พ่อจอมผยอง / คุณพ่อสายเปย์ - บทที่ 234 ใส่ร้ายป้ายสี
บทที่ 234 ใส่ร้ายป้ายสี
วันต่อมา ในขณะที่ลู่เฉินกำลังเตรียมตัวจะไปซากุระคลับเพื่อเร่งให้ตู้เฟยตามหาตัวเสี่ยวเบชิงนั้น เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากหลี่หงเหม่ย
หลี่หงเหม่ยก็คือผู้หญิงขาพิการคนที่ลู่เฉินช่วยลูกชายเธอเอาไว้ตอนเกิดแผ่นดินไหวนั่นเอง
หลังจากนั้นลู่เฉินก็พาเธอเข้าไปทำงานที่เทคโนโลยีอี้ฉี และเขาทิ้งเบอร์มือถือของเขาเอาไว้ให้ บอกว่าหากมีเรื่องอะไรก็สามารถโทรหาเขาได้ ลู่เฉินเองก็ไม่รู้ว่าวังเหว่ยจัดการให้เธอทำงานตำแหน่งอะไร
“คุณลู่คะ ช่วยฉันหน่อยได้ไหม” หลี่หงเหม่ยสะอึกสะอื้น
“พี่หลี่ครับ เกิดอะไรขึ้นเหรอ?บอกผมมาซิ” ลู่เฉินขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เธอเป็นผู้หญิงที่น่าสงสารก็จริง แต่เขาได้จัดการหางานให้เธอทำแล้ว ทำไมตอนนี้เธอถึงได้ร้องไห้ร้องห่มออกมากัน? มันไม่ควรเป็นอย่างนี้สิ!
“คุณลู่คะ พวกเขาจะแจ้งตำรวจจับลูกชายฉัน ตอนนี้ฉันไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว” หลี่หงเหม่ยร้องไห้
ลู่เฉินได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึง ลูกชายของหลี่หงเหม่ยอายุเพียงแค่ 5-6 ปี ที่จริงเขาควรจะได้ไปเรียนในโรงเรียนอนุบาลแล้วด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากว่าหลี่หงเหม่ยไม่มีเงินพอที่จะส่งเขาไปเรียนหนังสือ จึงวางแผนว่าอีก 2 ปีค่อยส่งเขาไปเรียนชั้นประถมทีเดียวเลย ดังนั้นจึงได้เอาลูกไปทำงานที่บริษัทด้วย เด็กตัวเล็กแค่นี้จะทำอะไรผิดกฎหมายได้กัน? ทำไมตำรวจจะต้องจับตัวเขาด้วย!
“พี่ครับ ไม่ต้องกลัวนะ รอผมก่อน เดี๋ยวผมจะไปตอนนี้เลย 15 นาทีก็ถึง” ลู่เฉินเดิมทีอยากจะโทรศัพท์หาวังเหว่ยให้จัดการ แต่เมื่อคิดดูก็รู้สึกว่าตนเดินทางไปเองคงจะดีกว่า เขาเองก็อยากเห็นนักว่าใครกันที่ไม่ละเว้นแม้กระทั่งเด็กตาดำๆ
“ได้ค่ะๆ ขอบคุณคุณลู่มาก คุณมีบุญคุณกับฉันมากจริงๆ” หลี่หงเหม่ยพูดด้วยความซาบซึ้งใจ
หลังวางสายลง ลู่เฉินก็เลี้ยวรถตรงไปยังอาคารแกรนด์ไฮแอทจวินเยวี่ย ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากบริษัทไม่ไกลนัก ถ้ารถไม่ติด 10 นาทีก็คงจะถึงจุดหมาย
และขณะนี้ที่หน้าห้องทำงานแผนกเสมียนของแกรนด์ไฮแอทจวินเยวี่ย เสี่ยวเป่าหลบอยู่ด้านหลังหลี่หงเหม่ย แววตาแฝงไปด้วยความหวาดกลัว
“คุณหยูลี่คะ ลูกชายฉันอายุแค่นี้เอง เขาจะไปขโมยลิปสติกคุณได้ยังไง? ถึงแม้เขายังเล็กมาก แต่ก็รู้ว่าลิปสติกเป็นของที่ผู้ชายใช้ไม่ได้ คุณจะโยนความผิดให้กับคนบริสุทธิ์อย่างนี้ไม่ได้นะคะ” หลี่หงเหม่ยกป้องลูกชายของตน
หยูลี่หัวเราะหึๆและพูดด้วยท่าทางดุดันว่า “ลูกชายของแกเป็นขโมย! มันไปที่โต๊ะทำงานของฉัน พอฉันกลับมาก็พบว่าลิปสติกฉันหายไปแล้ว ถ้าเขาไม่ได้ขโมยไปแล้วใครจะขโมย หรือว่าแกคิดว่าเพื่อนร่วมงานของฉันจะขโมยอย่างนั้นเหรอ?”
