พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 871 ความหวาดหวั่นของปาจรีย์
พงศกรไม่อยากได้ยินก็คงยาก
เขาขมวดคิ้ว วางโทรศัพท์ออกห่างเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปมองที่ประตูด้วยสีหน้าขรึม
“ใครอยู่ข้างนอก”
ประตูห้องผู้ป่วยนั้นปิดอยู่ เขาจึงมองไม่เห็นว่าคนที่อยู่ด้านนอกเป็นใคร ทำได้เพียงตะโกนถามผ่านบานประตู
แต่ในใจเขา ก็สามารถเดาได้เล็กน้อย แววตาจึงเปลี่ยนเป็นความซับซ้อนเล็กน้อย
แน่นอนว่าปาจรีย์ที่อยู่ด้านนอกนั้นได้ยินคำถามของพงศกร จึงกัดริมฝีปากล่างเบาๆ ทีแรกก็อยากตอบ แต่พอคำพูดมาถึงที่ปาก กลับพูดอะไรไม่ออก
เธอไม่รู้ว่าตัวเองควรตอบยังไง
เพราะสิ่งที่เธอได้ยินในเมื่อกี้ ทำให้เธอทำอะไรไม่ถูก ในใจว้าวุ่นไปหมด ในสมองก็มักมีคำพูดของเขาลอยเข้ามาบ่อยๆจนไม่นิ่งไม่ได้
เขาบอกว่า เขารักเธอเข้าแล้วเหรอ
หึ จะเป็นไปได้ยังไง
นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
ปาจรีย์กัดริมฝีปาก พลางก้มหน้า แล้วหันหลังเดินไปทางลิฟต์ โดยไม่สนใจแก้วที่เธอทำแตกกระจายอยู่บนพื้น
ตอนนี้สมองของเธอยังคงสับสนวุ่นวาย ต้องหาที่สงบจิตใจ ไม่งั้น เธอคิดว่าตัวเองอาจต้องเป็นบ้าได้แน่นอน
ผ่านไปสักพักแล้วพงศกรก็ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับจากด้านนอก จึงขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ดึงผ้าห่มออก แล้วพยายามลงจากเตียงโดยกลั้นความเจ็บไว้ เดินโซเซไปทางประตู
คนที่อยู่ในสาย อย่างนิรุตติ์ก็ได้ยินเสียงนั้น
เขาเป็นคนฉลาด เสียงแก้วแตกกระจายนั้น มันเกิดขึ้นตอนที่พงศกรพูดออกมาว่าเขารักปาจรีย์ แน่นอน คนที่ได้ยินคำพูดนี้ ไม่ใช่ปาจรีย์ ก็คือคนในครอบครัวของปาจรีย์
เพราะมีเพียงพวกเขาที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ถึงจะตกใจมากเช่นนี้ได้ มากจนทำแก้วตกแตกกระจายแบบนี้
หากเป็นคนอื่น คงไม่เป็นเช่นนี้แน่นอน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นิรุตติ์ก็พูดเยาะเย้ยออกไปทันที “พงศกร ดูเหมือนทางนายจะงานเข้าแล้วล่ะ”
พงศกรเข้าใจความหมายของนิรุตติ์เป็นอย่างดี หรี่ตาอย่างเย็นชา “ไม่จำเป็นต้องให้นายเตือน”
“ฉันไม่ได้เตือนนาย ฉันแค่พูดไปงั้นแหละ โอเค ฉันไม่รบกวนพวกนายแล้ว วางก่อน จะติดต่อนายอีกทีก่อนที่ฉันจะเปิดศึกชี้ชะตากับนัทธีแล้วกัน”
เมื่อพูดจบ นิรุตติ์ก็ตัดสายไปทันที
พงศกรมองโทรศัพท์อย่างยิ้มเยาะ “บอกฉันตรงๆ ว่าจะทำร้ายวารุณีแบบนี้ ไม่กลัวฉันจะไปบอกนัทธี แล้วให้นัทธีเก็บซ่อนวารุณีหรือไง”
หลังจากพูดจบ พงศกรก็เก็บโทรศัพท์ เปิดประตูห้องผู้ป่วยออก
ทีแรกคิดว่าเป็นเพราะคำพูดของเขาจะทำให้ผู้หญิงคนนั้นตะลึง ยืนอยู่ด้านนอกไม่ไปไหน
แต่คิดไม่ถึง ว่าหลังจากเปิดประตู ข้างนอกประตูกลับไม่มีใครเลยสักคน มีเพียงแก้วที่แตกกระจาย อยู่บนพื้นประตู
