พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 887 ทั้งสองคนทะเลาะกัน
“ไม่ได้!” แม้ว่าอารมณ์ของวารุณีจะฮึกเหิมมาก น้ำเสียงมีความอ้อนวอนอยู่ในนั้น แต่นัทธีก็ยังคงไม่ยอมให้เธออยู่ ต้องแยกกับเธอ
ฟันของวารุณีกัดลงไปที่ริมฝีปากอย่างแน่น ไม่ช้าริมฝีปากก็ถูกเธอกัดจนแตก
นัทธีเห็นท่าทีนั้น หัวใจก็ถูกบีบตัวขึ้นทันที ใช้หัวแม่มือไปลูบที่มุมปากของเธอ “อย่ากัด”
“คุณมายุ่งทำไม” วารุณีปัดมือเขาออกด้วยอารมณ์โกรธ ไม่ต้องการให้เขามาแตะตัวเอง
เขาที่เพิ่งจะปฏิเสธเธอไป ปฏิเสธอย่างเย็นชา ตอนนี้จะมาห่วงเธอ ทำไมต้องมาห่วง?
นัทธีรู้อยู่แล้วว่าหญิงสาวโกรธ เม้มปากแน่น ในใจก็ไม่รู้รสชาติ โทษตัวเอง ปวดใจ แล้วก็ละอายใจมาก
แต่เขาไม่มีทางเลือก เพื่อความปลอดภัยของเธอ เขาทำได้แค่ต้องโหดเหี้ยมแบบนี้
“สรุปต่อไปคุณตั้งใจแข่ง แข่งเสร็จแล้ว คุณไปอยู่รวมกับลูก อยู่เป็นเพื่อนลูก อย่าทำให้ผมเป็นห่วง ที่ผมสัญญากับคุณไว้ ว่าจะมีชีวิตกลับมา กลับอยู่ข้างคุณและลูก ผมไม่คืนคำ เพราะฉะนั้นคุณต้องเชื่อฟัง ตกลงมั้ย?” นัทธีมองเธอด้วยนัยต์ที่มืดดำ
วารุณีไม่รู้ที่ไหนกันว่าเขาแน่วแน่ที่จะให้เธอจากไป เพราะว่าเป็นห่วงเธอ ห่วงใยเธอ กลัวว่าถึงตอนนั้นเธอจะถูกนิรุตติ์จับไป
แต่ว่า ต้องจากไปจริงๆ การที่ให้เขาเผชิญหน้ากับนิรุตติ์คนเดียว โดยที่เธอไม่รับรู้ข่าวสารอะไรจากเขาเลย ไม่รู้ว่าเขาได้รับอันตรายหรือเปล่า หัวใจของเธอดวงนี้ จะนิ่งสงบลงได้ยังไง เธอจะอยู่กับลูกๆได้อย่างสบายใจได้ยังไง
“นัทธี คุณตัดสินใจแล้วจริงๆ ไม่คิดจะเปลี่ยนใจเหรอ?” วารุณีกำกำปั้นแน่น มองชายหนุ่มด้วยสายตาซับซ้อน
ลูกกระเดือกของชายหนุ่มสั่นไหว จากนั้นก็พึมพำเสียงต่ำในท้ายที่สุด
วารุณีสูดหายใจเข้าลึก หลับตา “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ คุณไปเถอะ ฉันไม่อยากเห็นคุณตอนนี้ ต่อไป คุณก็อยากเข้ามาอยู่ในห้องกับฉันอีก คุณไปอยู่ห้องตัวเองคนเดียวเถอะ”
นัทธีตาเบิกกว้าง “หมายความว่ายังไง คุณไล่ผมเหรอ?”
เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้ เขาถูกภรรยาตัวเองไล่ออกจากห้อง ไปนอนที่ห้องอื่น
เมื่อก่อนเขาเคยได้ยินมารุตเล่าว่าหลังจากที่เชอรีนโกรธ ก็จะถูกเชอรีนไล่ออกจากห้อง
ตอนที่เขาได้ฟัง ถึงแม้ว่าไม่ได้พูด แต่ในใจกลับหัวเราะเยาะมารุตว่าไม่มีระดับ ถึงยังถูกไล่ออกจากห้อง
คิดไม่ถึงว่าจะผลัดเวร ชายที่ถูกไล่ออกจากห้อง จะถึงทีเขาเหมือนกัน
นัดที่เม้ม ริมฝีปากบางแน่น “วารุณี คุณ.…..”
