พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 883 อาการร้ายแรงมาก
นึกถึงเท่านี้ พงศกรก็ใช้นิ้วโป้งลูบไปที่รูปบนเอกสารรับรอง จู่ๆ ก็หัวเราะออกมาเบาๆ เสียงหัวเราะนั้นอ่อนโยนเป็นพิเศษ ราวกับย้อนกลับไปตอนที่อยู่ต่อหน้าวารุณี ท่าทางอ่อนโยนนั้น แต่กลับอ่อนโยนกว่านั้น มากจริงๆ
“เด็กโง่” หลังจากที่พงศกรกระซิบหนึ่งประโยคไปเบาๆ ก็เก็บเอกสารรับรอง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกไป
ไม่ช้า ก็มีหมอหนึ่งคนพาพยาบาลเข้ามา คือผู้อำนวยการสูตินรีเวช
“คุณหมอพงศกร” พงศกรชื่อเสียงโด่งดัง คือหมอสมองสูงสุดในโลก ดังนั้นหมอที่โรงพยาบาลแห่งนี้ ต่างก็รู้จักเขาเป็นปกติ
เมื่อพงศกรเห็นว่าหมอยื่นมือออกมาหาตัวเอง จึงวางเอกสารรับรองของปาจรีย์ลง และยื่นมือออกไปเช่นกัน จับมือกับอีกฝ่าย “คุณหมอปีเตอร์ สวัสดีครับ”
“คุณหมอพงศกรเรียกผมเข้ามา มีเรื่องอะไรเหรอครับ?ใช่เรื่องคุณผู้หญิงข้างๆ คุณหรือเปล่า?” คุณหมอปีเตอร์ดึงเก้าอี้มา แล้วนั่งลงข้างเตียง หลังจากนั้นก็มองไปที่ห้องครัว แล้วถาม
พงศกรเองก็ไม่ได้ปิดบัง แล้วอืมเพื่อตอบรับ ถือว่าเป็นการยอมรับ “ผมอยากรู้ อาการของเธอตอนนี้อย่างละเอียด”
ปาจรีย์มาตรวจครรภ์ที่โรงพยาบาลนี้ เพื่อมาเช็ค แล้วเป็นผู้อำนวยการสูตินรีเวชคนนี้พอดี
ดังนั้นเมื่อได้ยินคำถามของพงศกร จึงรีบตอบทันที “พูดตามจริง สภาวะของของคุณผู้หญิงคนนี้ไม่สู้ดีนัก สุขภาพของเธอเดิมทีแล้วไม่ดีนัก ทั้งน้ำตาลในเลือดต่ำ ขาดออกซิเจนในเลือด ที่สามารถดูแลเด็กให้ถึงตอนนี้ได้ ไม่ง่ายเลยครับ ถ้าหากโชคร้ายกว่านี้หน่อย เด็กในท้องของเธอ แท้งไปนานแล้วครับ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หัวใจของพงศกรก็ห่อลง สีหน้าก็เคร่งตึงขึ้นทันที
โดยละเอียดแล้วอาการแย่กว่าที่เขาคิดไว้มาก
ตอนนี้ คุณหมอปีเตอร์พูดขึ้นอีกครั้ง “อีกทั้งอารมณ์ของคุณผู้หญิงคนนี้อยู่ในภาวะเครียดมาตลอด นี่ส่งผลเสียให้ร่างกายของเธอกับเด็กในท้องของเธอด้วย ระยะเวลานานไป ถ้าหากว่ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ต่อให้เธอรักษาตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาล ก็รักษาเด็กไว้ไม่ได้อยู่ดีครับ เมื่อก่อนผมเคยแนะนำคุณผู้หญิง ว่าให้ปรับอารมณ์ของตัวเองดีๆ พยายามปล่อยวางให้ได้มากที่สุด ให้มีความสุข ไม่ต้องคิดมากเรื่องที่มีหรือไม่มี แต่เหมือนว่าเธอได้ฟังเลย”
พงศกรเม้มปากเป็นเส้นตรง แล้วไม่พูดอะไร
เพราะเขารู้ดี ว่าทำไมปาจรีย์ถึงได้อารมณ์ไม่ดีมาตลอด ไม่สามารถเบิกบานได้ ก็เพราะเขา
เพราะการปรากฏตัวของเขา ทำให้ตระกูลสวนจันทร์ที่เดิมทีนั้นอิสรเสรี เธอที่เป็นอิสระ กลับเข้าสู่วังวนความกลัวและสิ้นหวังอีกครั้ง
ต่อให้เขาไม่ได้ทำอะไรเธอ ไม่ได้ทำอะไรตระกูลสวนจันทร์ เธอก็ไม่สามารถผ่อนคลายอารมณ์ได้
เพราะในใจเธอคิดอยู่ตลอด ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่ทำอะไรเธอจะไม่ทำอะไรตระกูลสวนจันทร์ แค่ตอนนี้เขาอยู่ในโรงพยาบาลอยู่เท่านั้น ช่วงนี้เลยยังทำอะไรพวกเขาไม่ได้ รอหลังจากที่หายดี ก็จะต้องแก้แค้นตระกูลสวนจันทร์ของพวกเขาแน่นอน
ดังนั้น อารมณ์ของเธอ จะดีได้ยังไง อกสั่นขวัญแขวนอยู่ตลอด และหวาดหวั่น
“คุณหมอพงศกร?” เมื่อเห็นว่าพงศกรสติหลุด คุณหมอปีเตอร์จึงส่ายมือส่ายเขาอย่างสงสัย “คุณเป็นไรหรือเปล่า?”