ไปแล้วเหรอ
พงศกรหรี่ตาลง
เขาประเมินเธอต่ำไป ที่สามารถดึงสติกลับมาแล้วเดินออกไปจากที่นี่ไวขนาดนี้ได้
เขาคิดว่า เธอต้องยังคงตะลึง จนไม่ไปไหน
ดูเหมือน เขาจะไม่สามารถใช้ความเข้าใจเธอในเมื่อก่อน มาคาดเดาเธอในตอนนี้ได้อีกต่อไปแล้ว
เธอในตอนนี้ เป็นคนที่เขาไม่สามารถคาดเดาได้เลยสักนิด
แน่นอน หากเป็นเธอในเมื่อก่อน เมื่อได้ยินเขายอมรับในความรู้สึก ต้องไม่ไปอย่างแน่นอน ไม่แน่อาจร้องไห้แล้วกุมหน้าไว้ด้วยความดีใจ ตรงหน้าประตูก็เป็นไปได้
พงศกรนวดนวดขมับเบาๆ จู่ๆแววตาแน่วแน่ก็ปรากฏขึ้นมา
ไม่เป็นไร อีกไม่นาน เขาก็จะเปลี่ยนเธอให้กลับไปเป็นคนเดิม
เพราะยังไงเขาก็รู้แล้ว ว่าใครเป็นคนที่สะกดจิตให้เธอ
แน่นอน เรื่องนี้ยังไม่รีบ อย่างน้อย ต้องรอให้เขาเคลียร์เรื่องบางอย่างให้เรียบร้อยก่อนค่อยจัดการก็ยังไม่สาย
“คุณพงศกร ” ในเวลานี้ พยาบาลท่านหนึ่งเดินมาพร้อมกับรถเข็นทำแผล ทำความทักทายอย่างสุภาพกับพงศกรที่ยืนคิดอะไรไม่รู้อยู่หน้าประตู
นัยน์ตาพงศกรประกายขึ้น เลิกครุ่นคิดแล้วได้สติกลับมา หันไปมองคุณพยาบาล พยักหน้าให้เล็กน้อย “สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะคุณพงศกร ได้เวลาทำแผลแล้วค่ะ” คุณพยาบาลยิ้มพูด จากนั้นก็ใช้สายตาสงสัยจ้องมองเขา
“คุณพงศกรคะ ทำให้จู่ๆคุณถึงลงจากเตียง แล้วยังมายืนเหม่อลอยอยู่ที่หน้าประตูอีกคะ”
“ไม่มีอะไรครับ แค่เจอใครคนหนึ่งครับ” พงศกรดันแว่นที่ตัดมาใหม่บนสันจมูกของเขา แล้วตอบเบาๆ
คุณพยาบาลพยักหน้าอย่างเข้าใจ “เป็นแบบนี้นี่เอง งั้นให้ฉันพยุงคุณเข้าไปนะคะ”
“ไม่ต้องครับ” พงศกรส่ายหน้า “ผมไปเองได้ครับ”
เมื่อพูดจบ เขาก็จับกำแพงค่อยๆหมุนตัว เดินเข้าไปในห้องผู้ป่วย
คุณพยาบาลมองดูหลังที่เซไปเซมาของเขา ก็ยักไหล่ ไม่บังคับใดๆ
เพราะผู้ป่วยที่ดื้อรั้น และหยิ่งทะนงตัวเองแบบนี้ ก็ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยพบ
จึงส่ายหน้าอย่างจำใจ คุณพยาบาลเข็นรถเข็น เตรียมที่จะเข้าไปด้วยเช่นกัน
คุณพยาบาล รู้สึกเหมือนที่ล้อรถเข็นทับโดนอะไร
คุณพยาบาลก้มมอง ถึงพบว่าบนพื้นมีเศษแก้วกระจายอยู่ จึงพูดอย่างตกใจ “โอ้โฮ ตรงนี้ทำไมมีเศษแก้วคะ คุณพงศกร คุณไม่ได้เหยียบโดนใช่ไหมคะ”
พงศกรได้เปิดผ้าห่มออกแล้วนอนลงบนเตียงคนไข้ ตอบกลับด้วยเสียงเย็นชา “ไม่ครับ เศษแก้วนั้นคนอื่นน่าจะไม่ตั้งใจทำตกแตกครับ เดี๋ยวรบกวนคุณทำความสะอาดหน่อยนะครับ”
“ได้ค่ะ ” เมื่อพยาบาลได้ยินการตอบรับของเขา ก็ยิ้มพยักหน้า จากนั้นก็เข็นรถเข็นเข้าไป ทำแผลให้เขา
หลังจากทำแผลเสร็จ พยาบาลก็ไปทำความสะอาดพวกเศษแก้วที่กระจายอยู่หน้าประตู
พงศกรหันไปมองนอกหน้าต่าง สายตาหรี่ลงเล็กน้อย ราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
