไรจะมาลดความแค้นกับพวกเรา เรื่องปลอมทั้งนั้น ยังรอพวกเราอยู่ที่นี่อยู่เลย!”