พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 927 ยินดีกับการเปลี่ยนแปลงของเขา
พงศกรเห็นใบหน้าบูดบึ้งของเธอ ดันแว่นตาที่อยู่บนสันจมูก “คุณเป็นอะไร? ใครทำให้คุณไม่พอใจเหรอ?”
เขามองออกอย่างรวดเร็วว่าเธอไม่พอใจ
วารุณียักไหล่ “จะเป็นใครไปได้อีก ก็นัทธีกับลีน่านั่นแหละ ”
พงศกรเลิกคิ้ว “พวกเขาทำอะไรให้คุณไม่พอใจกัน?”
“ นาน่าให้ของขวัญฉันมาชิ้นหนึ่ง ลับลมคมในมาก แต่กลับไม่ยอมบอกฉันว่าคือของขวัญอะไร ฉันอยากจะแกะดู เธอก็ไม่อนุญาต ให้ฉันกลับห้องก่อนค่อยดู ปรากฏว่าหลังจากถึงห้องแล้ว ของขวัญก็ถูกนัทธีแกะออก หลังจากนัทธีดูแล้ว ก็ไม่ยอมบอกฉันเหมือนกับนาน่าว่าข้างในคืออะไร และไม่ให้ฉันดูด้วย คุณว่าสองคนนี้แปลกไหม ”วารุณีนวดระหว่างคิ้วแล้วตอบ
พงศกรพยักหน้า “ก็แปลกอยู่บ้าง ว่าแต่สีหน้าตอนที่พวกเขา ขัดขวางคุณเป็นยังไงเหรอ? ถ้าไม่ใช่สีหน้าที่จริงจังหรือเคร่งขรึมมาก งั้น ก็อธิบายได้ว่าของขวัญไม่มีปัญหาอะไร การที่ไม่อยากให้คุณดู ก็คงจะมีเหตุผลอะไรบางอย่าง”
“สีหน้างั้นเหรอ” วารุณีวางนิ้วชี้บนแก้มแล้วครุ่นคิด “สีหน้าไม่ได้เคร่งขรึม เพียงแค่มีลับลมคมในมาก ส่วนนัทธีนั้น เขาเป็นคนที่เดาใจยาก ดังนั้นฉันเองก็ดูไม่ออก ว่าภายใต้ความลับลมคมในของเขานี้ คิดอะไรอยู่กันแน่ แต่สำหรับนาน่านั้นฉันพอดูออกนิดหน่อย เธอเจ้าเล่ห์มาก”
“เจ้าเล่ห์?” พงศกรเริ่มเกิดความสนใจขึ้นมา
วารุณีพยักหน้า “ใช่แล้ว เจ้าเล่ห์มาก ตอนที่มอบของขวัญให้ฉัน บอกว่าเป็นสิ่งที่ช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ของฉันกับนัทธี ตอนที่พูดและแสดงออกทางสีหน้าที่แสนเจ้าเล่ห์นั้น แค่เห็นฉันอยากจะตีเธอแล้ว ขนลุกไปทั้งตัวเลย”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเธอ พงศกรก็ยิ้มอย่างทันที “งั้นผมรู้แล้วว่าของขวัญคืออะไร”
สิ่งที่พัฒนาความสัมพันธ์ แถมยังเจ้าเล่ห์ขนาดนั้น แล้วยังไม่ให้เธอดูในที่สาธารณะ ต้องกลับไปดูที่ห้องอีก
งั้นสิ่งของที่ว่าก็มีเพียงแค่ของพวกนั้นแหละ
วารุณีไม่รู้ว่าพงศกรกำลังคิดอะไรอยู่ ดวงตาของเธอเปล่งประกายขึ้น มองไปทางเขาและถามขึ้นอย่างรีบร้อนว่า “หืม? คุณรู้แล้วงั้นเหรอ? งั้นคุณรีบบอกฉันมา ตกลงว่าคืออะไรกันแน่?”