“ออกไป!” วารุณีไม่ฟังที่เขาพูด คว้าหมอนขึ้นมา แล้วโยนใส่ตัวชายหนุ่ม
ชายหนุ่มรับหมอนอย่างไว ไม่โดนหมอนที่โยนใส่ แต่คิ้ว กลับคิ้วขมวดกันแน่น
แต่เขาไม่ได้โกรธเพราะการกระทำของหญิงสาว เพราะเขาก็เข้าใจดี ว่าวิธีของตัวเอง ทำให้หญิงสาวโกรธจนเป็นแบบนี้ ดังนั้นเขาเองจึงไม่มีสีหน้าโกรธ
นัทธีมองที่ใบหน้าเล็กสีแดงของวารุณี แล้วมองไปที่หมอนในมืออีกครั้ง
ท้ายที่สุด เขาก็เอาหมอนกลับไปวางไว้ที่เตียง กระแอมเบาๆ แล้วพูด “ผมรู้ว่าคุณโกรธเพราะการตัดสินใจของผม แต่เพราะผมเลือกให้คุณปลอดภัย”
“ฉันรู้ว่าคุณเลือกความปลอดภัยให้ฉัน แต่สิ่งที่คุณเลือกให้ฉัน ไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการ สิ่งที่ฉันต้องการมันง่ายมาก คือการเดินไปพร้อมกับคุณ สู้รบไปกับคุณ ฉันรู้ว่าเมื่อถึงตอนนั้นคุณกลัวว่านิรุตติ์จะทำร้ายฉัน หรือใช้ฉันมาควบคุมคุณ ทำให้คุณไม่มีโอกาสที่จะมาปกป้องฉันหรือว่าช่วยฉัน แต่ว่านี่มันคือสิ่งที่ฉันต้องการ ฉันไม่มีทางให้คุณไปเผชิญหน้าคนเดียว การให้คุณไปเผชิญหน้าคนเดียว คุณกับฉันไม่สามารถติดต่อกันได้บ่อยๆ ฉันไม่รู้ว่าคุณตกอยู่ในสถานการณ์ไหน ใจของฉันไม่มีทางสงบได้ นัทธี นี่คุณเข้าใจหรือเปล่า?”
เธอรูปไปที่หัวใจของตัวเอง
ทันใดนั้นนัทธีก็คงตัวลงมา โอบเธอเข้ามาในอ้อมกอด วางคางไว้บนไหล่ของเธอ เสียงทุ้มต่ำพูด “ผมรู้ ผมต้องรู้อยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบกับความปลอดภัยของคุณ ผมยอมให้คุณกังวลเป็นห่วงผม อย่างน้อยก็ปลอดภัยไม่เป็นอะไร”
“คุณ…..” วารุณีโกรธสุดขีด
เธอพูดยืนกรานขนาดนี้แล้ว ว่าอยากอยู่กับเขา แต่เขายังไม่ยอม
ดูแล้ว พวกเขาคุยกันต่อไปไม่ได้จริงๆ
คิดอยู่ วารุณีก็พักชายหนุ่มออกไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “นัทธี ฉันว่าเราสองคนเดินถึงทางตันแล้วแหละ พวกเราต่างก็รู้ พวกเราทำเพื่อฝ่ายตรงข้าม แต่กลับไม่มีใครยอมถอยคนละก้าว เพราะฉะนั้นฉันคิดว่า ตอนนี้เราต้องแยกกันไปสงบสติอารมณ์ก่อนจริงๆ ต่างคนต่างคิดเพื่อฝ่ายตรงข้ามสักหน่อย ดูว่าสามารถถอยคนละก้าวได้มั้ย แล้วก่อนจะคิดพิจารณาเรียบร้อยแล้ว ฉันคิดว่าพวกเราแยกกันสักพักดีกว่า เพราะฉะนั้นคุณออกไปเถอะ ฉันจะอยู่ในห้องนี้ ไม่อยากเห็นคุณจริงๆ”
พูดจบ เธอก็ชี้ไปที่ประตู
สีหน้านัทธีเองก็มืดลง คิดไม่ถึงเลย ว่าเธอจะอยากแยกห้องกับเขา
ชั่งเถอะ ที่เธอพูดก็ถูก พวกเขาในตอนนี้ ต่างก็ไม่ยอมถอยกันคนละก้าว ต่อให้รู้ว่าทำเพื่อฝ่ายตรงข้าม
ในเมื่อคุยกันต่อไปไม่ได้ งั้นก็แยกกันไปสงบสติอารมณ์ก่อนดีกว่า
“โอเค วันนี้ผมจะนอนแยกห้อง พวกเราไปคิดให้ดีกันเถอะ ยังไงระหว่างเรา ก็ต้องมีหนึ่งคนที่ยอมถอย”
พูดจบ นัทธีก็มองไปที่วารุณี แล้วหันหลังเดินออกจากประตูไป
วารุณีไม่คิดว่าเขาจะไปจริงๆ รีบหันไปมองที่เขา มองเงาด้านหลังของเขา ริมฝีปากของเธอสั่น ราวกับต้องการที่จะเรียกรั้งเขาไว้
แต่หลังจากที่คิดอะไรได้บางอย่าง ก็กัดริมฝีปากและกลืนคำที่ตัวเองจะพูดกลับไป แต่ดวงตากลับค่อยๆ แดงและเปียกชื้นขึ้นมา ในใจ ก็มีความรู้สึกน้อยใจลอยขึ้นมา
เธอแค่แน่ใจว่าเขาจะไม่ยอมแยกห้อง จึงตั้งใจเสนอการแยกห้องนอนขึ้นมา อยากให้เขาประนีประนอม และให้เธออยู่ต่อ
แต่คิดไม่ถึงเลย ว่าเขาจะยอมแยกห้อง และไม่ยอมประนีประนอม
เขาอยากส่งเธอไปขนาดนั้นเลยเหรอ?