เมื่อหยูลี่พูดจบ เพื่อนทำงานของเธอหลายคนก็พูดแทรกขึ้นว่า “หลี่หงเหม่ย หมายความว่ายังไงกัน? แกจะบอกว่าพวกเราเป็นคนขโมยลิปสติกของหัวหน้าอย่างนั้นเหรอ?”
“พวกเราดูเหมือนคนที่ไม่มีปัญญาซื้อลิปสติกเหรอ?”
“ที่จริงฉันสงสัยแกต่างหาก แกใช้ให้ลูกชายไปขโมยลิปสติกของหัวหน้ามาหรือเปล่า?”
“นั่นสินะ ก็แค่คนทำความสะอาดคนนึง เงินเดือนก็เท่านั้นแหละจะมีปัญญาซื้อลิปสติกได้ยังไง?”
เมื่อพวกเธอรุมกันด่า หลี่หงเหม่ยก็แทบจะร้องไห้ออกมา จริงอยู่ที่เธอไม่มีปัญญาซื้อและเป็นแค่เพียงคนทำความสะอาด แต่เธอก็มีศักดิ์ศรีของตัวเอง
“ดูสาระรูปตัวเองเข้าสิ เดินก็กระเผกแล้วยังมีหน้ามาทำงานอีก แถมยังพาลูกชายมาที่บริษัท นี่แกคิดว่าแกเป็นใครกัน!”
“อ้อ นึกได้แล้ว เมื่อสองวันก่อนโทรศัพท์ฉันก็หายไปเหมือนกัน แกให้ลูกชายแกไปขโมยมาใช่ไหม? ถ้าแกไม่ยอมรับ พวกเราก็จะแจ้งตำรวจจับแล้วนะ”
“ทางที่ดีแกพาลูกชายไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ บริษัทYiqiของเรายิ่งใหญ่ขนาดไหนแกไม่รู้หรือไง?สองคนแม่ลูกแกมาอยู่ที่ ทำให้พวกเราก็เสียภาพพจน์เปล่าๆ”
ในขณะเดียวกันเพื่อนร่วมงานผู้ชายคนอื่นๆเมื่อเห็นภาพนี้ก็พากันเข้ามาตำหนิหลี่หงเหม่ย
หยูลี่ไม่เพียงแต่เป็นผู้จัดการของแผนกเสมียน อีกทั้งยังเป็นสาวสวยประจำบริษัทด้วย ผู้ชายหลายๆคนก็พากันปกป้องเธอ
การที่หยูลี่เดินทางมาทำงานที่บริษัทนี้ เธอได้ตกลงกับเสี่ยวจื่อเหิงแล้ว ทั้งสองคนไม่ได้พูดความสัมพันธ์ออกมา จึงทำให้คนในบริษัทไม่รู้ว่าเขาทั้งสองเป็นแฟนกัน
ซึ่งทำให้เพื่อนทำงานผู้ชายหลายๆคนพากันคิดกับหยูลี่ไปไกล และตามปกติก็มักจะเอื้อต่อเธอเสมอ
เมื่อได้ยินคนรอบข้างดูถูกและใส่ร้ายเธอแบบนั้น หลี่หงเหม่ยก็รู้สึกเจ็บปวดใจ ลูกชายของเธอเป็นคนยังไงเธอจะไม่รู้เชียวเหรอ?
แม้ว่าตามปกติแล้วเวลาทำงานเธอจะเอาลูกชายมาอยู่ด้วย แต่เธอก็ไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับของบนโต๊ะใดๆ อีกทั้งเสี่ยวเป่าเองก็เป็นเด็กดีเชื่อฟังคำสั่งสอนและช่วยเหลือเธอเวลาทำงาน จะไปขโมยของใครได้ยังไง?
