พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 891 สมจริงมาก
“อันนี้พอได้” ลีน่าหาวและพูดตอบ
วารุณีเห็นความเหนื่อยล้าใต้ตาและพูดด้วยความเป็นห่วงว่า “ลีน่า ถ้าเหนื่อยก็กลับห้องไปพักผ่อนก่อน”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ลีน่าโบกมือปฏิเสธความใจดีของเธอ “ฉันจะรอคุณกินเสร็จก่อนค่อยลงไป จะได้เก็บของพวกนี้ไปด้วย”
ลีน่าชี้ไปที่ถาด และถ้วยตะเกียบในมือของวารุณี แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณเองก็ไม่ค่อยอยากลงไปใช่ไหมล่ะ เพราะประธานนัทธียังอยู่ข้างล่าง และคุณก็ไม่อยากเห็นประธานนัทธี”
เธอพูดได้ถูกตามที่วารุณีคิดและเงียบไป
ลีน่ายิ้มอีกครั้ง “เอาล่ะ ฉันจะไม่พูดแล้ว รีบกินข้าวเถอะค่ะ”
วารุณีตอบกลับและกินข้าวต่อ
แต่ดูเหมือนเธอไม่ค่อยอยากอาหารซักเท่าไหร่ เมื่อกินเข้าไป ก็ไม่ได้ตั้งใจกิน ราวกับว่าเธอมีอะไรในใจตลอด
ลีน่าดูออกแต่ก็ไม่ได้ถามเธอว่าคิดอะไรอยู่
ไม่ต้องคิดอะไรมาก เธอก็เดาได้เลยว่าต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับของประธานนัทธี
สักพักทั้งห้องก็เงียบลง และทั้งคู่ไม่มีใครพูดอะไรอีก มีเพียงเสียงหายใจและเสียงกินข้าวเท่านั้น
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน วารุณีกินเสร็จวางชามตะเกียบในมือลง
เมื่อลีน่าได้ยินการเคลื่อนไหว เธอวางโทรศัพท์ในมือลงแล้วมองดูเธอ “กินข้าวเสร็จแล้วเหรอคะ?”
วารุณีตอบเสียงอืม
ลีน่าถามขึ้นอีกครั้ง “กินอิ่มไหมคะ? ถ้าไม่อิ่ม ฉันจะลงไปเอาให้คุณอีกหน่อย”
“พอแล้วล่ะ ฉันกินอิ่มแล้ว เยอะขนาดนี้ถ้ากินไม่อิ่ม งั้นฉันก็คงเป็นราชากระเพาะใหญ่?” วารุณีเช็ดปากแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
ลีน่าหาวอีกครั้ง “โอเค คุณวารุณี งั้นฉันลงไปก่อนนะคะ”
“อืม ไปพักผ่อนก่อนเถอะ” วารุณีพยักหน้ารับ
ลีน่าหยิบถาดขึ้นมาแล้วลุกขึ้นเดินไปที่ประตู เดินไปสองก้าว ดูเหมือนเธอจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงหันกลับมาทางวารุณีแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณวารุณี อยากให้ฉันไปสืบไหมว่าคืนนี้ประธานนัทธีนอนที่ไหน?”
นัยน์ตาของวารุณีวาววับ และดูเหมือนเธอจะตั้งใจมาก แต่เธอก็รีบระงับความตั้งใจแล้วส่ายหัว “ไม่เป็นไร บ้านก็ออกจะใหญ่และมีห้องพักแขกมากมาย เขาจะนอนห้องไหนก็ได้ที่เขาต้องการ ฉันยังต้องกลัวว่าเขาจะไม่มีที่ไปงั้นเหรอ?”
“ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ว่าคุณวารุณี คุณไม่ต้องการให้ฉันถามจริงหรือ?” ลีน่ายืนยันอีกครั้ง
วารุณียังคงตอบกลับด้วยเสียงอืม “ไม่ต้องหรอก”
“งั้นตามนั้นเลยค่ะ” เฉินลีน่ายักไหล่ “ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่ถามแล้ว ฉันไปก่อนนะ บาย ๆ เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ”
“เจอกันพรุ่งนี้” วารุณีตอบด้วยรอยยิ้ม
เฉินลีน่าหันกลับ แล้วยกเท้าขึ้นและเดินไปที่ประตู
ไม่นานเธอก็ลงมาถึงข้างล่าง
นัทธีซึ่งนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นรอเธอลงมา พอได้ยินการเคลื่อนไหวรีบลุกขึ้นจากโซฟาทันที และหันไปมองทางบันได “เธอกินข้าวหรือยัง?”