“โง่ นัทธีคุณมันคนโง่จริงๆ !” หัวเราะมีร้องไห้จริงๆแล้ว ร้องไห้ไป และทุกหมอนที่วางอยู่บนตัวไป
นอกประตู นัทธีที่ยืนพิงประตูอยู่ได้ยินเสียงหญิงสาวร้องไห้และเสียงด่า หลับตาลง บนใบหน้าไม่ได้ปกปิดความละอายใจเลยแม้แต่น้อย
เขารู้ว่าในใจเธอเจ็บปวด แต่การตัดสินใจของเขาครั้งนี้ไม่มีทางเปลี่ยน
หรี่ตา ความแน่วแน่เเวบเข้ามาในสายตาของนัทธี หลังจากนั้นก็เดินลงบันไดไปอย่าเงียบๆ
ในห้องโถง ลีน่าที่กำลังโทรศัพท์อยู่ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ก็หันขึ้นไปมอง
เมื่อเห็นนัทธี เธอก็รีบพูดกับคนในปลายสายหนึ่งประโยค แล้ววางสาย หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นมาถามนัทธี “ประธานนัทธี วารุณียังไม่ตื่นเหรอคะ? จริงๆ เลย เธอหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ยังไม่ตื่นควรจะเรียกหมอได้แล้วนะคะ ฉันว่าประธานนัทธีคุณก็จริงๆ เลยนะ ตอนกลางคืนคุณไม่…..”
“เธอตื่นแล้ว” นัทธีขมวดคิ้วตัดบทเธอ
ลีน่าเลิกคิ้ว “ตื่นแล้วเหรอคะ?”
“อืม”
“งั้นดีเลย ฉันนึกว่าเธอหลับต่อไปนะเนี่ย แต่ในเมื่อวารุณีตื่นแล้ว ทำไมเธอถึงยังไม่ลงมาล่ะคะ?” ลีน่าเงยขึ้นไปดู
นัทธีไม่ได้ตอบ เพียงแค่มองไปที่เธอแล้วพูด “เดี๋ยวอีกสักพักเธอช่วยอะไรฉันหน่อย”
“หืม?” ลีน่ากะพริบตาด้วยความสงสัย “ธุระอะไรคะ ประธานนัทธีพูดมาได้เลยค่ะ”
“ช่วยฉันเอาข้าวขึ้นไปให้เธอหน่อย เธอน่าจะไม่ลงมาแล้ว” นัทธีคลึงที่หัวคิ้ว พูดอย่างเหนื่อยล้า
ลีน่าเต็มไปด้วยความสงสัย “ได้ก็ได้อยู่ค่ะ แต่เรื่องแบบนี้ ทำไมประธานนัทธีถึงไม่ทำเองล่ะคะ คุณเป็นสามีเธอ เอากับข้าวไปให้เธอเองไม่ดีกว่าเหรอคะ?”
นัดที่ลับตาและพูดนิ่งๆ “เธอไม่อยากเจอฉัน”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ก็เหมือนว่าลีน่าได้เข้าใจอะไรแล้วบางอย่าง ตกใจจนอ้าปากค้าง “ไม่หรอกมั้งคะ ประธานนัทธี พวกคุณ…..คุณกลับวารุณีคงไม่ได้ทะเลาะกันหรอกนะคะ?”
ลีน่าชี้ไปที่นัทธี แล้วชี้ขึ้นไปข้างบน
นัทธีหลับตาไม่พูด แต่ความหมายก็สามารถเห็นได้ชัดเจน
ลีน่า กลืนน้ำลายด้วยความตกใจ “พวกคุณทะเลาะกันจริงๆ เหรอ? เพราะอะไรคะ?”