พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 874 ความห่วงใยของพงศกร
เมื่อผ่านไปสักพัก ปาจรีย์ก็ไม่เห็นว่าพงศกรจะเรียกชื่อเธออีก เธอกัดริมฝีปากล่าง และในที่สุดก็รวบรวมความกล้าของตัวเองโดยการยืนตัวตรง “คุณพงศกรคะ”
ดวงตาพงศกรกะพริบเล็กน้อย “ช่างถือ เมื่อคุณไม่อยากฟัง ผมก็จะไม่พูด”
การที่จะพูดเรื่องพวกนี้ในตอนนี้ มันคงจะเร็วเกินไปจริงๆ
ทีแรกเขาไม่ได้ตั้งใจจะบอกเรื่องพวกนี้กับเธอตอนนี้ เพียงแต่เธอบังเอิญผ่านมาได้ยินพอดี
ทำตามแผนเดิมดีกว่า รอหลังจากที่เขาทำเรื่องจะอยากทำให้เสร็จเรียบร้อยก่อน จากนั้นก็ค่อยทำให้เธอรู้ใหม่ก็ยังไม่สาย
เมื่อได้ยินพงศกรไม่พูดแล้ว ปาจรีย์ก็แอบถอนหายใจเบาๆ
พูดตามจริงนะ เธอกลัวเขาจะพูดอะไร ที่เกี่ยวกับความรู้สึกที่เขามีต่อเธอจริงๆ
เธอในตอนนี้ สำหรับเรื่องความรักนั้นก็เปรียบเสมือนกระดาษเปล่า ที่ไม่รู้ว่าจะจัดการยังไง และไม่รู้ว่าจะยอมรับยังไงดี
ดังนั้น เธอจึงกลัวว่าเขาจะพูดมากไป มันจะส่งผลต่อหัวใจของเธออีกได้
เพราะเธอรู้ดี ว่าเมื่อก่อนตัวเองนั้นรักเขามากมายขนาดไหน หากปล่อยให้มีอิทธิพลมากเกินไป ก็อาจรักเขาอีกครั้งได้
มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้สูงมาก
ดังนั้น เธอจึงไม่อยากจะฟังคำพูดพวกนั้นของเขา ไม่ว่าจะจริง หรือโกหก ก็ไม่อยากฟัง ฟังมากไป ได้รับผลกระทบง่ายๆไม่ว่า มันยังง่ายต่อการตกหลุมพรางอีก
ไม่ว่าเขาจะพูดแบบนั้นกับคนที่คุยโทรศัพท์ด้วยทำไม เพียงแค่เขาไม่คิดทำร้ายกับพ่อแม่เธอก็พอ
เรื่องอื่น……ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
เธอในตอนนี้ ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
“คิดอะไรอยู่ ”เมื่อเห็นปาจรีย์เหม่อลอย พงศกรก็หรี่ตา ถามออกไป
ปาจรีย์ส่ายหัว “เปล่าค่ะ ฉันไม่คิดอะไรเลยค่ะ ฉันจะไปต้มน้ำแล้วนะคะ”
เมื่อพูดจบ เธอก็หยิบกาต้มน้ำ แล้วก็หมุนตัวเดินไปที่ห้องครัวใหม่อีกครั้ง
พงศกรมองแผ่นหลังเธอ โดยไม่เรียกเธอไว้อีก
ผ่านไปประมาณสิบกว่านาที ปาจรีย์ก็ถือกาต้มน้ำออกมาจากห้องครัว รินน้ำให้เขา แล้วเดินมาที่ข้างเตียงผู้ป่วยของเขา “คุณพงศกร ดื่มน้ำหน่อยนะคะ”
พงศกรอือตอบ แล้วรับแก้วน้ำไป
หลังจากที่ปาจรีย์ปล่อยแก้วน้ำ จู่ๆก็นึกอะไรขึ้นมา จึงถาม“ใช่แล้วค่ะคุณพงศกร เศษแก้วที่หน้าประตู ใครเป็นคนเก็บกวาดคะ”
“คุณพยาบาล” พงศกรดื่มน้ำ แล้วตอบด้วยเสียงเบา
ปาจรีย์พยักหน้าอย่างเข้าใจ “ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง”
ก็ใช่ นอกจากพยาบาทที่โรงพยาบาล ยังจะมีใครจะเก็บกวาดอีกล่ะ
เพื่อให้เธอดูแลเขา เขาไม่ได้จ้างพยาบาลประจำตัวมาดูแล ดังนั้นจึงมีแค่คุณพยาบาลเท่านั้นแหละ
เธอน่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ปาจรีย์ก็เตรียมตัวจะเดิน ไปจัดยาให้เขา เพื่อให้อีกสักพักเขาจะได้ทานยาได้อย่างสะดวก
เมื่อตอนที่เธอกำลังหมุนตัวนั้น กระเพาะเธอก็เริ่มปั่นป่วน ความรู้สึกคลื่นไส้ก็ตีขึ้นมา
