พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 926 จะเป็นหรือตายอย่างไรก็ไม่พูด
หลังจากนั้น เขาจึงเปิดฝากล่องออกและใช้นิ้วอันเรียวยาวนั้นหยิบของที่อยู่ในกล่อง
เมื่อมองดูสิ่งของที่อยู่ในกล่อง นัยน์ตาของนัทธีก็มืดครึ้มลง กลืนน้ำลายเล็กน้อย ในสมองเริ่มจินตนาการถึงสถานการณ์ที่จะนำสิ่งเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ได้จริงในอีกสักครู่
ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียงประตูเปิดออกดังมาจากทางห้องน้ำ
นัทธีนำของที่อยู่ในนิ้วมือวางกลับไป เงยหน้ามองไปทางห้องน้ำ
วารุณีออกมาจากห้องน้ำหลังจากทำธุระเรียบร้อยแล้ว สองมือของเธอจับชายกระโปรงทั้งสองข้าง รูปร่างที่แสนอ่อนช้อยงดงามนั้นกำลังเดินตรงมายังทางนี้
ยิ่งเธอเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นเท่าไหร่ นัยน์ตาของนัทธีก็ยิ่งมืดมนลงเรื่อยๆ สายตาอดไม่ได้ที่จะมองสำรวจร่างกายของเธอ ราวกับว่ากำลังวิเคราะห์อะไรบางอย่าง
วารุณีรู้สึกได้ถึงสายตานั้น ฝีเท้าค่อยๆหยุดชะงักลง จู่ๆในใจก็เกิดความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีนักขึ้น
สายตานี้ของเขา หมายความว่าอย่างไรกัน?
ทำไมเธอถึงรู้สึกว่า เขาดูเหมือนอยากจะกลืนกินเธออย่างไรอย่างนั้น?
คงจะเป็นภาพลวงตาล่ะมั้ง?
วารุณีกลืนน้ำลายและมองเขาด้วยความกังวล เมื่อมองลึกเข้าไปที่ดวงตาอันลึกล้ำของชายคนนั้น หัวใจของเธอก็บีบตัวหดลง “ที่รัก คุณ……เป็นอะไร? ทำไมมองฉันแบบนั้นกัน? บนตัวฉันมีอะไรงั้นเหรอ?”
เธอสามารถรู้สึกได้ว่า สายตาของเขาไม่เพียงแค่มองสำรวจใบหน้าของเธอเท่านั้น แต่ยังมองสำรวจไปยังร่างกายทุกส่วนของเธอ สายตาแทบจะตรึงอยู่ที่เธอจริงๆซะแล้ว
สิ่งนี้ทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่าร่างกายของเธอมีอะไรที่บางอย่างหรือเปล่า ที่ทำให้เขาละสายตาออกไปไม่ได้
“ไม่มีอะไร ผมเพียงแค่อยากมองคุณก็เท่านั้น” นัทธีตอบกลับด้วยเสียงแหบต่ำ และในขณะเดียวกันก็หยิบฝาของกล่องขึ้นมา ปิดกล่องลงอย่างสงบเยือกเย็น ปกปิดสิ่งของที่อยู่ข้างในเอาไว้
วารุณีรู้สึกเพียงแค่ว่าเขาแปลกๆไป “ไม่ใช่ว่าฉันไม่ได้เจอคุณนานมากแล้วซะหน่อย คุณพูดราวกับว่าฉันกับคุณห่างกันมานานมาก”
นัทธียกยิ้มขึ้น “แน่นอนว่าห่างกันนานมากแล้ว ว่ากันว่าไม่พบกันเพียงหนึ่งวันเหมือนผันผ่านไปสามปีถึงแม้ว่าพวกเราจะห่างกันแค่ไม่กี่นาที แต่ว่าถ้าเปลี่ยนเป็นเวลาเช่นนี้ ก็นับว่าหลายวันแล้ว ดังนั้นผมถึงอยากมองคุณ”
วารุณีขบขันกับคำพูดของเขา “เมื่อก่อนทำไมถึงไม่รู้ว่า คุณปากหวานขนาดนี้ ยังพูดคำหวานพวกนี้เป็นด้วย?”
เธอเดินไปทางเขาอีกครั้ง
นัทธีนำวางกล่องไว้ข้างๆ จากนั้นก็ยื่นมือออกไปโอบเอวบางของเธอเอาไว้ เพื่อให้เธอนั่งลงบนตักของเขา
วารุณีก็ใช้จังหวะนี้กอดคอของเขา
นัทธีก้มศีรษะลง จูบลงริมฝีปากแดงสดของเธอ แล้วจึงตอบว่า “งั้นตอนนี้คุณรู้แล้วสินะ? เพียงแค่คุณชอบ ผมก็สามารถพูดได้ตลอดเวลา”
วารุณียิ้มอย่างมีความสุข “ได้สิ งั้นฉันจะรอให้คุณพูดประโยคคำหวานนั้นกับฉันทุกวัน”
“ได้” นัทธีลูบไล้ดั้งจมูกของเธอ”
สายตาของวารุณีถูกกล่องที่เขาไว้ข้างๆเมื่อกี้ดึงดูดเข้า จากนั้นคลายมือจากคอของเขา เอื้อมมือจะไปหยิบกล่องนั้น “ข้างในนี้มีอะไรกันแน่นะ?”