แว่นตาของพงศกรสะท้อนแสง “ขอโทษนะวารุณี ผมไม่สามารถบอกคุณได้ ในเมื่อพวกเขาต่างก็เก็บเป็นความลับ ผมไม่สามารถทำลายแผนการของพวกเขาได้ โดยเฉพาะประธานนัทธี ถ้าประธานนัทธีรู้ว่าผมบอกคุณไป เขาไม่ปล่อยผมไปแน่ๆ ดังนั้นคุณคิดหาวิธีเอาเองนะ”
พูดจบ เขาดันแว่นตาขึ้นอีกครั้ง
หลังจากวารุณีฟังเขาพูดจบ ความคาดหวังบนใบหน้าก็แข็งทื่อลงทันที และในที่สุดสีหน้าก็ไร้ความรู้สึก “ทำไมคุณถึงเป็นแบบนี้ไปด้วย? ตกลงว่าพวกคุณปิดบังอะไรฉันกันแน่? มันมีอะไรน่าปิดบังฉันกัน! ”
เธอไม่เข้าใจเลยสักนิด
พงศกรตอบกลับแค่ประโยคเดียว “คุณยังไร้เดียงสาและอ่อนหัดในด้านความรักเกินไป”
“หมายความว่ายังไง” วารุณีตะลึงงันไปครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด
พงศกรแบมือ “ คุณจะเข้าใจความหมายนั้นเอง หลังจากคุณรู้ว่าของขวัญคืออะไร เอาล่ะ ผมจะไปแล้ว”
เขาถือกระเป๋าที่อยู่ในมือขึ้น
ในขณะนั้นสายตาของวารุณีก็ถูกดึงดูดด้วยการกระทำของเขา
สายตาของเธอหยุดอยู่บนกระเป๋าในมือของเขา และถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “คุณจะออกไปข้างนอกเหรอ?”
พงศกรตอบรับไปคำหนึ่ง “ออกไปทำธุระนิดหน่อย คืนนี้ก็กลับมาแล้ว คุณยังแจ้งฝ่ายครัวให้ต้อนรับผมด้วยไม่ใช่เหรอ?”
วารุณีตอบยิ้มๆ “ใช่แล้ว”
“ดังนั้นแล้วผมจะพลาดได้ไง!”
“ที่พูดมาก็ถูก” วารุณีทัดผมที่อยู่ข้างหู “โอเค งั้นคุณไปเถอะ ฉันจะให้คนขับรถไปรับส่งคุณ คืนนี้ก็กลับมาเร็วหน่อยนะ”
“โอเค” พงศกรไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจของเธอ พยักหน้าตอบตกลง
วารุณีหยิบโทรศัพท์ออกมา และส่งข้อความหาบิ๊ก
บิ๊กตอบกลับอย่างรวดเร็ว
หลังจากเห็นข้อความที่ตอบกลับ วารุณีเก็บโทรศัพท์และบอกกับพงศกรว่า “บิ๊กอยู่ข้างนอกแล้ว คุณไปเถอะ”
“งั้นผมไปแล้วนะ เจอกันคืนนี้” พงศกรโบกมือ
วารุณียิ้มและตอบรับ
พงศกรเดินผ่านเธอ ถือกระเป๋าและเดินลงไปชั้นล่าง
วารุณียืนมองเขาอยู่ตรงมุมห้อง ใช้สายตามองส่งเขา
แม้ว่าจะถอนใจไปแล้ว แต่ตอนนี้วารุณีก็ยังอดไม่ได้ที่จะถอนใจอีกครั้ง พงศกรเปลี่ยนไปอย่างมากจริงๆ
ในอดีต ตอนที่เขาเสแสร้งทำตัวเป็นคนสุภาพอ่อนโยน แม้ว่าจะทำให้คนจะดูไม่ออกว่าจริงๆแล้วเขาคือคนที่โหดร้ายและบ้าคลั่ง แต่ก็สามารถรู้สึกได้ว่า เขามีเรื่องมากมายที่แอบซ่อนอยู่ภายในใจ เพราะดวงตาคนๆหนึ่งนั้นไม่สามารถหลอกลวง คนได้
