พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 915 ชดเชยให้คุณ
รู้สึกถึงอารมณ์ของเขานั้นมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง วารุณีเงยหน้าขึ้นจากอ้อมอกของเขาแล้วหันไปมอง
เห็นถึงอารมณ์ตึงเครียดขุ่นมัวของเขาที่แสดงออกมา เธอก็รู้ได้ทันทีว่าในใจของเขานั้นคิดถึงอะไรบางอย่างอยู่แน่
เธอรีบก้มหน้าลงกลับไปที่เดิม หลบซ่อนอยู่ในอ้อมอกของเขา “ในเมื่อพวกเราต่างก็ไม่ได้คิดอยากจะเดินไปถึงขั้นนั้น งั้นพวกเราก็คงต้องจัดการปัญหาของตัวเองกันสักหน่อย อย่างเช่นสงครามเย็นครั้งนี้ พวกเราคนหนึ่งก็คิดไม่ชัดเจน อีกคนก็กลับปากแข็งอะไรก็ไม่ยอมพูดออกมาให้ชัดเจน ดังนั้นสงครามเย็นนี้ถึงได้คงอยู่ยาวนานขนาดนี้”
คำพูดนี้ นัทธีไม่สามารถหาเหตุมาโต้แย้งได้เลย
วารุณีกอดเอวเขาไว้แน่น พร้อมพูดต่อไป “ดังนั้นเพื่อไม่ให้ครั้งหน้ามีสงครามเย็นแบบนี้อีก พวกเราต้องแก้ไขจุดด้อยพวกนี้สักหน่อย มีปัญหาอะไร ก็พยายามคุยกับอีกฝ่ายให้ชัดเจน ไม่ต้องปิดบังอีกฝ่าย ยิ่งถ้าไม่พูด ก็ยิ่งจะเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายผิดไปกันใหญ่ ถึงเวลานั้นความรู้สึกของพวกเรา ก็ยิ่งจะแตกร้าวกันไปมากกว่านี้อีก บางทีการหยุดสงครามเย็นก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น นัทธี
คุณล่ะว่ายังไง?”
นัทธีกลืนน้ำลายเล็กน้อย สุดท้ายก็พึมพำออกมา “โอเค พวกเราก็แก้ไขกันทั้งคู่”
“อื้ม แก้ไขทั้งคู่!” วารุณียกมุมปากแดงยิ้มออกมา
ทั้งสองต่างเอาอกเอาใจกันอยู่บนโซฟาสักพัก จนกระทั่งคนรับใช้ยกซุปขิงเข้ามาให้ นั่นจึงทำให้ท่าทางที่คล้ายกับเด็กแฝดตัวติดกันแยกออกจากกัน
นัทธียกซุปขิงขึ้นมาพร้อมกับเป่าเบาๆ รอจนซุปขิงไม่ได้ร้อนมากนักแล้ว จึงยกให้กับเธอ “ดื่มให้หมดเลย”
มองเห็นความไม่ยอมให้ต่อปากต่อคำในดวงตาของเขา วารุณีจึงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ รับซุปมาด้วยใบหน้าขมขื่น อดทนกลืนมันลงไปให้หมด
มองเธอดื่มทีละอึก ทีละอึกจนหมด สีหน้าของนัทธีแสดงออกว่าพอใจอย่างชัดเจน หลังจากนั้นจึงนำถ้วยเปล่าส่งคืนให้คนรับใช้ ให้คนรับใช้ยกถ้วยออกไป
วารุณีถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก คิ้วสวยนั้นขมวดแน่นเข้าหากัน “ซุปขิงนี้ไม่อร่อยเลย”
“เพื่อให้ส่งผลดีกับเธอ ดื่มยากก็ต้องดื่ม” นัทธีมองไปทางเธอครู่หนึ่ง
จากนั้น เขาก็ยกแก้วน้ำที่ตัวเองเพิ่งดื่มไปส่งให้กับเธอ “ดื่มน้ำเปล่าสักหน่อย ให้กลิ่นในปากจางลงสักหน่อยเถอะ”
“อื้ม” วารุณีพยักหน้า เอื้อมมือไปรับแก้วน้ำเพื่อดื่มสักคำ
รสชาติหวานเผ็ดของน้ำที่ละลายเจือจางในปาก นั่นทำให้สีหน้าของวารุณีดีขึ้นมาก
หลังจากถอนหายใจยาว เธอวางแก้วลงพร้อมกับพูด “จริงสินัทธี พงศกรมาถึงแล้ว”
ได้ยินประโยคนี้ คิ้วของนัทธีก็กระตุกขึ้น “ถึงแล้วเหรอ?”