สีหน้าเธอเปลี่ยนไปทันที รีบปิดปากทันทีที่รู้สึกพะอืดพะอม
พงศกรเห็นเช่นนี้ ก็รีบวางแก้วลงแล้วมองเธอ “คุณเป็นอะไร”
สีหน้าของเธอซีดมาก ดวงตาเธอเปียกด้วยน้ำตาเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เธอทรมานเป็นอย่างมาก
ปาจรีย์ส่ายหัวให้เขา ไม่ได้ตอบเขา พุ่งตรงไปที่ห้องน้ำทันที
ไม่นาน พงศกรก็ได้ยินเสียงอาเจียนออกมาจากห้องน้ำเป็นพักๆ
เสียงนั้น ราวกับกำลังจะอาเจียนอวัยวะภายในออกมา
ทีแรกพงศกรก็ยังไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆเธอถึงอาเจียน
ในเมื่อเธอก็ไม่ได้เป็นหวัด หรือว่าป่วย
แต่ไม่นาน เขาก็นึกขึ้นได้ ว่าที่เธอเป็นแบบนี้ เป็นเพราะว่าเธอกำลังตั้งท้อง ในท้องของเธอ ยังมีลูกของเขาอยู่ในนั้น
และตอนนี้เด็กยังอายุยังไม่ถึงสามเดือน ดังนั้นอาการแพ้ท้องก็ยังไม่หมดไป
แต่หลายวันนี้ เขาไม่เคยเห็นเธอเป็นเช่นนี้ต่อหน้าเขาเลยสักครั้ง ดังนั้นเขาจึงค่อยๆลืมเรื่องนี้ไป
เมื่อได้ยินเสียงปาจรีย์อาเจียนรุนแรงจากห้องน้ำ ในใจพงศกรก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา
เขายกผ้าห่มออกแล้วลงจากเตียง จากนั้นก็เดินโซเซไปอยู่ตรงหน้าโต๊ะที่ปาจรีย์วางกาต้มน้ำ แล้วยกกาต้มน้ำกับแก้วน้ำสะอาดขึ้นมา เทน้ำร้อนลงแก้ว
หลังจากทำเช่นนี้ เขาก็จับกำแพงและทุกสิ่งที่สามารถพยุงตัวไม่ให้ล้มได้ ค่อยๆเดินไปที่เตียงผู้ป่วย โน้มตัวดึงโต๊ะข้างเตียงข้างเตียงออก หยิบของบางอย่างที่ห่อหุ้มไว้ออกมาจากข้างใน
เขายังไม่หยุดนิ่ง ถือสิ่งของนั้น ไปที่ห้องครัวอีกครั้ง
สุดท้าย เขาออกมาจากห้องครัวพร้อมกับถือจานไว้ ในจานมีของสีเหลืองๆ และดูแห้งๆเหี่ยวๆวางอยู่
มองดูดีๆแล้ว กลับเป็นบ๊วยเค็มถุงหนึ่ง
ในขณะที่พงศกรวางบ๊วยเค็มไว้บนโต๊ะนั้น ประตูห้องน้ำก็เปิดออกพอดี
ปาจรีย์เดินออกมาจากข้างในด้วยใบหน้าซีด
เธอยังคงเอามือปิดปากตัวเองไว้ ใบหน้าของเธอยังคงซีดมาก เบ้าตาเธอแดงก่ำ แม้แต่เส้นผม ก็เปียกไปหมด
เห็นได้ชัด ว่าตอนที่เธออยู่ข้างใน ได้ใช้น้ำเย็นล้างหน้าโดยไม่ระวังทำมันเปียก
เมื่อเห็นพงศกรไม่ได้นอนอยู่บนเตียง กลับยืนอยู่ข้างโต๊ะ ปาจรีย์ก็ถามอย่าสงสัย โดยไม่สนใจความทรมานของตัวเอง “คุณพงศกรทำไมคุณอยู่ตรงนั้นคะ”
“มานี่”พงศกรไม่ตอบคำถามเธอ กลับโบกมือเรียกเธอ
ปาจรีย์ไม่รู้ว่าเขาต้องการทำอะไร หลังจากลังเลไปแวบหนึ่ง ก็ค่อยๆเดินไปหา
พงศกรเห็นเธอค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ สีหน้าดูซีดมากกว่าตอนที่เธอออกมาจากห้องน้ำ ก็ขมวดคิ้ว พลางถามด้วยน้ำเสียงอย่างเป็นห่วง “ทุกครั้งที่มีอาการ ก็จะทรมานแบบนี้เหรอ”
“ห๊ะ” ปาจรีย์มึนงง และยังตั้งตัวไม่ทัน
พงศกรขมวดคิ้ว “ผมบอกว่า คุณอาเจียนรุนแรงแบบนี้ทุกครั้งเลยใช่ไหม”
สายตาเขาจ้องที่หน้าท้องเธอ
ตอนนี้ปาจรีย์ถึงจะเข้าใจ ว่าเขากำลังเป็นห่วงเธอ