แม้ว่าสายตาของเขาจะอ่อนโยน แต่ก็มีหลายอย่างที่ไม่สะอาดและบริสุทธิ์อดกลั้นเอาไว้ในดวงตาของเขา
โดยเฉพาะในช่วงหลัง การเสแสร้งของเขานั้นถูกโยนทิ้งไปโดยสิ้นเชิง และหลังจากฟื้นคืนธาตุแท้ของเขากลับมา ความอ่อนโยนของเขาก็หายไป ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดแค้นเคืองโกรธและความเลวร้าย ทำให้ผู้คนสั่นสะท้านเมื่อได้เห็น
แต่ตอนนี้ ความเกลียดแค้นเคืองโกรธและความเลวร้ายในดวงตาของเขานั้นไม่มีอีกแล้ว สลายหายไปหมดแล้ว และแทนที่ด้วยความแจ่มใสที่ไม่เคยมีมาก่อน
“ใช่แล้ว ความแจ่มใส”
ดวงตาของเขาแจ่มใสมาก ถึงแม้จะยังไม่ใช่ความอ่อนโยนแบบในอดีต แต่ก็ทำให้คนรู้สึกได้ว่าจิตใจของเขาไม่ล้ำลึกขนาดนั้นแล้ว
ทั้งตัวของเขาก็ผ่อนคลายมากขึ้น คือการผ่อนคลายในแบบที่คิดได้แล้ว ละทิ้งแล้ว และปล่อยวางลงได้แล้ว
แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดว่าเขาละทิ้งอะไร และปล่อยวางอะไรไปบ้าง
แต่เธอก็สามารถเดาได้ว่า เขาปล่อยวางความเกลียดแค้นเคืองโกรธที่มีต่อตระกูลสวนจันทร์ คิดได้แล้วว่าการเสียชีวิตของพ่อแม่นั้น ตระกูลสวนจันทร์ไม่ใช่ผู้กระทำความผิด เพียงแค่ด้วยผลกระทบทางอ้อมจากทฤษฎีผีเสื้อขยับปีกทำให้พวกเขานำพาฆาตกรไป และไม่ได้ตั้งใจ
เขาเองก็เข้าใจแล้วว่า หากปราศจากความช่วยเหลือจากตระกูลสวนจันทร์ในตอนนั้น ครอบครัวของพวกเขาคงจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในอีกช่วงหนึ่ง แต่พวกเขาคงเสียชีวิตกันไปหมดตั้งนานแล้ว ไม่มีทางที่จะทิ้งในเขามีชีวิตรอดอยู่ได้
ตระกูลสวนจันทร์ไม่ใช่ฆาตกรที่ฆ่าพ่อแม่ของเขา แต่กลับเป็นผู้มีพระคุณ
ในอดีต พอใจกับปัจจุบันโดยไม่คิดจะปรับปรุงแก้ไขใดๆ หลังจากที่ตัดสินว่า ตระกูลสวนจันทร์เป็นศัตรูที่ฆ่าเขาแล้ว เขาก็ไม่สามารถคิดเรื่องราวในอดีตจากมุมมองอื่นได้อีก เพราะการตายของพ่อแม่ ทำให้เกิดความหมกมุ่นสิ่งหนึ่ง เป็นความหมกมุ่นที่ทำให้เขาไม่อยากเดินออกมา ไม่มองและไม่อยากครุ่นคิดอีกต่อไป
ดังนั้น เขาถึงได้หลับหูหลับตาเกลียดแค้นเคืองโกรธตระกูลสวนจันทร์มาสิบกว่าปี ทั้งที่เห็นได้ชัดว่ารักปาจรีย์ แต่กลับไม่เต็มใจที่จะยอมรับความจริงนี้ ผลักปาจรีย์ออกครั้งแล้วครั้งเล่า ทำร้ายหัวใจของเธอ แล้วอีกด้านหนึ่ง ก็มารักเธอในแบบที่มองว่าเธอเป็นตัวแทนของปาจรีย์ จนกระทั่งทำผิดมากมายด้วยเหตุนี้
โชคดีที่ในท้ายที่สุดแล้ว เรื่องราวที่ทำผิดพลาดไปเหล่านี้ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบร้ายแรงมากนัก