“อือ” วารุณีพยักหน้า พร้อมกับชี้ไปที่ชั้นบน “เดินทางแบบเร่งรีบมาเหนื่อยเกินไป เลยนอนพักอยู่บนห้องน่ะ
นัทธีเงยหน้าเหลือบขึ้นไปมองทางชั้นบน พร้อมกับพึมพำตามหลังเบาๆ “รู้แล้ว”
การมาถึงของพงศกร เขารู้ดี มารุตเคยคุยกับเขาไว้แล้ว
ดังนั้น ได้ยินวารุณีพูดย้ำขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไรตรงไหน
“มาถึงนานเท่าไหร่แล้ว?” นัทธียกแก้วที่เธอเพิ่งจะวางลงเมื่อครู่นี้ แล้วก็ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มตรงตำแหน่งที่เธอเพิ่งจะดื่มไปเมื่อครู่
บนขอบแก้วของเขา ยังคงมีร่องรอยลิปสติกสีแดงที่เธอเหลือทิ้งไว้
วารุณีเห็นท่าทางนั้น คิดจะห้ามก็ไม่ทันแล้ว
การกระทำของเขาช่างรวดเร็วเหลือเกิน เร็วจนเธอยังไม่ทันได้ตอบสนองอะไรได้ทัน
“ที่รัก ฉันเพิ่งดื่มซุปขิงไปนะ บนนั้นน่าจะยังคงมีกลิ่นรสของซุปขิงอยู่ คุณไม่รังเกียจเหรอ?” วารุณีมองไปที่นัทธี พร้อมถามอย่างระมัดระวัง
แต่ก่อนเธอและเขาก็ดื่มน้ำแก้วเดียวกับมาโดยตลอด ดังนั้นที่เธอแปลกใจนั้นไม่ใช่ว่าเขาเอาแก้วที่เธอใช้ดื่มน้ำไปใช้ต่อ แต่ว่าคือร่องรอยและกลิ่นอื่นๆ ที่เธอทิ้งไว้บนแก้วนั้นต่างหาก เธอกลัวว่าเขาจะรังเกียจสิ่งนี้”
แต่ทว่านัทธีกลับส่ายหัว “ทำไมต้องรังเกียจ? คุณเป็นภรรยาของผม ผมจะไปรังเกียจได้ยังไง”
วารุณียิ้มออกมา “ที่รัก คุณนี่ช่างแสนดีจริงๆ”
นัทธีลูบผมเธอเบาๆ “พอแล้ว พงศกรจะมาตอนไหน?”
