พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 899 การบอกลาของพงศกร
“เขาบอกว่าเขาจะไปหาประธานนัทธี ทางประธานนัทธีมีเรื่อง ต้องการความช่วยเหลือจากเขาค่ะ” ปาจรีย์ตอบด้วยแววตาทอประกายแวววาว
เธอไม่ได้บอกว่าทางประธานนัทธีมีเรื่องอะไรกันแน่ ถ้าได้ยินว่าประธานนัทธีจะต่อสู้กับศัตรู ทั้งยังเป็นการต่อสู้ที่อันตรายถึงชีวิต แม่ต้องเป็นห่วงมากแน่ๆ
เพราะถึงอย่างไรประธานนัทธีก็ช่วยพวกเขาไว้มาก ในใจของแม่ ประธานนัทธีคือผู้มีพระคุณ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับประธานนัทธี แม่ต้องเสียใจมากแน่นอน
ในเมื่อเป็นแบบนี้ เธอไม่พูดดีกว่า
คุณแม่ปารวีได้ฟังคำตอบของลูกสาว ก็ไม่ได้คิดมากว่ามีเรื่องนี้มีปัญหาอะไรรึเปล่า เธอยิ้มแล้วพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ดีจ๊ะ ปาจรีย์ รู้ว่าเราจะฉวยโอกาสนี้หนีไปจากที่นี่ดีไหม?”
ประโยคนี้ ทำให้ปาจรีย์เหยียดตัวตรงทันที รีบส่ายหน้า “อย่าค่ะ อย่าเด็ดขาด”
เธอคิดว่า มีแค่ตนเท่านั้นที่มีความคิดนี้
คิดไม่ถึงว่า หลังจากแม่ได้ยินว่าพงศกรจะไปจากที่นี่ ก็มีความคิดนี้เหมือนกัน
เธอควรจะบอกว่า แม่ลูกใจตรงกันจริงๆ คิดไปในทางเดียวกัน
“ทำไมถึงไม่ล่ะลูก?” คุณแม่ปารวีมองปาจรีย์อย่างไม่เข้าใจ
ปาจรีย์ถอนหายใจ “เพราะพวกเราไม่สามารถทำแบบนี้ได้ค่ะ ตอนแรก ตอนที่หนูได้ยินว่าพงศกรจะไปจากที่นี่ระยะหนึ่ง หนูโล่งอกมา ในเวลาเดียวกันหนูก็วางแผนจะพาพ่อกับแม่หนีไปจากที่นี่ด้วยกัน ไม่ให้เขาหาพวกเราเจอ แต่ไม่รอให้หนูคิดแผนได้ เขาก็รู้แล้วว่าหนูมีความคิดนี้ หลังจากนั้น……”
หัวใจของคุณแม่ปารวีบีบรัด “หลังจากนั้นเป็นยังไงลูก?”
ปาจรีย์มองหน้าแม่ “แม่น่าจะเดาได้ไม่ใช่เหรอคะ? นอกจากข่มขู่แล้ว เขาจะทำอะไรอีก?”
ชั่วขณะหนึ่ง คุณแม่ปารวีเม้มกัดริมฝีปากล่าง นิ่งเงียบ นานครู่หนึ่ง กว่าแม่จะพูดขึ้นด้วยความเสียใจ “หรือว่าจะไม่ไปจริงเหรอ? พวกเราไปแล้ว เขาคิดว่าจะหาพวกเราเจอเหรอ?”