อย่างไรก็ตาม ทั้งที่มือของเธอพึ่งจะสัมผัสกับกล่อง และยังไม่ได้หยิบมันขึ้นมา มือใหญ่ของนัทธีก็ยื่นเข้ามา ตรงไปปิดกล่องนั้นไว้
ความหมายชัดเจนมาก นั่นก็คือไม่ให้เธอหยิบไป
“หืม?” วารุณีหันศีรษะด้วยความประหลาดใจ มองไปที่นัทธี เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจว่าทำไมนัทธีต้องขัดขวางเธอ “ที่รัก คุณทำอะไรเนี่ย?”
นัยน์ตาของนัทธีวูบไหว น้ำเสียงยังคงเต็มไปด้วยความแหบแห้งที่แสนเซ็กซี่ “ของที่อยู่ในนี้ ในตอนนี้คุณยังไม่สามารถดูได้”
“ทำไมล่ะ?” วารุณีกะพริบตาและไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก “ของในกล่องนี้นาน่าเป็นคนให้พวกเรามาไม่ใช่เหรอ? ทำไมฉันถึงดูไม่ได้ล่ะ?”
“ไม่ใช่ว่าคุณดูไม่ได้ คือตอนนี้คุณยังดูไม่ได้” นัทธีกล่าวด้วยนัยน์ตาที่ลึกล้ำ
ถ้าดูตอนนี้ ในคืนนี้ก็คงไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้
เธอจะต้องหาวิธีจัดการกับของที่อยู่ในกล่องนั้นอย่างแน่นอน
ดังนั้นเพื่อที่คืนนี้ จะสามารถนำของข้างในออกมาใช้ประโยชน์ได้ ตอนนี้เขาทำได้เพียงขัดขวางไม่ให้เธอเห็นของที่อยู่ในกล่อง
วารุณีฟังคำพูดของนัทธีแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกสับสนเข้าไปใหญ่ “ ทำไมตอนนี้ฉันถึงดูไม่ได้ล่ะ?”
เธอขมวดคิ้วแน่น จ้องมองไปที่ชายหนุ่ม ราวกับว่าต้องการมองให้เห็นอะไรบางอย่างจากใบหน้าของเขา
แต่บนใบหน้าของผู้ชายกลับไม่มีอะไรเลย เธอมองไม่ออกสักนิดว่าเขาปิดบังอะไรอยู่กันแน่
สิ่งนี้ทำให้วารุณีรู้สึกโกรธอยู่บ้าง
นัทธีเบนสายตาเล็กน้อย ไม่สบตากับสายตาของวารุณี
เขาเกรงว่าหากตนเองสบตานานเกินไป ก็จะใจอ่อน และอดไม่ได้ที่จะนำมือออก แล้วปล่อยให้เธอเปิดกล่อง
ดังนั้น เพื่อความสุขในยามค่ำคืน เขาทำได้เพียงแต่หักห้ามใจเอาไว้
“เพราะอะไรตอนนี้ผมก็ยังไม่สามารถพูดได้ เมื่อถึงเวลานั้นคุณก็จะรู้เอง วางใจเถอะนะ ผมไม่มีทางทำร้ายคุณ” นัทธีใช้มือข้างหนึ่งลูบใบหน้าของวารุณี พูดกับเธอด้วยความจริงจัง
วารุณีนำมือของเขาลงมาจากหน้า “ฉันรู้ว่าคุณไม่มีทางทำร้ายฉันอย่างแน่นอน แต่คุณมีลับลมคมในและปิดบังฉันแบบนี้ ทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดใจมาก ความอยากรู้อยากเห็นก็ยิ่งมากขึ้น ดังนั้นที่รัก คุณให้ฉันดูหน่อยได้ไหมว่าตกลงข้างในนั้นคืออะไรกันแน่?”
เธอเขย่าแขนของชายหนุ่มอย่างออดอ้อน
นัยน์ตาของชายหนุ่มหดลงเล็กน้อย อีกนิดเดียวก็เกือบจะต้านไม่ไหว และจะให้เธอดูแล้ว
แต่ในท้ายที่สุด สติก็อยู่เหนือความวู่วาม เขาทนกับความอดไม่ได้ในใจ ยังคงปฏิเสธไป
“ไม่ได้” ริมฝีปากบางของนัทธีพูดกล่าว ตอบกลับไปสองคำด้วยความเย็นชาไร้ความรู้สึก
ความออดอ้อนบนใบหน้าของวารุณีหายไปทันที และเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่ไร้อารมณ์ “ได้ นัทธีคุณดีมาก เพียงแค่นี้ก็ไม่ยอมให้ฉันดู งั้นคุณคงต้องบอกฉัน ว่าข้างในนี้คืออะไร?”
