พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 890 ตกอยู่ที่นั่งลำบากใจ
ลีน่ายื่นตะเกียบให้เธอ “เธอดูสิ อาหารพวกนี้ของที่เธอชอบทั้งนั้นเลยไม่ใช่เหรอ ประธานนัทธีตั้งใจเข้าครัวสั่งให้คนทำเลยนะ แถมยังจ้อมทุกขั้นตอนการทำเลยด้วย”
“ไปจ้องให้ทำ?” วารุณีขมวดคิ้ว
ลีน่าพยักหน้า “ใช่ ประธานนัทธีเข้าอยู่ในครัวอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงนั่นแหละถึงออกมา เพราะฉะนั้นไม่ใช่จ้องให้ทำเหรอ ดังนั้นประธานนัทธีเป็นห่วงเธอมากนะวารุณี”
“ฉันรู้ว่าเขาเป็นห่วงฉัน” วารุณีหลับตา
ลีน่ามองที่เธอ “งั้นเธอยังจะไปทะเลาะกับเขาอยู่อีกเหรอ ยังไล่เขาออกจากห้องอีก ถึงแม้ว่านะ ประธานนัทธี……”
นาน่า เธอจำตอนที่ฉันคลอดสุขใจได้มั้ย?” วารุณีวางตะเกียบลง ทันใดนั้นก็ตัดบทเธอ
ลีน่าพยักหน้า “จำได้ ตอนนั้นเธอเพิ่งอุ้มท้องได้หกเดือน ตอนนั้นเราอยู่ในการแข่งขันระดับนานาชาติ กำลังจะเข้ารอบตัดสินแล้ว แต่ตอนนั้น เกิดเรื่องขึ้นกับประธานนัทธี หายตัวไปในกองไฟ หลังจากที่เธอรู้ ภายใต้การได้รับแรงกระตุ้น เลยส่งผลภาวะแพ้ท้อง สุขใจเลยคลอดก่อนกำหนด พูดจริงนะ
นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันผู้หญิงคลอดลูก และครั้งแรก ก็คลอดก่อนกำหนดด้วย ตอนนั้นเห็นเธอหน้าซีดมาก ด้านล่างมีเลือดไหลลงมา ฉันตกใจแทบบ้า กลัวมากจนครั้งหนึ่งมีเงาดำ กลัวการมีลูกไปเลย”
“ใช่ไง เธอก็จำได้นี่” วารุณียกยิ้มมุมปาก เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ขมขื่น
ลีน่ามึนงง “วารุณี อยู่ๆ เธอพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม?”
“ฉันแค่อยากบอกเธอว่า ทำไมฉันถึงอยากทะเลาะกับนัทธี ทำไมฉันถึงไม่ยอมถอยหลังหนึ่งก้าว” วารุณีคลึงที่คิ้ว “ ครั้งนั้น หน้าที่ไปจัดการกับนิรุตติ์คนเดียว แล้วก็หายตัวไปตามแผนของนิรุตติ์ หลังจากที่ฉันรู้ ฉันก็กังวลจนคลอดก่อนกำหนด หลายวันที่นอนอยู่ในโรงพยาบาล ฉันไม่สามารถสบายใจเพื่อที่จะดูแลร่างกายตัวเองได้เลย ถึงขนาดที่ไม่ไปแม้แต่ดูสุขใจ มีแต่เขาเต็มไปทั้งหัวใจ มีแต่ความกังวลเรื่องเขา กังวลว่าเขาจะปลอดภัยหรือเปล่า กลัวว่าเขาตายไปแล้วหรือยัง หลายวันนั้น สำหรับฉันผ่านไปหนึ่งวันราวกับเป็นปี ไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าวันเวลามันยาวนานขนาดนี้ ฉันอยากที่จะรีบฟื้นฟูร่างกายเร็วๆแล้วไปหาเขา แต่ร่างกายของฉันไม่สู้ดีนัก ฉันทำได้แค่พักจิตใจให้สงบเพื่อเขา หลายวันที่นอนอยู่ในโรงพยาบาล รอจนขาถึงพื้นได้ ก็รีบกลับประเทศไปหาเขา”
“ฉันรู้ ฉันกับปาจรีย์แล้วก็เชอรีนเห็นหมด” ลีน่ากุมมือเธอแล้วพูด
ตอนนั้นวารุณีเป็นห่วงประธานนัทธีมาก เพราะการหายตัวไปของประธานนัทธีนั้นเจ็บปวดและทรมาน พวกเราที่เป็นเพื่อน ต่างเห็นกันหมดทุกคน แล้วยังเกลี้ยกล่อมเธอไม่ให้คิดมาก ประธานนัทธีจะต้องไม่เป็นอะไร เพื่อให้เธอดีขึ้นเร็วๆ
วารุณีสูดหายใจ “จากประสบการณ์การวิตกกังวลครั้งนั้น ฉันสาบานว่าไม่อยากจะประสบพบเจอกับมันอีก เพราะไม่มีใครรู้ ว่าครั้งที่สองใจยังโชคดีอยู่ไหม ถ้าหากว่าครั้งที่สอง ไม่มีเขาแล้วจริงๆ ฉันกับลูกจะทำยังไง?”