“แม่คะ” ปาจรีย์นวดระหว่างคิ้ว “ใช่ค่ะ พวกเราไปจากที่นี่ เขาจะหาพวกเราไม่เจอในทันที แต่ว่าถ้าเขามีเวลามากพอ ไม่ช้าก็เร็วต้องเจอตัวพวกเราแน่นอน”
“ไม่……ไม่เก่งขนาดนั้นมั้ง?” สีหน้าของคุณแม่ปารวีซีดเผือดเล็กน้อย
ปาจรีย์มองแม่ด้วยความจนปัญญา “เขาเก่งสิคะ แม่อย่าลืมสิ ครั้งแรกพวกเราซ่อนตัวอย่างดี ทั้งยังมีประธานนัทธีช่วย แต่สุดท้ายละคะ ก็ถูกเขาหาตัวจนเจออยู่ดีไม่ใช่เหรอ? ดังนั้นความเก่งกาจของเขา ไม่ต้องสงสัยเลยค่ะ”
คุณแม่ปารวีเงียบอีกครั้ง หลังจากผ่านไปหลายวินาทีพูดขึ้นใหม่ “ลูกพูดถูก ไม่รู้จริงๆว่า เขารู้ที่นี่ได้ยังไง ทั้งยังตามหามาถึงที่นี่”
“มีคนบอกเขาค่ะ” มุมปากของปาจรีย์ยิ้มเศร้า “คนคนนั้นเป็นศัตรูของประธานนัทธี มีสายสอดแนมไว้ข้างกายประธานนัทธี หลังจากนั้นแอบฟังข่าวคราวของพวกเรา แล้วบอกคนคนนั้น คนคนนั้นจึงติดต่อไปหาพงศกร พงศกรถึงรู้ค่ะ”
“ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง” คุณแม่ปารวีเข้าใจทันที “คาดไม่ถึงว่าจะทำแบบนี้ได้ด้วย”
“ใช่ค่ะ” ปาจรีย์พยักหน้า “อีกย่าง พงศกรมีทักษะทางการแพทย์ที่ดีมาก เป็นหมอระบบประสาทระดับโลก โลกใบนี้ทุกคนล้วนกลัวตาย ยิ่งคนมีเงินยิ่งกลัว ดังนั้นพวกเขาทุกคน จึงทำดีกับหมอที่มีทักษะทางการแพทย์เก่งๆ ถ้าหากพงศกรอยากจะหาตัวพวกเรา พวกเขาต้องยอมช่วยพงศกรหาร่องรอยของพวกเราแน่นอนค่ะ ถึงเวลานั้น พวกเราก็ถูกเขาตามหาจนเจออยู่ดี”
ประโยคนี้ทำให้คุณแม่ปารวีหมดคำจะพูด
ถูกต้อง พงศกรมีความสามารถ ดังนั้นคนที่ขอร้องเขาก็มีมากเหมือนกัน
ถ้าอย่างนั้นก็เป็นธรรมดา เพื่อให้พงศกรช่วยเหลือ พวกเขาก็ต้องทำทุกอย่างเต็มที่ ให้พงศกรอารมณ์ดี
แล้ววิธีการที่ดีที่สุดที่จะทำให้พงศกรอารมณ์ดี ก็คือตามหาพวกเขา
กลาวโดยสรุป คำพูดเดียวของพงศกร ทั่วทั้งโลกใบนี้ไม่ขาดแคลนคนที่จะช่วยเขาตามหาคน
คุณแม่ปารวีถอนหายใจด้วยความปวดหัว “นี่มันเรื่องอะไรกัน ดูเหมือนว่าพวกเราจะหนีไปไม่ได้แล้ว”
“ค่ะ” ปาจรีย์พยักหน้า “หนีไม่ได้แล้ว ตอนแรกหนูก็เสียใจกับเรื่องนี้ แต่หลังจากคิดดูแล้ว ไม่ไปก็ดีเหมือนกัน”
“หมายความว่ายังไง?” คุณแม่ปารวีไม่เข้าใจ
ปาจรีย์จับมือคุณแม่ปารวี “คุณแม่ลองคิดดูสิคะ ความแค้นระหว่างเรากับพงศกร มีมายาวนานสิบกว่าปี สิบกว่าปีนี้ พวกแม่เจอหน้าเขาน้อยมาก และไม่เคยนั่งคุยกันดีๆ สักครั้ง ดังนั้นความแค้นจึงมีมาโดยตลอด ไม่ได้รับการคลี่คลาย ตอนนี้เขาอยู่ข้างกายพวกเรา รอเขากลับมา บาดแผลหายดีแล้ว พวกเราก็คุยกับเขาดีๆ ความแค้นระหว่างสองตระกูล จะดำเนินแบบนี้ต่อไปไม่ได้ อย่างนั้นชีวิตที่เหลือของแม่กับพ่อ ต้องมีชีวิตอย่างไม่มีความสุข”
คุณแม่ปารวีพยักหน้าอย่างครุ่นคิด “ลูกพูดถูก ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็ไม่ต้องไปแล้ว พวกเราอยู่ที่นี่ คิดดูแล้วก็จริงเหมือนกัน พวกเราไม่ใช่คนที่ทำให้พ่อแม่ของเขาต้องตาย ทำไมต้องไปด้วย ถ้าไปพวกเราก็ดูร้อนตัว ยิ่งไม่ไปยิ่งอธิบายได้ว่าพวกเราไม่มีปัญหา”
“แม่คิดแบบนี้ถูกแล้วค่ะ” ปาจรีย์พูดด้วยรอยยิ้ม