“ไม่ได้เหมือนกัน” นัทธีอุ้มเธอขึ้นมา และวางลงบนโซฟาข้างๆ จากนั้นก็ลุกขึ้น ถือกล่องมาไว้ในมือ “ยังคงเป็นประโยคเดิม เมื่อถึงเวลาคุณจะรู้เอง”
เมื่อพูดจบ เขาถือกล่องเดินไปทางห้องแต่งตัว
เขาต้องนำกล่องนั้นไปซ่อนไว้ เพื่อไม่ให้เธอหาเจอหรือเห็นล่วงหน้า แล้วจัดการทิ้งไปอย่างลับๆ
มองดูพฤติกรรมแปลกๆของนัทธี วารุณีจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเขาคิดจะทำอะไร ใบหน้าเรียวเล็กนั้นโมโหจนแดงก่ำไปหมด
ผู้ชายคนนี้ เพื่อที่ไม่ให้เธอเห็นของในกล่อง จึงนำกล่องนั้นไปซ่อนเอาไว้จริงๆ ป้องกันเธอไว้เหมือนกับป้องกันขโมย
ช่างน่าโมโหจริงๆ
วารุณีลุกขึ้น กำมือทั้งสองข้างพร้อมกระทืบเท้า “นัทธีไอ้คนเลว (ไอ้คนบ้า)”
นัทธีได้ยินคำตำหนิของภรรยาแล้ว ก็รู้สึกว่าตนเองรู้สึกเลวมากๆเช่นกัน
แต่เพื่อที่จะพยายามไคว่คว้าสิ่งที่ดีให้กับตนเอง เขาทำได้เพียงแค่เป็นคนเลวร้ายต่อไป
ถอนหายใจ นัทธีสาวเท้าเดินต่อไปไม่หยุด และเดินตรงไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ใช้เวลาไม่นานก็เข้าไปในห้องแต่งตัว
วารุณียืนกัดปากอยู่ที่เดิม ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ
แต่ว่าโกรธไปก็เท่านั้น เขาก็ไม่ให้เธอดู ไม่แม้แต่กระทั่งบอกเธอว่าของในกล่องนั้นคืออะไร และยังจะเอากล่องนั้นไปซ่อนอีก
นอกจากโมโห เธอจะทำอะไรได้?
วารุณีส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอ พึมพำอย่างไม่พอใจว่า “ไม่ให้ฉันดู คิดว่าฉันก็จะไม่สามารถไปถามได้งั้นเหรอ?”
เมื่อคิดได้ดังนั้น วารุณีก็ไม่อยู่ห้องนี้ต่อไป หันหลังเดินออกจากห้อง และลงบันไดไป
รอจนนัทธีซ่อนของเสร็จและออกมาจากห้องแต่งตัว สิ่งที่เห็นคือห้องที่ว่างเปล่า ไม่มีคนอื่นแล้ว
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง
ภรรยาของฉันล่ะ
ภรรยาตัวเป็นๆของฉันล่ะ?
สายตาของนัทธีมองไปรอบๆห้อง หลังจากแน่ใจว่าในห้องมีเพียงเขาคนเดียว และวารุณีออกไปแล้วนั้น เขาจึงนวดระหว่างคิ้ว เริ่มไตร่ตรองว่าตัวเองทำเกินไปหรือเปล่า?
บอกเธอไปมั่วๆว่าเป็นของอะไรก็ได้นี่นา ไม่ว่าเธอจะเชื่อหรือไม่ อย่างน้อยเขาก็ตอบแล้ว
แต่ว่าตอนนี้คิดเรื่องพวกนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ตัวเธอออกไปแล้ว
ช่างมันเถอะ ตอนนี้ตัวเธอก็ไม่อยู่แล้ว รอให้ถึงกลางคืน ค่อยปลอบเธอให้ดีอีกทีละกัน
นึกถึงเรื่องที่จะเกิดในตอนกลางคืน นัยน์ตาของนัทธีก็มืดมนลง อดไม่ได้ที่จะเริ่มตั้งตารอขึ้นมา
อีกด้าน หลังจากที่วารุณีออกมาจากห้อง เธอก็ตรงไปยังห้องรับแขกในชั้นหนึ่งของวิลล่า เพื่อไปหาลีน่า
แต่ว่าในขณะนั้นลีน่าไม่ได้อยู่ในห้องรับแขก เธอนึกย้อนไปถึงที่ลีน่าพูด ว่าหลังจากคุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว จะไปดูสุขใจที่ชั้นสอง
ถ้าอย่างนั้นในตอนนี้ ลีน่าน่าจะอยู่ที่ชั้นสอง
พอคิดได้ดังนั้น ใบหน้าของวารุณีมืดครึ้มลง ตรงไปที่ชั้นสอง
พอมาถึงหน้าบันไดชั้นสอง ก็พบกับพงศกรที่กำลังจะลงไปข้างล่างพอดี