พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 879 ไม่สบายรึเปล่า
คืนนั้น ชายคนกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก ความอ่อนโยนในปกติได้หายไป และได้ลากวารุณีสู้รบด้วยกันเกือบทั้งคืน
จนกระทั่งรุ่งเช้าของวันรุ่งขึ้น ถึงจะยอมปล่อยวารุณีไป
วารุณีถึงมีโอกาสได้หายใจโล่งๆหน่อย จากนั้นก็ผล็อยหลับไปบนหมอน
เธอเหนื่อยมากจริงๆ จนไม่สามารถยกเปลือกตาที่อ่อนล้าได้ ไม่มีเรี่ยวแรง ไม่อยากขยับเลยสักนิด แม้แต่นิ้วก็ไม่อยากขยับ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะดึงผ้าห่มมาห่มตัวเอง การปรับท่านอนเลย จึงปล่อยตัวนอนคว่ำหน้าลงบนเตียงอย่างทำอะไรไม่ได้
ให้มันเป็นแบบนี้ไปเถอะ ไม่ว่าท่าทางของเธอจะเป็นอย่างไร เธอเหนื่อยเกินไปแล้ว คิดเพียงแค่อยากนอนเท่านั้น
ดังนั้นที่เหลือ รอพรุ่งนี้ตื่นมาค่อยว่ากันแล้วกัน
ด้วยแบบนี้ วารุณีก็หลับสนิทไปทันที เป็นเพราะเหนื่อยเกินไป จนทำให้เกิดเสียงกรนเล็กน้อย เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าตอนนี้เธอหลับลึกเพียงใด
และที่นอนคว่ำอยู่บนหลังเธอ ก็คือนัทธีที่กำลังพักผ่อนอยู่ก็ได้ยินเสียงกรมของหญิงสาว รู้ว่าผู้หญิงหลับแล้ว จึงรีบใช้มือสองข้างยกร่างของหญิงสาวขึ้นมา
การสู้รบที่ดุเดือดทั้งคืน แม้ความเขาจะมีพลังกำลังมากมายเกินมนุษย์ แต่ตอนนี้จะไม่เหนื่อยก็คงไม่ได้
ดังนั้นหลังจากจบสิ้นแล้ว เขาจึงไม่ได้ลุกขึ้นมา อุ้มหญิงสาวไปอาบน้ำเหมือนเช่นเคย แต่กลับนอนคว่ำที่ตัวของหญิงสาว และหอบเหนื่อยเล็กน้อยเพื่อพักผ่อน และคลายความเหนื่อยล้าของร่างกาย อยากจะรอจนถึงความเหนื่อยหายไปหมดแล้วค่อยพาผู้หญิงไปอาบน้ำ
แต่ปรากฏว่า หญิงสาวจะอดทนความง่วงไม่ได้หลับไปซะแล้ว
“คุณภรรยา”หลังจากนัทธีลุกขึ้นนั่ง ก็เขย่าไหล่วารุณีเบาๆ อยากเรียกหญิงสาวให้ตื่น “ตื่นๆ ผมจะพาคุณไปอาบน้ำ อาบเสร็จค่อยนอน”
วารุณีขมวดคิ้ว ไม่คิดอยากจะลุกขึ้นมา
นัทธีเห็นความเหนื่อยล้าจากหว่างคิ้วของเธอ รวมไปถึงรอยคล้ำใต้ตาจางๆ ในที่สุดก็ล้มเลิกความคิดที่จะปลุกเธอให้ตื่นเพื่อไปอาบน้ำ
ช่างเถอะ เหนื่อยขนาดนี้ ก็ปล่อยให้เธอหลับไปเถอะ
แต่ว่าท่านี้ ต้องปรับสักหน่อย จะนอนคว่ำไม่ได้ มันไม่ดีต่อหัวใจ และไม่ดีต่อเขา
ความนุ่มนิ่มคู่นี้ที่เขาชอบที่สุด จะโดนทับแบนแบบนี้ไม่ได้
มือของนัทธี จับไหล่ของวารุณีไว้ แล้วพลิกหญิงสาวอย่างเบามือ และช่วยเธอปรับท่านอนให้หญิงสาว
หลังจากปรับเสร็จแล้ว ก็คลุมผ้าห่มให้หญิงสาว เพื่อให้เธอนอนได้สบายมากขึ้น
หลังจากจัดการเสร็จ นัทธีก็ลุกขึ้น เดินไปที่ห้อง เตรียมจะอาบน้ำก่อนแล้วค่อยว่ากัน
เหนื่อยมาทั้งคืน ทั้งตัวเต็มไปด้วยเหงื่อ และเมื่อเหงื่อแห้ง ก็รู้สึกเหนียวตัว มันรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก
ดังนั้น นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไม ที่เขาอยากจะให้วารุณีอาบน้ำก่อนแล้วค่อยนอน