คุณแม่ปารวีลูบผมของปาจรีย์ “ระยะนี้ ลำบากลูกที่ต้องคอยดูแลเขาแล้ว ทั้งที่ควรเป็นหน้าที่ของพ่อกับแม่”
ปาจรีย์ส่ายหน้า “คุณแม่คะ อย่าพูดแบบนี้ คุณพ่อกับคุณแม่เป็นพ่อและแม่ของหนู หน้าที่ของพ่อกับแม่ก็ต้องเป็นหน้าที่ของหนู ยิ่งไปกว่านั้น เขาเป็นคนพูดเองว่าต้องการหนู แล้วพ่อกับแม่จะทำอะไรได้ค่ะ ดังนั้นอย่าคิดมากเลยค่ะ”
“ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่ว่าใจคนเป็นพ่อเป็นแม่ ย่อมรู้สึกผิดต่อลูก” คุณแม่ปารวีดวงตาแดงก่ำ
ปาจรีย์ยิ้ม “พอแล้วค่ะแม่ ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว อีกทั้งหนูก็ไม่ได้ดูแลเขาตลอดเวลา หนูดูแลไม่กี่วัน ตอนนี้ไม่ได้ต้องดูแลแล้ว ดังนั้นหนูสบายมากค่ะ”
คุณแม่ปารวีทำเสียงหึ “ถือว่าเขายังมีหัวใจ รู้ว่าครรภ์ของลูกไม่ดี ให้ลูกอยู่โรงพยาบาลคอยรักษาตัว ถ้าหากเขาให้ดูแลเขาต่อไป สุดท้ายไม่เพียงแต่ต้องเสียเด็กในท้อง แม้แต่ตัวลูกก็อันตราย ตอนนี้แค่คิดก็รู้สึกกลัวขึ้นมา”
ดวงตาปาจรีย์ประกายแวววาว “ใช่ค่ะ ถือว่าเขายังมีหัวใจอยู่บ้าง”
เธอพอจะเข้าใจแล้ว เขาทำแบบนี้ เป็นเพราะความรู้สึกที่มีต่อเธอ
ไม่อย่างนั้น เขาไม่สนใจหรอกว่าครรภ์ของเธอจะดีหรือไม่ดี จะมีเรื่องอะไรหรือไม่
แต่ว่าเรื่องเหล่านี้ เธอไม่บอกแม่ดีกว่า
แม่รู้ เท่ากับว่าพ่อต้องรู้ดี
ด้วยนิสัยอารมณ์ร้อนของผ่าว รู้ว่าตอนนี้พงศกรหวั่นไหวกับเธอ ต้องโมโหแล้วบุกมาแน่นอน
แม่ลูกคุยกันในห้องนานเกือบชั่วดมง หลังจากพยาบาลมาแจ้งให้ปาจรีย์ไปตรวจครรภ์ สองแม่ลูกถึงจะหยุดพูดกัน แล้วไปตรวจครรภ์
หลังจากตรวจครรภ์ไม่นาน ปาจรีย์เหนื่อยแล้วผล็อยหลับไป
คุณแม่ปารวีมองหน้าลูกสาวที่นอนหลับตาพริ้มด้วยความรัก ลูบผมของลูกสาวด้วยความอ่อนโยน ห่มผ้าให้ลูก เตรียมจะกลับไป ตุ๋นน้ำซุปมาให้ตอนกลางคืน
ตอนที่คุณแม่ปารวีถือตะกร้าเดินออกไปจากห้องของปาจรีย์ คุณแม่ปารวีชะงักกะทันหัน หยุดเดิน “คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
นอกประตูมีคนยืนอยู่คนหนึ่ง เมื่อมองดูแล้ว คือพงศกรที่อยู่ห้องข้างๆ
พงศกรในตอนนี้ไม่ได้ใส่ชุดคนป่วย แต่เปลี่ยนเป็นชุดไปรเวททั่วไป เข้ากับแว่นสีเงิน มองดูแล้วสง่าผ่าเผยและหล่อเหลา
“ผมาที่นี่ เพื่อบอกลาครับ” พงศกรเองก็คิดไม่ถึงว่าคุณแม่ปารวีจะอยู่ที่นี่ยังไม่กล้าไป หลังจากตะลึงงันครู่หนึ่ง ตอบด้วยเสียงที่ซับซ้อนเล็กน้อย
คุณแม่ปารวีพูดด้วยความแปลกใจ: “บอกลา? คุณจะไปแล้วเหรอ?”
พงศกรหลบตาลง “ครับ เธอบอกเรื่องที่ผมจะไป กับคุณแล้ว?”
คำว่าคุณ ทำให้คุณแม่ปารวีตกใจ มองเขาด้วยแววตาที่แปลกกว่าเดิม “คุณ……พูดกับฉันด้วยความเคารพเนี่ยนะ?”
พงศกรตอบอืม “คุณเป็นผู้ใหญ่ ควรจะพูดด้วยความเคารพ”
“อย่า ช่างเถอะค่ะ ฉันรับไม่ไหว” คุณแม่ปารวีโบกมือ ภายนอกยิ้มแต่ภายในใจไม่ยิ้ม
ริมฝีปากบางของพงศกรเม้มแน่น คล้ายอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกไป
คุณแม่ปารวีเห็นเขาเป็นแบบนี้ ไม่อยากเสียเวลากับเขา เดินผ่านเขากำลังจากไป
แต่ว่าสุดท้าย กลับถูกพงศกรคว้าแขนเอาไว้
คุณแม่ปารวีขมวดคิ้วเป็นปม “คุณมีธุระอะไร?”