“วารุณีเธอหมายความว่า……”
“นัทธีกับนิรุตติ์จะท้าดวลกัน จากนิสัยของนิรุตติ์แล้ว ในเมื่อเสนอสงครามครั้งเด็ดขาด การสู้รบครั้งนี้จะไม่มีทางหยุด พวกเขาทั้งสองคน ต้องมีคนหนึ่งที่ต้องตาย ในเมื่อไม่ตาย ก็ต้องหมดเรี่ยวแรงไป นัทธีห่วงว่าการสู้รบครั้งนี้ จะเกี่ยวโยงมาถึงฉันกับลูก เลยอย่างส่งฉันกับลูกออกไป ตอนนี้ส่งอารัณกับไอริณออกไปแล้ว แล้วก็รอหลังจากฉันแข่งเสร็จ แล้วค่อยให้ฉันกับสุขใจตามไป ไปอยู่รวมกับลูก แต่ฉันไม่อยากไป” วารุณีขมวดคิ้ว
ลีน่าพูด “ที่จริงแล้วเพราะประธานนัทธีหวังดีกับเธอนะ”
“ฉันรู้” วารุณีกัดปาก “เขาเป็นห่วงฉัน กลัวจะเกิดเรื่องขึ้นกับฉัน แต่ฉันไม่ไป เพราะว่าเป็นห่วงเขาเหมือนกัน ฉันเคยผ่านเรื่องราวที่เขาไปเผชิญหน้ากับนิรุตติ์คนเดียวมาแล้ว ฉันไม่อยากเจอเหตุการณ์นี้เป็นครั้งที่สอง ฉันอยากเคียงข้างเขา ฉันอยากจะรวมเผชิญหน้าไปกับเขา ไม่ใช่หมกอยู่ที่ที่เดียว ไม่รู้ว่าเขาเป็นยังไงบ้าง เป็นแบบนั้น เหมือนกับตอนที่ฉันคลอดสุขใจ ไม่รู้ว่าความปลอดภัยความอันตรายที่เขาเจอมันต่างกันยังไง?” วารุณีหลับตาพูด
ลีน่าพยักหน้า “แต่นี่ ฉันว่าฉันรู้แล้วว่าปมของพวกเธออยู่ที่ไหน คนนึงเพื่อปกป้องภรรยา เพื่อไม่ให้ภรรยาโดนคนร้ายวางแผนลอบทำร้าย เลยอยากส่งภรรยาไปให้ไกล แต่อีกคนอยากจะรุกคืบและถอยหลังไปพร้อมกับสามี อยากจะรู้ข่าวสารของสามีตลอดเวลา เลยตั้งใจอยากอยู่ พวกเธอต่างก็เพื่ออีกฝ่าย แต่กลับไม่ประนีประนอมกัน เลยทะเลาะกันขึ้นมา”
วารุณีพึมพำเสียงต่ำ “ใช่”
ลีน่าถอนหายใจ “สามีภรรยาคู่อื่นทะเลาะกัน ไม่ใช่เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นเรื่องใหญ่มีชู้บ้านแตกสาแหรกขาด พวกเธอสามีภรรยาทะเลาะกัน เพราะเป็นคนดี ต่างก็เพราะเพื่ออีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายก็ต่างไม่รับ ครั้งนี้เป็นการทะเลาะ หรือเป็นการอำพรางการแสดงความรักกัน?”