พงศกรแวบสายตา ได้สติกลับ แล้วส่ายหัวเล็กน้อย “ผมไม่เป็นไร”
คุณหมอปีเตอร์ยิ้มเล็กน้อย “คุณหมอพงศกร คุณถามคุณผู้หญิงหน่อยก็ดีนะครับ คิดดูแล้วคงเป็นห่วงคุณผู้หญิงคนนั้นมากสินะครับ ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว งั้นคุณก็กล่อมเขาหน่อย อย่าให้เธอคิดไปเรื่อย ต้องทำให้จิตใจสบายๆ ไม่อย่างงั้นเด็กคนนี้รักษาไว้ไม่อยู่แน่ครับ”
พงศกรกำกำปั้นแน่น ตอบกลับด้วยเสียงที่แหบเล็กน้อย “ผมเข้าใจแล้ว ผมจะทำ แต่เรื่องที่เข้ามารักษาในโรงพยาบาล คงต้องรบกวนพวกคุณหน่อย หลังจากที่ผมหายดี ผมจะเป็นหมอด้านสมองอยู่ที่โรงพยาบาลนี้สักระยะ”
หลังจากได้ยินที่พงศกรพูด คุณหมอปีเตอร์ก็แววตาเป็นประกาย ตื่นเต้นดีใจอย่างมาก “งั้นดีเลยครับ”
นอกจากเขาจะเป็นผู้อำนวยสูตินรีเวช เขายังเป็นรองคณบดีของโรงพยาบาลด้วย คณบดีคนต่อไป ก็ย่อมต้องพิจารณาถึงโรงพยาบาล เมื่อได้ยินว่าพงศกรจะอยู่เป็นหมอต่อให้พวกเขา ต่อให้แค่ช่วงเวาสั้นๆ ก็มากพอที่ทำให้เขาดีใจ
ยังไงซะก็อยู่ระดับสูงสุดของโลก แถมยังเป็นหมออัจฉริยะด้านสมองที่อายุน้อยที่สุดในโลก ในการดำรงตำแหน่งของโรงพยาบาลของพวกเขา เมื่อข่าวกระจายออกไป ระดับของโรงพยาบาลของพวกเขาจะต้องยกระดับขึ้นแน่นอน ถึงตอนนั้น ก็จะมีบุคคลสำคัญวิ่งตามคุณหมอพงศกรเข้ามารักษาที่โรงพยาบาลของเขา พวกเขาก็จะได้ไม่ต้องกังวลว่าโรงพยาบาลจะไม่มีคนเข้ามาลงทุนแล้ว
ยิ่งคิดก็ยิ่งดีใจ คุณหมอปีเตอร์รีบลุกขึ้นยืน ใบหน้าปกปิดความปีติยินดีไม่อยู่ “สบายใจได้เลยครับคุณหมอพงศกร เรื่องการดูแลคุณผู้หญิงคนนี้ส่งมอบให้กับโรงพยาบาลของเรา พวกเราจะทำให้เธอและเด็กในท้อง ได้รับการดูแลและรักษาที่ดีที่สุด”
พงศกรยืมเพื่อเป็นการตอบรับ “รบกวนพวกคุณด้วยครับ”
“ที่ไหนกันล่ะครับ โรงพยาบาลเราพึ่งพาแสงสว่างจากคุณต่างหากครับ” คุณหมอปีเตอร์ยิ้มแล้วพูดอย่างเกรงใจ หลังจากนั้นมองไปที่เวลา “คุณหมอพงศกร ตอนนี้เย็นมากแล้ว ผมยังมีเคสผ่าคลอดที่ต้องจัดการ งั้นลาแล้วนะครับ ผมจะสั่ง จัดการห้องผู้ป่วยและแผนการดูแลให้คุณผู้หญิงคนนี้นะครับ”
“ครับ” พงศกรพยักหน้า แล้วยื่นเอกสารรับรองของปาจรีย์ออกไป
หลังจากที่คุณหมอปีเตอร์รับไป แล้วพาพยาบาลเดินออกไปอย่างเร็ว
ส่วนพงศกรหลังจากที่พวกเขาออกไป ก็หลับตา เริ่มครุ่นคิด จะปรับสภาวะจิตใจของปาจรีย์ยังไงดี
เขารู้มาตลอดว่าสภาวะจิตใจของปาจรีย์นั้นไม่ดี เก็บกด วิตกกังวล ไม่สงบ และก็รู้ว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป มันจะไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพของเธอ
แต่คิดไม่ถึงว่า ว่าจะส่งผลไปถึงเด็กในท้องของเธอ
ในตอนแรกเขากะว่า จะค่อยๆ ใช้เวลาปรับสภาวะจิตใจของเธอ
แต่ดูแล้วตอนนี้ เหมือนจะไม่ได้แล้ว
ขณะที่กำลังคิดอยู่ ประตูครัวก็เปิดออก ปาจรีย์ก็ยกเหยือกน้ำชาออกมาจากด้านใน เมื่อเห็นว่าในห้องเหลือแค่พงศกรแล้วคนเดียวแล้ว ก็อดแปลกใจไม่ได้ “เอ๊ะ?คนอื่นล่ะ?”