เขารู้ว่าคนที่แอบฟังก่อนหน้านี้คือปาจรีย์ แต่กลับไม่คิดที่จะเรียกปาจรีย์ไว้
เพราะเขารู้ดี ว่าในใจของปาจรีย์กำลังสับสนอยู่
ดังนั้น เขาจะยอมให้เวลาเพื่อให้เธอจะได้สงบสติอารมณ์
ก็เหมือนอย่างที่เขาพูดกับนิรุตติ์ในโทรศัพท์ เมื่อก่อนเขามัวแต่จมอยู่กับความแค้น จนมองไม่เห็นอะไร
ดังนั้น เขาถึงได้ทำร้ายทุกคนอย่างบ้าคลั่งโดยเฉพาะกับปาจรีย์
แต่ตอนนี้เริ่มค่อยๆเข้าใจในความแค้นแล้ว ว่าสาเหตุการตายของพ่อแม่นั้น อาจจะไม่สามารถโทษตระกูลจิรดำรงค์ได้จริงๆ
ในเวลาเดียวกันก็รับรู้ได้ ว่าตัวเองได้รักปาจรีย์เข้าแล้วจริงๆ และรักเธอเสมอมา
ดังนั้นตอนนี้เขาจึงยอมรับความจริงที่ตัวเองรักปาจรีย์ และอยากลองสานสัมพันธ์กับปาจรีย์
แต่การที่เขาทำร้ายปาจรีย์ในเมื่อก่อน ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะหายไป ดังนั้นการที่เขาอยากอยู่กับปาจรีย์ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย อย่างน้อยยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ต้องแก้ไข อย่างแรกคือความแค้นระหว่างเขากับตระกูลจิรดำรงค์ ยังไม่ได้รับการแก้ไข อย่างที่สองคือความทรงและความรู้สึกที่มีต่อเขา ยังไม่สามรถหามันกลับคืนมาได้
และเรื่องพวกนี้ ต้องค่อยๆแก้ไข จะจัดการทีเดียวก็เป็นไปไม่ได้
ทีแรกเขาคิดว่า รอหลังจากแก้ไขความแค้นในตระกูลจิรดำรงค์ให้เสร็จสิ้นก่อน จากนั้นค่อยทำให้ปาจรีย์รู้ ว่าเขานั้นรักเธอ
แต่แผนการยังไม่ทันได้เริ่ม ยังไม่รอให้เขาเคลียร์ตระกูลจิรดำรงค์ก่อน ปาจรีย์ก็ได้รับรู้ความรู้สึกของเขาแล้ว จนทำให้จิตใจและความรู้สึกได้ผลกระทบไปด้วย
และผลกระทบนี้ มันไม่ใช่แค่ว่าเพียงตอนนี้เขาปรากฏตัวต่อหน้าปาจรีย์ก็จะสามารถจัดการได้
ตรงกันข้าม หากตอนนี้เขาปรากฏตัวตรงหน้าปาจรีย์ มีเพียงจะยิ่งทำให้จิตใจปาจรีย์ได้รับการกระทบมากขึ้น
ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่เขา อยู่ตรงนี้ไม่ไปหาปาจรีย์ หรือโทรให้ปาจรีย์กลับมา
เขารู้ ว่าเวลานี้ ปาจรีย์ต้องหลบอยู่ที่ไหนสักแห่ง บังคับให้ตัวเองยอมรับความจริงที่เธอได้ยิน
เป็นไปตามการคาดเดาของพงศกร ปาจรีย์เดินออกจากภายในอาคารโรงพยาบาลด้วยความตื่นตระหนก จนเดินมาที่เก้าอี้ยาวสวนหน้าอาคาร สองมือกำราวจับของเก้าอี้ยาวแน่น พร้อมกับหายใจเข้าลึกๆ ผ่านไปสักพัก ถึงจะพยายามสงบสติอารมณ์ลงได้ จากนั้นก็นั่งลงด้วยแววตาที่สับสน จ้องมองสวนดอกไม้ที่อยู่ตรงหน้า ด้วยความเหม่อลอย
เธอไม่เคยคิดเลย ว่าการที่ตัวเองออกมาจากบ้าน เตรียมตัวจะมาดูแลเขา และรินน้ำให้เขา แต่ปรากฏว่ายังไม่ทันได้เข้าห้องผู้ป่วยของเขา ก็ได้ยินเขาคุยโทรศัพท์กับคนอื่น พูดเรื่องที่เขารักเธอ
รักเหรอ
ปาจรีย์ยกยิ้มเยาะที่มุมปาก
คำๆนี้ หากพูดออกมาจากปากคนอื่น เธอเชื่อ แต่พูดออกมาจากพงศกรนั้น เธอไม่เชื่อสักคำ
เขาจะรักเธอได้ยังไง