วารุณีเม้มปากแดงๆ ไม่พูดอะไร
ลีน่ากะพริบตา “ที่ฉันขึ้นมาในทีแรก อยากช่วยประธานนัทธีเกลี้ยกล่อมเธอ ยังไงซะประธานนัทธีก็จะส่งเธอไปแล้ว ก็เพื่อความปลอดภัยของเธอ แต่ตอนนี้ได้ยินว่าเธอพูดแบบนี้แล้ว ฉันก็รู้ได้ว่า ฉันกล่อมเธอไม่ได้แล้วแหละ เพราะถ้าฉันเกลี้ยกล่อมเธอให้ฟังประธานนัทธี ก็จะไม่ยุติธรรมกับเธอ แต่ถ้าฉันโน้มน้าวให้ประธานนัทธีฟังเธอ ก็จะไม่ยุติธรรมกับประธานนัทธีด้วย ยังไงซะเธอสองคน ก็เพื่ออีกฝ่าย ไม่ใช่เพื่อตัวเอง ดังนั้นฉันที่เป็นคนกลาง ไม่รู้เลยว่าช่วยให้พวกเธอดีกันยังไงแล้ว”
วารุณีบีบมุมปาก “ตอนนี้ฉันกับนัทธีพากันเดินไปถึงทางตันแล้ว ถ้าหากว่าหนึ่งในพวกเราสองคน ไม่ถอยไปหนึ่งก้าวล่ะก็ ฉันว่าฉันกับนัทธี คงจะทำสงครามเย็นกันต่อไป”
“ดูออกแล้ว” ลีน่าพยักหน้า “เพราะฉะนั้นวารุณี เธอยอมถอยหนึ่งก้าวมั้ย?เชื่อประธานนัทธี หลังแข่งจบแล้วก็ออกไปจากที่นี่?”
วารุณีส่ายหน้า “ฉันบอกแล้ว ฉันจะไม่มีทางไม่ได้รับข่าวคราวของนัทธีอีก ไม่รู้ว่าเขาปลอดภัยอยู่หรือเปล่า ดังนั้นฉันไม่ถอย ฉันรับได้แค่การถอยของเขา”
“งั้นก็หมดหนทางแล้ว พวกเธอก็ได้แค่ทำสงครามเย็นกันต่อไปแล้วล่ะ เธอที่นิสัยอ่อนโยนยังไม่ยอมถอย ประธานนัทธีที่เจ้าอารมณ์แบบนั้น ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้” ลีน่ายักไหล่ แสดงให้เห็นว่าหมดหนทางแล้ว
วารุณีหลับตาลง ไม่พูดอะไร
ลีน่าหยิบตะเกียบยัดเข้าไปในมือของเธอใหม่อีกครั้ง “เอาล่ะวารุณี กินข้าวก่อน ไม่ต้องคิดเรื่องพวกนี้แล้ว ถึงยังไงตอนนี้ประธานนัทธีก็ยังไม่มีความคิดที่จะส่งเธอไป เพราะฉะนั้นถึงตอนนั้นแล้วมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้แน่นอน เธอกินข้าวก่อน ปล่อยให้ตัวเองเหงา”
วารุณียิ้ม “อื้ม”
นาน่าพูดถูก ตอนนี้นัทธียังไม่มีความคิดที่จะส่งเธอไป ดังนั้นในสองสามวันนี้ เธอยังมีวิธี ที่จะทำให้นัทธีเปลี่ยนใจ ให้เธออยู่ต่อ
ดังนั้น เธอจะต้องไม่ล้มลง
เพื่อกันต่อ และเพื่อการแข่งขันรอบตัดสิน เธอต้องกินข้าว
กล่าวก็คือ ทะเลาะกันก็ทะเลาะไป แต่ก็ยังต้องกินข้าว
วารุณีมีเรื่องกินข้าว เมื่อลีน่าเห็นว่าเธอกินข้าวแล้ว ก็โล่งอกขึ้น
เพื่อนรักกินข้าว ก็หมายความว่างานรับผิดชอบของเธอครั้งนี้สำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของประธานนัทธี เธอก็สามารถรายงานได้
ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง ส่วนที่รับผิดชอบช่วยประธานนัทธีโน้มน้าววารุณีนั้น เธอคาดว่า ไม่สำเร็จแล้วล่ะ
“ใช่แล้วลีน่า สุขใจล่ะ?” หลังจากที่วารุณีกินข้าวไปแล้วสองสามคำ ทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ หันหัวไปที่ด้านข้างเห็นได้ชัดว่าผู้หญิงที่ถามกำลังคิดอะไรอยู่ลีน่าแววตาเป็นประกาย ได้สติกลับ ยิ้มแล้วตอบ “สุขใจอยู่กับพี่นันทาน่ะ ตอนที่ฉันเอาอาหารขึ้นมาให้เธอ สุขใจเพิ่งจะดื่มนมเสร็จ ตอนนี้น่าจะหลับอยู่ เธออยากเจอสุขใจมั้ย?ถ้าอยากเจอ ฉันจะให้พี่นันทาอุ้มขึ้นมา”
วารุณีส่ายหน้า ยิ้มแล้วพูด “ไม่ล่ะ ในเมื่อสุขใจหลับแล้ว ฉันก็ไม่เจอดีกว่า อุ้มขึ้นมาถ้าตื่นแล้วคงจะร้อง เด็กคนนั้นถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยร้อง แต่ถ้าได้ร้อง ก็กล่อมยากมาก พรุ่งนี้ค่อยไปเจอดีกว่า”