“คนอื่นอะไร?” พงศกรลืมตามองที่เธอ
ปาจรีย์เองก็ไม่ปิดบัง ตอบกลับ “เมื่อกี้นี้ที่ฉันอยู่ในครัว ได้ยินว่ามีคนมา คุณยังพูดกับอีกฝ่ายอยู่เลย ฉันเลยตั้งใจต้มชา ไม่คิดเลยว่าสุดท้าย พวกเขาไปแล้ว”
“พวกเขาไปแล้วจริงๆ ” พงศกรเหลือบไปมองประตูห้องผู้ป่วย
ปาจรีย์มองที่เหยือกชามือของตัวเอง “งั้นก็ต้มฟรีแล้วสิ”
พงศกรใบหน้ามืดลง “เขาไปกันแล้วแต่ฉันยังอยู่ ฉันดื่มไม่ได้หรือไง?”
จะต้มฟรีๆได้ไง?
รู้สึกว่าชานี่ เธอไม่ได้นึกถึงเขาเลยนี่
ปาจรีย์กะพริบตา “ไม่ได้ค่ะ ตอนนี้คุณดื่มชาเยอะไม่ได้ เพราะฉะนั้นชานี้ คุณห้ามดื่ม เพราะส่งผลกับการฟื้นฟูกระดูกของคุณ ไม่มีประโยชน์ เดี๋ยวฉันไปต้มอย่างอื่นให้”
พูดจบ เธอก็ถือกาชากลับไปที่ครัว ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่ยอมเอาชาให้เขาดื่ม
พงศกรยิ้มเยาะ
ผู้หญิงคนนี้ ดื้อรั้นจริงๆ
แต่ปาจรีย์ที่ดื้อรั้นเมื่อกี้ กลับทำให้เขานึกถึงตอนที่เธอเป็นเด็ก
ตอนเธอเด็กๆ ก็ดื้อแบบนี้เหมือนกัน
ช่างเถอะ ไม่ดื่มก็ไม่ดื่ม ตามๆ เธอหน่อย ทำให้เธอค่อยๆ ลดความกลัวและวิตกที่มีต่อเขาลง บางทีแบบนี้ อารมณ์ของเธออาจจะค่อยๆ ปรับดีขึ้นได้
เมื่อคิดอยู่ พงศกรก็หยิบนิตยสารแพทย์ข้างๆ ขึ้นมาดู
อีกฝั่ง ในที่สุดวารุณีก็ฟื้น แล้วลืมตา สิ่งที่เห็นคือเพดานสีเหลืองอ่อน
เธอคลึงที่ขยับ พยุงร่างกายเพื่อลุกนั่ง
สุดท้ายเพิ่งลุกขึ้นมาได้เพียงนิดเดียว ก็รั้งไปโดนบางตำแหน่งที่รู้สึกไม่ค่อยสบาย และยังเจ็บแปลบที่เอว ทำให้หลังจากที่ส่งเสียงออกจากทางจมูก ก็ล้มกลับไปที่เตียงอีกครั้งในทันที อาการสั่นในหัวยังคงวิงเวียน
ที่อยู่ไม่ไกลนัก เมื่อชายที่นั่งทำงานอยู่บนโซฟาได้ยินการเคลื่อนไหว ก็รีบวางโน๊ตบุ๊คลงจากขา ลุกขึ้นเดินไปที่เตียง เมื่อเห็นผู้หญิงที่คลึงหัวคิ้ว และสายตาพร่ามัว ริมฝีปากบางก็ยกขึ้น “ตื่นแล้วเหรอ?”