เสียงนัทธีที่พูดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เฉินลีน่าตกใจและเกือบจะตกบันได
โชคดีที่เธอตอบสนองได้ทันและทำให้ตั้งหลักได้มั่นคง และเธอก็ยืนขึ้นอีกครั้ง จากนั้นมองไปทางนัทธีด้วยสายตาขุ่นเคือง “ประธานนัทธี ขอร้องละค่ะครั้งหน้าช่วยออกเสียง รอให้ฉันได้ยืนบนพื้นเรียบก่อนได้ไหมคะ?”
นัทธีขมวดคิ้วแล้วถามอีกครั้ง “เธอกินหรือยัง?”
“…” ปากของเฉินลีน่ากระตุก เธอถึงกับพูดไม่ออกเลย
อารมณ์ของผู้ชายคนนี้ไม่ได้ฟังที่เธอพูดเลย ห่วงแต่เรื่องวารุณีกินข้าวแล้วรึป่าวเท่านั้น
เป็นคนดีจริง ๆ
แต่สำหรับเพื่อนแล้ว ไม่ใช่เพื่อนที่ดี!
เฉินลีน่าเองก็ยากที่จะจู้จี้จุกจิกเรื่องที่ชายคนนี้เกือบทำเธอล้ม เธอกลัวว่าถ้าเธอจุกจิกมากกว่านี้ อาจจะอารมณ์เสียได้
“กินแล้วค่ะ” เฉินลีน่าเดินไปพร้อมกับถาดแล้วยื่นให้นัทธีดู
ปากของนัทธียกมุมปากเล็กน้อยเมื่อเห็นอาหารที่กินเกือบหมด
ก่อนหน้านี้เขาเป็นห่วง เพราะวารุณีโมโหเขา และจงใจไม่กินอะไรเลย
ผู้หญิงเนอะ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้
และเมื่อกี้เขาค้นหาในอินเทอร์เน็ต และจำนวนผู้หญิงที่จะทำพฤติกรรมแบบนี้ก็สูงถึง 70%
เขาเลยกังวลว่าวารุณีก็อาจรวมอยู่ใน 70% นั่นเหมือนกัน
แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว ความจริงนั้นเขาคิดมากไป และเธออยู่ใน 30% ที่เหลือนั่นต่างหาก
“ไม่เลว” นัทธีพูดชมออกมา
เฉินลีน่ากลอกตา
ระหว่างคู่ที่กำลังทะเลาะกันนั้น เธอยังอิจฉาได้ และคาดว่าเธอเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์
“ประธานนัทธี ฉันจะเอาของพวกนี้ไปไว้ในครัว” เฉินลีน่าพูดและหมองดูถาดในมือของเธอ
นัธทีนั่งลงอีกครั้ง “รอก่อน ยังไม่ต้องรีบ นั่งลงก่อน”
เขาชี้ไปที่ตำแหน่งตรงกันข้าม
เฉินลีน่าเลิกคิ้วขึ้น ไม่กล้าขัดคำสั่งของชายคนนั้น วางถาดลง และเดินมานั่ง “ประธานนัทธี คุณมีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันหรือเปล่า?”
นัทธีพูดด้วยท่านั่งไขว่ห้าง และมองดูเธออย่างเย่อหยิ่ง “ตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้าง?”
“คุณหมายถึงวารุณี?”
“จะใครอีกล่ะ?” นัทธีมองไปด้านข้างของเธอเหมือนคนโง่
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินลีน่าหยุดนิ่ง จากนั้นมุมปากของเธอก็กระตุกอย่างแรง เธอเอามือไปข้างหลังเงียบๆ แล้วกำหมัดแน่นด้วยความที่โกรธมาก
ผู้ชายคนนี้ นั่นมันสายตาอะไรกัน?
ช่างอัปยศ บอกว่าเธอเป็นคนโง่!
ถ้าเธอไม่สามารถทำให้ผู้ชายคนนี้เคืองได้และไม่กล้าที่จะยุ่งด้วย ไม่งั้นเธอก็คงจะทุบหัวเขาไปแล้ว!