แต่ในเมื่อวารุณีหลับไปแล้ว เขาก็ไม่สามารถปลุกเธอตื่นได้
หลังตื่นนอน ร่างกายเธอคงอ่อนเพลียมาก คนที่จะเป็นห่วงก็เขานั่นแหละ
นัทธีเป็นคนอาบน้ำไว ไม่ถึงสิบนาทีก็อาบเสร็จออกมา
เขาเช็ดผมอย่างสบายอารมณ์ จากนั้นก็เดินไปที่ข้างเตียง ยกผ้าห่มขึ้นแล้วขึ้นไป กอดหญิงสาวที่หลับสบายไว้ แล้วปิดตาลง นอนหลับตามไป
ในขณะเดียวกัน ในอีกด้านหนึ่ง
ทางด้านฝั่งของปาจรีย์นั้นเป็นช่วงกลางคืนแล้ว
เธอจัดเก็บห้องของตัวเองเสร็จ ก็เปิดประตูออก เดินไปที่ห้องผู้ป่วยของพงศกรที่ข้างๆ เตรียมจะถามว่าคืนนี้เขาอยากทานอะไร ตัวเธอจะได้ออกไปซื้อของทำให้เขาทาน
แม้ว่าเขาจะให้เธอจ้างพยาบาลประจำตัวมาดูแลแล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาปฏิบัติงานของพยาบาลประจำตัว เธอยังต้องค่อยดูแลอยู่
เมื่อมาถึงหน้าประตูห้องผู้ป่วยที่พงศกรพักอยู่ ปาจรีย์ก็ยกมือเคาะประตู
พงศกรที่พักอยู่ด้านในประตูเพิ่งตื่นไม่นาน สมองยังสะลึมสะลือเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ก็ย่นขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยด้วยเสียงแหบเล็กน้อย “เข้ามา”
นอกประตู ปาจรีย์ที่ได้ยินน้ำเสียงที่ผิดปกติไปของพงศกร ก็รู้สึกตกใจ จนรีบเปิดประตูเดินเข้ามา “ คุณพงศกร คุณเป็นอะไรไหมคะ ไม่สบายรึเปล่าคะ ฉันฟังจากเสียงของคุณแล้วเหมือนจะไม่ค่อยสบายค่ะ”
พงศกรเอาข้างหนึ่งมือก่ายบนตา เมื่อได้คำพูดนี้ ก็ยกมือออกจากดวงตา แล้วลุกขึ้นนั่งบนเตียงทันที พร้อมกับเงยหน้าหันไปมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู “เป็นคุณนี่เอง”
“คือฉันเองค่ะ” ปาจรีย์พยักหน้า ปิดประตูแล้วเดินไปหาเขา “คุณพงศกร คุณไม่สบายตรงไหนไหมคะ ฉันเห็นสีหน้าคุณดูไม่ค่อยดีเลยค่ะ”
ไม่ค่อยจะดีจริงๆด้วย สีหน้าซีดเซียวเล็กน้อย
หลายวันมานี้ เขาพักฟื้นได้ไม่เลว มีเพียงกระดูกที่ยังไม่ค่อยจะดี พวกแผลถลอกจากการได้รับบาดเจ็บ ก็เริ่มเกือบจะหายดีทั้งหมดแล้ว ดังนั้นสีหน้า ก็เริ่มดูมีเลือดฝาด ไม่เหมือนกับตอนที่เพิ่งเข้าโรงพยาบาลที่ดูซีดเซียวเช่นนั้น
แต่ตอนนี้ สีหน้าของเขากลับเหมือนตอนเพิ่งเข้าโรงพยาบาลเช่นนั้น ดังนั้นแบบนี้จะไม่ให้เธอเป็นห่วงได้ยังไง เป็นเพราะแผลของเขาอักเสบหรือแผลเปิดรึเปล่า
“ผมไม่เป็นอะไร” พงศกรนวดหว่างคิ้วเบาๆ แล้วเปิดปากพูดตอบออกไปคำหนึ่ง
ปาจรีย์ขมวดคิ้ว “ไม่เป็นอะไร นี่จะไม่เป็นอะไรได้ยังไงคะ คุณดูสีหน้าคุณสิคะว่ามันดูแย่ขนาดไหน”
เมื่อพูดแล้ว เธอก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ให้เขาเห็นตัวเองจากหน้าจอ
การกระทำของเธอทำให้พงศกรเลิกคิ้ว จากนั้นก็กระตุกมุมปาก “คุณร้อนใจแบบนี้ คุณเป็นห่วงผมใช่ไหม”
เมื่อปาจรีย์ได้ยินคำพูดนี้ของเขา ก็ตะลึงไปก่อน จากนั้นก็รีบวางโทรศัพท์ลงแล้วถอยออกมาหนึ่งก้าว แล้วส่ายหน้าปฏิเสธทันที “ไม่ใช่ค่ะ”
หัวใจเธอเต้นเร็วขึ้น ใบหน้าก็ร้อนขึ้นเล็กน้อย และไม่กล้าใช้สายตามองเขาจึงหันไปมองทางอื่น ในใจก็เหมือนจะว้าวุ่นไปหมด
เธอไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงร้อนรนใจแบบนี้
เป็นแค่คำพูดที่ความเข้าใจผิดคำเดียวไม่ใช่เหรอ ทำไมคุณถึงรู้สึกประหม่ากระวนกระวายแบบนี้ล่ะ
แม้ว่าเธอจะคิดอย่างนี้ แต่ความร้อนรนใจเธอ กลับยังอยู่ไม่จางหายสักที และไม่สามารถสงบลงได้ด้วย
เธอไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงได้ร้อนรนใจแบบนี้
ความรู้สึกนี้ ทำให้ไม่คุ้ม และทำให้เธอไม่รู้จะจัดการยังไงด้วย แต่ในเวลาเดียวกัน ก็กลับทำให้เธอแอบประหลาดใจจนถึงขั้นเสพ……ติด
“ไม่ใช่ค่ะ” เมื่อเห็นการรีบปฏิเสธของปาจรีย์ พงศกรก็หรี่ตา “พูดแบบนี้คือคุณไม่เป็นห่วงผมใช่ไหม ผมอาจเป็นเพราะบาดแผลบนตัวจึงไม่สบายก็ได้ ก็หมายความว่า ทั้งหมดนี้สาเหตุเกิดมาจากพวกคุณ แต่คุณกลับไม่เป็นห่วงเหรอ ปาจรีย์ คุณไม่รู้สึกว่าคุณเยือกเย็นเกินไปหน่อยไหม”
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ปาจรีย์ก็รีบเงยหน้าทันที “ไม่ใช่แบบนี้นะคะคุณพงศกร ฉันไม่ได้เยือกเย็น ฉันแค่……แค่……”
เธอรีบกัดริมฝีปากตัวเอง ไม่รู้จะอธิบายยังไง
เธออยากพูด ว่าเธอนั้นเป็นห่วงเขา แต่ถ้าหากพูดออกไป ก็เหมือนกับว่าความเป็นห่วงนี้ จะกลายเป็นความเป็นห่วงที่ดูแปลกๆยังไงไม่รู้
พูดสรุปง่ายๆคือ มันไม่ใช่ความเป็นห่วงระหว่างเพื่อนทั่วไป แต่เป็นแบบคนรัก
เพราะการที่เขาเป็นคนถามเธอเองว่าเป็นห่วงเขารึเปล่าด้วย ดังนั้นความคลุมเครือไม่ชัดเจนแบบนี้ มันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้น เธอถึงต้องพูดว่าตัวเองไม่ได้เป็นห่วง เพราะถ้าเป็นเช่นนี้ คำพูดของเขา ก็จะไม่ได้ดูคลุมเครือแล้ว
แต่ปรากฏว่าหลังจากที่เธอตอบแบบนี้ เขากลับบอกว่าเธอเป็นคนเยือกเย็น
จนตอนนี้ เธอตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะพูดว่าเป็นห่วงก็ไม่ใช่ จะพูดว่าไม่เป็นห่วงก็ยิ่งจะไม่ใช่อีก เธอไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี
พงศกรเห็นเบ้าตาปาจรีย์แดงๆ เหมือนจะร้องไห้แล้ว ก็แอบถอนหายใจ แต่ภายนอกกลับนิ่งไม่แสดงออก
“พอแล้ว แค่พูดเล่นเอง” พงศกรบีบที่หว่างคิ้ว แล้วพูดเสียงเบา
มีเพียงการทำเช่นนี้ เธอถึงจะสงบลงได้
เป็นไปอย่างที่คิด เมื่อได้ยินว่าล้อเล่น ปาจรีย์ก็นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วยิ้มออกมาก “คุณพงศกร ฉันจะเรียกหมอให้คุณนะคะ”
ไม่ว่าจะยังไง สีหน้าของเขาก็ยังผิดปกติอยู่ แม้ว่าเขาจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ดูไม่ปกติเลยสักนิด
เพียงในเวลาอันสั้นไม่กี่นาที เขาก็นวดหว่างคิ้วและขมับสองสามครั้งแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าส่วนที่เขารู้สึกไม่สบายนั่นคือศีรษะ
ศีรษะเป็นส่วนที่ลึกลับ และสำคัญที่สุดของร่างกายมนุษย์ จะประมาทไม่ได้ จำเป็นต้องเรียกหมอมาดูเขา
มิฉะนั้น ถ้าเกิดปัญหาจะลำบาก
แต่พงศกรยกมือขึ้นปฏิเสธ “ไม่ต้อง”