มิฉะนั้น ตอนนี้พวกเขาและพงศกรคงไม่รู้จะจัดการกับตัวเองอย่างไรเลยจริงๆ
ดังนั้นตอนนี้เธอจึงรู้สึกยินดีมาก พงศกรที่ถูกความเกลียดแค้นเคืองโกรธบดบังดวงตาทั้งสองข้างและไม่สามารถคิดวิเคราะห์ได้นั้น ในที่สุดตอนนี้ก็เดินออกมาจากความเกลียดแค้นเคืองโกรธนั้นได้ และเข้าใจว่าความผิดพลาดในช่วงสิบปีที่ผ่านมานั้นไร้เหตุผลมากมายเพียงใด
พูดตามตรง เขาที่ปราศจากความเกลียดแค้นเคืองโกรธและเจตนาร้ายนั้น เป็นคนที่เพอร์เฟกต์มาก และเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์ดึงดูดเป็นอย่างมาก
เธอตั้งตารอดูเขาที่จะดีขึ้นอีกในอนาคต
เพียงแค่ไม่รู้ว่าเขาจะปรับความเข้าใจกับตระกูลสวนจันทร์อย่างไร
ตอนนี้เขาที่ได้ปล่อยวางความเกลียดแค้นเคืองโกรธ และ คลี่คลายปมในใจแล้วนั้น ก็คงจะไม่ทำสงครามเย็นกับตระกูลสวนจันทร์ต่อไปอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เขาตระหนักได้แล้วว่าคนที่เขารักคือปาจรีย์ และมีความคิดที่จะจีบปาจรีย์กลับมาอีกครั้ง
ในเมื่อจะจีบให้ปาจรีย์กลับมาอีกครั้ง งั้นเขาก็จำเป็นที่จะต้องคืนดีกับตระกูลสวนจันทร์ ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถคบกับปาจรีย์ได้ คุณอาคุณน้าต้องขัดขวางอย่างสุดกำลังแน่นอน
ดังนั้น หากเขาอยากคบกับปาจรีย์ ก็ต้องสลายความเกลียดแค้นเคืองโกรธและความขัดแย้งกับคุณอาคุณน้าก่อน และได้รับการให้อภัยจากคุณอาคุณน้า
มีเพียงแค่วิธีนี้เท่านั้น คุณอาคุณน้าถึงจะไม่ขัดขวางในการที่เขาไปจีบปาจรีย์
ส่วนในด้านของปาจรีย์นั้น
วารุณีครุ่นคิดอยู่สักพัก
ตอนนี้ปาจรีย์ยังไม่ฟื้นความทรงจำ และดูเหมือนไม่มีท่าทีที่อยากจะฟื้นคืนความทรงจำ
ตราบใดที่ปาจรีย์ไม่ฟื้นความทรงจำ บวกกับปาจรีย์ก็รู้อย่างชัดเจนว่าไม่สามารถตกหลุมรักพงศกรได้อีก ดังนั้นถ้าพงศกรอยากจะจีบปาจรีย์ให้ติกนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย
อย่างน้อยในตอนนี้ปาจรีย์ครองสติได้ แม้ว่าเธอจะจำไม่ได้ว่าพงศกรทำร้ายเธออย่างไรในอดีต แต่เธอก็รู้ว่า ในอดีตนั้นพงศกรต้องทำร้ายเธออย่างรุนแรงอย่างแน่นอน
ผู้หญิงที่ครองสติคนหนึ่ง รู้ว่าหลังจากที่ผู้ชายคนหนึ่งทำร้ายเธอแล้ว ก็อาจมีโอกาสทำร้ายอีกเป็นครั้งที่สอง
ดังนั้น เธอคงไม่อยากที่จะฟื้นความทรงจำอย่างแน่นอน และยิ่งไม่อยากตกหลุมรักเขาใหม่อีกครั้ง เพราะกลัวว่าตัวเองจะถูกทำร้ายอีกครั้ง