เขาถามซ้ำอีกรอบ
วารุณีไม่เย้าแหย่อีกต่อไป เข้าสู่อ้อมอกของเขาพร้อมกับพูดตอบ “สามชั่วโมงก่อนหน้านี้ ตอนที่มา ฉันก็พูดคุยกับเขาอยู่สักพัก”
“พูดคุยอะไร?” นัทธีลูบผมเธอพร้อมกับเอ่ยถาม
วารุณีนิ่งเงียบไปก่อนสักพัก สุดท้ายก็ถึงได้เอ่ยปากตอบ “ฉันถามเขา ว่าทำไมต้องเอาอารัณไปด้วย จนทำให้อารัณเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ อีกทั้งทำไมต้องเผาโรงงานฉันและวางแผนอุบัติเหตุรถยนต์ของตัวเองอีก”
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ สีหน้าของนัทธีก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปมากนัก
เขาพอจะเดาออกได้ว่าเรื่องที่เธอคุยคือเรื่องพวกนี้
นับตั้งแต่นวิยาบอกเธอ ว่าเรื่องทั้งหมดนี้พงศกรเป็นคนอยู่เบื้องหลัง ในใจเธอก็มีปมมาโดยตลอด ต้องการตามหาพงศกรมาถามให้ชัดเจน
เพียงแต่ว่าพงศกรก็อยู่ที่ปาจรีย์มาตลอด ในใจเธอนั้นมีความโกรธแค้นพงศกรอยู่เล็กน้อย ดังนั้นจึงไม่เคยเริ่มตรงเข้าไปถามพงศกรมาก่อนเลย
แต่ตอนนี้เมื่อพงศกรมาอยู่ต่อหน้า เธอจึงไม่สามารถทิ้งโอกาสนี้ได้เป็นธรรมดา
“งั้นพงศกรตอบกลับมาว่ายังไง” นัทธีหรี่ตา พร้อมกับถามด้วยสีหน้าเยือกเย็น
วารุณีนิ่งเงียบอีกครั้ง หลายวินาทีหลังจากนั้นถึงเพิ่งจะค่อยๆ เล่าทุกอย่างที่เธอกับพงศกรพูดคุยกันออกมา
ได้ยินพงศกรทำเช่นนี้ ทั้งหมดก็เพื่อให้ได้ตัวเธอ สีหน้าของนัทธีดูเคร่งขรึมน่ากลัวขึ้นมามาก พร้อมกระแอมออกมาในลำคออย่างเยือกเย็น “ใช้วิธีน่าขันแบบนี้เพื่อตามจีบคนคนหนึ่ง ถ้าทำสำเร็จ งั้นโลกนี้ก็คงไม่มีความยุติธรรมแล้วแหละ”
ได้ยินเขาพ่นคำพูดถึงพงศกรออกมา วารุณีก็ยิ้มออกมาครู่หนึ่ง “พอแล้ว ไม่ต้องโกรธแล้ว ฉันไม่โกรธอะไรแล้วล่ะ”
“ไม่โกรธแล้วจริงๆ เหรอ?” นัทธีก้มหน้าลงมองเธอ
วารุณีเม้มปากสีแดงนั้นเล็กน้อย “ในใจก็ยังคงไม่สบายใจอยู่เล็กน้อยเป็นธรรมดา แต่ว่าบุญคุณที่ช่วยชีวิตก็มีให้เห็นอยู่ตรงนั้น ฉันเองก็ทำได้แค่เลิก ไม่ไปซักถามอีก อีกทั้งพงศกรก็เคยรับปากกับฉัน ว่าหลังจากนี้จะไม่ทำอีกแล้ว เขายังพูดอีกว่าสภาพจิตใจของเขาตอนนี้นั้นดีขึ้นมากแล้ว หลังจากนี้จะไม่ทำให้เกิดเหตุการณ์บ้าคลั่งแบบนั้นอีก ให้สบายใจได้เลย”
“คุณเชื่อไหม?” นัทธีมองที่เธอ
วารุณีส่ายหัว “ฉันไม่รู้ แต่ว่าฉันยินดีที่จะลองเชื่อเขาดู บางที เขาอาจจะสามารถทำได้จริงๆ ก็ได้นะ?”