เฉินลีน่าสูดหายใจเข้าลึกๆ และเก็บความโมโหในใจ แล้วยิ้มออกมาอีกครั้ง “ประธานนัทธี ตอนนี้วารุณีสบายดี”
“จริงเหรอ?” ดวงตาของนัทธีประกายล็กน้อย จากนั้นเขาก็ถาม “เธอได้ร้องไห้เหรอ?”
เขาจำได้ว่าตอนที่เขาออกจากห้องไป ดวงตาของเธอแดง และหางตาของเธอก็มีน้ำแวววับอยู่
ดังนั้นเขาจึงเอาแต่คิดว่าเธอแอบร้องไห้อยู่ในห้องหลังจากที่เขาออกไปรึเปล่า
เมื่อได้ยินคำถามของนัทธี เฉินลีน่าก็เงียบไปก่อน จากนั้นก็นึกย้อนตอนที่เธอเห็นวารุณี และพูดอย่างไม่แน่ใจว่า “เหมือนจะเคยร้องไห้อยู่ ตอนที่ฉันขึ้นไป ถึงแม้ว่าวารุณีจะไม่ร้องไห้ แต่ตาของเธอบวมหน่อย ๆ ดังนั้นเธออาจจะร้องไห้”
หัวใจของนัทธีหนักอึ้ง และเขาไม่ได้พูดอะไร ในใจรู้สึกผิดเล็กน้อย
เธอร้องไห้จริง ๆ ทำ เขาทำผิดต่อเธอ ทำให้เธอเสียใจ
ถึงอย่างนั้น เขาอยากให้เธอร้องไห้มากกว่าเห็นเธอต้องบาดเจ็บเลือดตกยางออก
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของนัทธีก็สงบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อมองไปที่เฉินลีน่า เขาตอบว่า “เข้าใจแล้ว แล้วที่ให้เธอช่วยฉันกล่อมเธอ เป็นยังไงบ้าง?”
เขาจำได้ว่าตอนที่ผู้หญิงคนนี้เดินขึ้นไปชั้นบน เธอยืนยันกับเขาว่าเธอจะช่วยเขาเกลี้ยกล่อมวารุณี
“เอ่อ นี่…”
เฉินลีน่าไม่คิดว่านัทธีจะถามเรื่องนี้ในทันใด และลำบากในอยู่พักหนึ่ง
เมื่อนัทธีเห็นปฏิกิริยาของเธอ ก็หรี่ตาลง “ว่าไงนะ?เธอไม่ได้เกลี้ยกล่อมเหรอ?”
“ไม่ ๆค่ะ ฉันเกลี้ยกล่อมแล้ว ประธานนัทธี ฉันเกลี้ยกล่อมวารุณีแล้วจริง ๆ” เฉินลีน่ารีบส่ายหัวและอธิบาย “ฉันกล่อมวารุณีให้ออกจากที่นี่ไปอยู่กับลูก ๆ แต่เมื่อฉันฟังวารุณีเหตุผลที่ไม่ยอมออกจากที่นี่แล้ว ฉันรู้ดีว่าเกลี้ยกล่อมไม่ได้ เพราะว่าทั้งสองไม่ผิดอะไร ฉันที่อยู่ตรงกลาง จะเกลี้ยกล่อมได้อย่างไร เกลี้ยกล่อมวารุณีก็ไม่ยุติธรรมต่อคุณวารุณี และมาเกลี้ยกล่อมคุณก็ไม่ยุติธรรมต่อคุณอีก และฉันไม่กล้าเกลี้ยกล่อมคุณด้วย” เฉินลีน่า มองไปที่นัทธี และพูดอย่างขุ่นเคือง
ริมฝีปากบางของนัทธีเป็นเส้นตรง เขาไม่แปลกใจกับคำตอบของเธอ และเขาก็แค่คาดหวัง เผื่อมีความหวังเล็กน้อย
“ฉันเข้าใจแล้ว เธอไปได้แล้วล่ะ” นัทธีโบกมือและพูดกับเฉินลีน่าอย่างหมดความอดทน
เฉินลีน่ากลอกตา ได้แต่ด่าเขาในใจ
เมื่อผู้ชายคนนี้อยากขออะไรจากเธอ ก็ปฏิบัติต่อเธออย่างดี ยังให้เธอนั่งอีกด้วย
ในท้ายที่สุด หลังจากที่ถามแล้วไม่ได้อะไรจากเธอ ก็ไล่ไปด้วยความเบื่อหน่าย ธาติแท้ออกมาเต็ม!