“หลี่หงเหม่ย แกจะยอมรับไหม? ถ้าแกไม่ยอมรับฉันจะไปหาฝ่ายบุคคลแล้วนะ ให้เขามาจัดการเรื่องนี้ ดูซิว่าจะโดนไล่ออกหรือเปล่า?”เมื่อเห็นว่าหลี่หงเหม่ยไม่พูดอะไรออกมา หยูลี่ก็ข่มขู่เธอ
“กับอีแค่พนักงานตำแหน่งเล็กๆธรรมดา แค่เพียงหัวหน้าฝ่ายบุคคลก็จัดการได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องไปบอกคุณวังหรอก”
แต่แน่นอนว่าสุดท้ายคนจากฝ่ายบุคคลก็จะต้องนำเรื่องไปรายงานให้วังเหว่ยทราบ ว่าไล่ออกเพราะเหตุใดและทำผิดกฎบริษัทข้อไหน
หยูลี่พูดจบก็หันเดินไปทางฝ่ายบุคคล
บัดนี้รองผู้จัดการฝ่ายบุคคลเสี่ยวจื่อเหิงถึงกำลังยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดจากที่ชั้น 3 เมื่อเห็นหยูลี่เดินขึ้นมาเขาก็หันไปทางเธอ
“นางนั่นไม่ยอมรับ อีกทั้งยังโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ไม่รู้ว่าโทรไปหาลู่เฉินหรือเปล่า” หยูลี่พูดกับเสี่ยวจื่อเหิง
เสี่ยวจื่อเหิงสีหน้าเข้มขรึม และพูดว่า “ไม่ว่าจะเป็นยังไง คุณก็จะต้องทำให้เธอยอมรับให้ได้ว่าลูกชายเป็นขโมย อย่างนี้ผมถึงจะสามารถหาเหตุผลไล่เธอออกได้”
“แล้วถ้าลู่เฉินมาล่ะ?”
“เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับคุณวังไม่ใช่เหรอคะ? ถ้าหากว่าเขาไปฟ้องคุณวัง แล้วคุณวังจะโทษคุณหรือเปล่า?” หยูลี่ขมวดคิ้วพูด
ในวันนี้ที่เธอวางแผนการจัดการกับหลี่หงเหม่ย ก็เพราะว่าเสี่ยวจื่อเหิงสืบเรื่องมาได้ว่าหลี่หงเหม่ยเป็นคนที่ลู่เฉินแนะนำมา
ก่อนหน้านี้ลู่เฉินบังคับให้เสี่ยวจื่อเหิงคุกเข่าอยู่ที่หน้าบริษัทตั้งหนึ่งวันเต็ม ทำให้เขาอับอายขายหน้า อีกทั้งยังเขียนหนังสือรับประกัน จึงได้ทำงานต่อที่นี่ ลึกๆในใจเขาก็เกลียดแค้นลู่เฉินจนถึงที่สุด
เมื่อรู้ว่าหลี่หงเหม่ยเป็นคนที่ลู่เฉินแนะนำมา เขาก็พยายามจะกำจัดหลี่หงเหม่ยออกไป
“มันก็แค่คนทำความสะอาดคนหนึ่งเท่านั้นเอง อีกทั้งยังพิการด้วย ฉันคิดว่าคุณวังไม่ไล่เธอออกไปก็เพราะเห็นแก่หน้าลู่เฉินเท่านั้นแหละ แต่ถ้าวันนี้เธอยอมรับว่าลูกชายของเธอเป็นขโมย คุณวังก็จะต้องสนับสนุนพวกเราและไล่เธอออกไป เมื่อถึงเวลานั้นลู่เฉินก็ไม่มีอะไรจะแก้ตัวหรอก” เสี่ยวจื่อเหิงยืนยันความคิดของตน
เมื่อหยูลี่ลองคิดดู ก็รู้สึกว่ามีเหตุมีผลอยู่พอสมควร
ถ้าหากหลี่หงเหม่ยยอมรับต่อหน้าทุกคนว่าลูกชายของเธอเป็นขโมย เมื่อถึงเวลาแล้วก็จะทำให้ลู่เฉินต้องอับอายขายหน้าแน่นอน เธอจะไม่ให้โอกาสดีๆแบบนี้หลุดมือไปแน่นอน
เดิมทีเธอและลู่เฉินเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันในมหาวิทยาลัย และลู่เฉินก็รู้ว่าเสี่ยวจื่อเหิงเป็นแฟนของเธอ แต่เขาก็ยังไม่ไว้หน้าและทำให้เสี่ยวจื่อเหิงอับอายขายหน้าแก่คนทั่วไป เธอเองก็เกลียดลู่เฉินมากเหมือนกัน
“ค่ะ ถ้าอย่างนั้น ฉันจะลงไปบีบบังคับให้เธอยอมรับให้ได้” หยูลี่พยักหน้าและเดินลงไปอีกครั้ง
ครั้งนี้เธอจะต้องทำให้หลี่หงเหม่ยยอมรับให้ได้