ทันใดนั้น ปาจรีย์ก็เบิกตากว้างจ้องมองพงศกร ด้วยแววตาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
เห็นได้อย่างชัดเจน ว่าเธอไม่เชื่อเลยสักนิด ว่าเขาจะเป็นห่วงเธอ
เมื่อพงศกรเห็นการตะลึงของปาจรีย์แล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่าตอนนี้ความรู้สึกเธอเป็นแบบไหน และรู้ด้วยว่าตอนนี้เธอกำลังคิดอะไรอยู่
ก็ใช่ เมื่อก่อนตัวเองนั้นกระทำเช่นนั้นกับเธอ เธอได้ยินเขาถามเธอว่าเป็นอะไร ก็ต้องตะลึงงันไปอย่างแน่นอน
เพราะเมื่อก่อนเขานั้น ไม่เคยทำให้เธอได้สัมผัสถึงการดูแลเอาใจใส่เลยสักครั้ง
ดังนั้นการดูแลเอาใส่ใจของเขาในตอนนี้ ถึงทำให้เธอรู้สึกว่าไม่เป็นความจริงเช่นนี้
เป็นความผิดของเขา
พงศกรยกมือขึ้น เขกกบาลปาจรีย์เบาๆ น้ำเสียงอ่อนโยนยิ่งกว่าเดิมเล็กน้อย “โง่แล้วเหรอ ทำไมไม่ตอบคำถามผม”
ปาจรีย์อ้าปากค้าง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้สติของตัวเองกลับมาเล็กน้อย แล้วพยักหน้าอย่างมึนๆ“อือ ทุกครั้งก็จะเป็นแบบนี้ค่ะ”
เมื่อได้ยินคำตอบ พงศกรก็ขมวดคิ้วแน่น
ทุกครั้งก็เป็นแบบนี้ ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่า อาการแพ้ท้องของเธอนั้นรุนแรง รุนแรงกว่าคนท้องทั่วไปมาก
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป มันจะไม่ดีต่อร่างกายของเธอ และอาจทำให้ร่างกายเธอทรุดโทรมได้
“คุณหมอบอกว่าไง ” พงศกรหรี่ตาถาม
ปาจรีย์ขยันปาก ตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “ คุณหมอบอกว่า ให้ฉันพักฟื้นร่างกายที่โรงพยาบาล รอให้อาการแพ้ท้องหมดไปก่อนแล้วค่อยออกจากโรงพยาบาลค่ะ”
ไม่อย่างนั้น เธออาจสูญเสียเด็กคนนี้ไปได้
เพราะอาการแพ้ท้องมันรุนแรงเกินไป เธอกินไม่ได้ พักผ่อนก็ไม่เพียงพอ ตอนนี้สภาพจิตใจของเธอเริ่มจะแย่อย่างเห็นได้ชัดแล้ว
ดังนั้นหากเป็นเช่นนี้ต่อไป เธออาจเป็นเพราะสารอาหารไม่เพียงพอ ไม่สามารถให้สารอาหารแก่ลูกได้ ไม่เพียงจะรักษาลูกไว้ไม่ได้ ก็อาจเกิดเรื่องกับตัวเองได้เช่นกัน
หลังจากได้ฟังคำตอบของปาจรีย์ สีหน้าพงศกรก็เริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ในเมื่อคุณหมอบอกให้คุณพักที่โรงพยาบาล ทำให้คุณถึงไม่พัก”
ปาจรีย์เงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง แล้วก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว “ฉันเพิ่งไปตรวจครรภ์ที่โรงพยาบาลก่อนที่คุณจะมาที่นี้ได้วันหนึ่งเองค่ะ และในเวลานั้นคุณหมอเพิ่งแนะนำฉัน ทีแรกฉันก็คิดจะพักฟื้นร่างกายที่โรงพยาบาล แต่ตอนนั้นคุณ ก็ถูกคุณพ่อฉันทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ”
พงศกรเข้าใจในสิ่งที่เธอพูด
เธอพูดว่า เธอนั้นจะพักที่โรงพยาบาล แต่เป็นเพราะเขาได้รับบาดเจ็บ แล้วให้เป็นคนดูแล ดังนั้นเธอเลยไม่มีโอกาสได้พักฟื้นตัวที่โรงพยาบาล
ทันใดนั้น ในใจของพงศกรก็เกิดความรู้สึกผิดขึ้นมา
เขาถอนหายใจ “เรื่องนี้ พ่อแม่คุณรู้ไหม”