“ในเมื่อคุณพูดแบบนี้ งั้นผมก็ว่าตามเธอละกัน” นัทธีหรี่ตา “ทีแรกฉันคิดอยากจะจัดการเขาสักหน่อย”
วารุณียกมือขึ้นมาทันที พร้อมกับปิดปากเขา “อย่าเชียวนะ ไม่ว่ายังไงก็อย่า เขาช่วยชีวิตพวกเราไว้กี่คน บุญคุณมากมายขนาดนี้ พวกเราคงจะไม่ดีจริงๆ ที่จะไปทำอะไรกับเขา อีกทั้งการกลับมาครั้งนี้ เขาก็กลับมาช่วย ดังนั้นยังไงก็ผ่านไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ดูการแสดงออกของเขาหลังจากนี้ ว่าจะไม่กลับมามีปัญหาอีกแล้วใช่ไหม”
นัทธีพึมพำเล็กๆ “เอาตามที่คุณว่าละกัน”
ดูจากที่พงศกรช่วยพวกเขาแม่ลูกตั้งมากมายเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าในใจเขาจะมีความรู้สึกไม่ค่อยดีกับพงศกรมากเท่าไหร่ ก็ยินดีที่จะอดทนเก็บไว้ อดกลั้นกับพงศกร
“ขอบคุณนะที่รัก ลำบากคุณอีกแล้ว” วารุณีมองที่พงศกร ด้วยรอยยิ้มที่เจือความหมายขอโทษเล็กๆ
เธอรู้ ในใจของเขานั้นต้องคิดอยากลงมือกับพงศกรอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงอย่างไรพงศกรก็ทำเกินไปมากจริงๆ
แต่เขาเต็มใจที่จะอดทนและก้าวถอยออกมาเพื่อเธอ
อีกทั้งนี่ ก็ทำให้เขารู้สึกน้อยใจอยู่เล็กๆ เช่นกัน
“ไม่มีอะไร” นัทธีมองไปที่เธอ พร้อมตอบกลับเสียงเบา “พวกคุณคือจุดอ่อนของฉัน เพื่อพวกคุณแล้ว ฉันสามารถทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง”
ถึงแม้ว่า จะต้องอดทนกลับคนที่เกลียดชัง
วารุณีกอดแขนของเขาไว้ “ค่ำนี้ ฉันจะชดเชยให้คุณสักหน่อยดีไหม?”
เธอพูดออกมาอย่างกะทันหัน
ดวงตาของนัทธีเปล่งประกายภายในพริบตา ก้มหัวมองเธอ กลืนน้ำลายลงคอ น้ำเสียงแหบกระเส่าเล็กน้อย “คุณก็รู้ไหม คุณกำลังพูดอะไรอยู่?”
ชดเชยให้เขา อีกทั้งต้องเป็นตอนค่ำ
ยังเป็นการชดเชยอะไรได้อีกล่ะ ไม่ต้องพูดก็รู้แล้ว
วารุณีมองไปที่เขาที่กำลังสะกดความรู้สึกไว้อยู่ พร้อมยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ฉันต้องรู้อยู่แล้วสิ ดังนั้นคุณดีใจหรือไม่ดีใจ?”
แต่ก่อน เธอไม่เคยพูดจู่โจมกับเขาแบบนี้มาก่อน
มีแต่เขาที่หยอกล้อเธอ จากนั้นเธอก็ฉวยโอกาสจากเขา
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอพูดขึ้นมาว่าอยากทำอะไรแบบนั้นกับเขา ดังนั้นเขาจึงตื่นเต้น อย่างไม่ต้องแปลกใจ
ริมฝีปากบางของนัทธีก็ยกขึ้นเช่นกัน “คุณพูดเองนะ? ในเมื่อคุณบอกว่าจะชดเชยให้ผม งั้นค่ำนี้ก็อย่าคืนคำละกัน”
เขาไม่ได้เผชิญกับเธอมานานมากแล้ว หลายวันมากแล้ว
เขาเป็นผู้ชายปกติธรรมดา อีกทั้งเธอคือคนที่เขารักมากที่สุด เขาไม่มีทางที่จะไม่มีความคิดแบบนั้นอยู่แล้ว
ตอนนี้เธอออกโรงส่งตัวขึ้นมาเอง แล้วเขาจะไม่ดีใจได้ยังไง?