พ่อจอมผยอง / คุณพ่อสายเปย์ - บทที่ 406 หลินโพ่จวูน
บทที่ 406 หลินโพ่จวูน
“แย่แล้ว แย่แล้ว…” โจวเจินเฟ่ยวิ่งเข้าไปในห้องโถงด้านในด้วยหน้าตาตื่นตระหนก เขาไม่คิดว่าลู่เฉินจะใจกล้าหักมือหลินโพ่ไห่
หลินไห่โพ่เป็นถึงปีศาจในคราบมนุษย์แห่งตระกูลหลินและมีสถานะสูงกว่าหลินโพ่จวูน นี่เป็นการยั่วโมโหตระกูลหลินโดยสิ้นเชิง
ในเวลานี้ในห้องโถงด้านในมีผู้นำครอบครัวของตระกูลหลินและตระกูลโจวสองตระกูล รวมไปถึงผู้อาวุโสตระกูลผู้มีอำนาจของจงไห่ หลินโพ่จวูนหยิบแหวนเพชรมูลค่าหลายสิบล้านเตรียมสวมให้โจวเฉินเฉินที่มีใบหน้าสงบเสงี่ยม นี่คืองานหมั้นของพวกเขา
เพียงแค่สวมแหวนให้โจวเฉินเฉินและเข้าไปเคารพผู้อาวุโสของทั้งสองฝ่ายอีกครั้ง พิธีหมั้นทั้งหมดก็จะสิ้นสุดลง ลำดับต่อไปคือการจัดงานเลี้ยงค็อกเทลเพื่อเฉลิมฉลองกับแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน
หลังจากได้ยินที่โจวเจินเฟ่ยพูด หลินโพ่จวูนก็ขมวดคิ้ว มือของโจวเฉินเฉินที่ยื่นออกไปก็หดกลับมาเช่นกัน
“อายุตั้งเท่าไหร่แล้วยังจะตื่นตระหนกอยู่ได้ สำรวมด้วย!”โจวซวี่นฉายขมวดคิ้ว การแสดงออกของโจวเจินเฟ่ยในตอนนี้น่าอับอายจนไม่เหลือศักดิ์ศรี
เมื่อเทียบกับบุตรชายของตระกูลหลินแล้ว โจวเจินเฟ่ยยังด้อยเกินไป
“คุณพ่อตาแม่ยายอย่าเพิ่งโมโหไปเลย ก่อนอื่นให้ลองไปถามหลานเฟยดูซิว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ชายชราที่นั่งอยู่ข้างๆโจวซวี่นฉายเป็นพ่อของหลินโพ่จวูน นั่นก็คือหลินเจิ้นตง เขาเป็นผู้นำครอบครัวของตระกูลหลินที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งยังเป็นนักศิลปะการต่อสู้ระดับแข็งเกร็ง
“ท่านหลินพูดถูก” โจวซวี่นฉายพยักหน้าให้หลินเจิ้นตง แม้ลูกสาวของเขากำลังจะแต่งงานกับหลินโพ่จวูน แต่เขาและหลินเจิ้นตงก็เป็นทองแผ่นเดียวกันแล้ว
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นอายุหรือสถานะ หลินเจิ้นตงก็สูงส่งกว่าโจวซวี่นฉายกว่ามาก
ดังนั้นโจวซวี่นฉายจึงได้แต่เรียกหลินเจิ้นตงว่าท่านหลิน
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” โจวซวี่นฉายถามพลางจ้องหน้าโจวเจินเฟ่ย
“ท่านหลิน พ่อ ลู่เฉินมาแล้ว มันอยู่ข้างนอก มัน มัน…” โจวเจินเฟ่ยพูดด้วยความกังวล พอเขาเหลือบมองหลินเจิ้นตง เขาก็ไม่กล้าพูดออกมาว่าหลินโพ่ไห่กำลังคุกเข่าอยู่แทบเท้าลู่เฉินจนมือขวาหัก
เมื่อได้ยินชื่อลู่เฉิน โจวซวี่นฉายก็ขมวดคิ้ว เขารู้ว่าการที่ตัวเองให้ลูกชายไปที่เจียซือเพื่อทำลายความร่วมมือระหว่างบริษัทหินธรรมชาติคัยเทียนกรุ๊ปกับซางปานั้น แน่นอนว่าทำให้ลู่เฉินไม่พอใจ แต่ไม่คิดว่าลู่เฉินจะมาเยือนถึงหน้าประตู
“เอ๊ะ? ลู่เฉินคนนี้เป็นคนแบบไหนกัน เขาถึงได้กล้าหยามพ่อตาแม่ยาย?” หลินเจิ้นตงขมวดคิ้วเมื่อมองไปยังโจวซวี่นฉาย เขาอดไม่ได้ที่จะสงสัยอยู่บ้างเกี่ยวกับลูกพี่ใหญ่มีระดับอย่างโจวซวี่นฉาย เพราะโดยปกติเขาสนใจเพียงแค่เรื่องวิธีการบุกทะลวงขอบเขตวิทยายุทธเท่านั้น ไม่เคยให้ความสนใจกับเรื่องซุบซิบนินทาพวกนี้เลย จึงเรียกได้ว่าหลินเจิ้นตงไม่รู้จักตัวตนของลู่เฉินเลยแม้แต่น้อย ส่วนลู่เฉินเองก็ไม่รู้จากตระกูลหลินแห่งภาคตะวันออกเฉียงใต้ด้วยเช่นกัน
“เขาเป็นเจ้าของบริษัทเทคโนโลยีอี้ฉี เมื่อปีที่แล้วได้ก่อตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์แห่งแรกหัวเซี่ย สร้างตัวได้เพียงครึ่งปีจนกลายเป็นคนดังระดับประเทศ อุทยานวิทยาศาสตร์ของเขาเป็นที่ตกตะลึงของคนทั้งโลก ก่อนหน้านี้เป็นเพราะลูกชายผมไปล่วงเกินเขาที่ยวี่โจว เขาก็เลยมาหาเรื่องตระกูลโจวของพวกเราที่นี่” เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินเจิ้นตง โจวซวี่นฉายไม่กล้าเล่นลูกไม้อะไร เพราะถ้าหากแม้แต่ตระกูลหลินไม่กล้าล่วงเกินลู่เฉิน ตระกูลโจวอย่างพวกเขาก็ต้องได้แต่ยอมรับ
“บริษัทเทคโนโลยีอี้ฉี? เหมือนจะเคยได้ยินมาก่อน แต่ก็เป็นแค่นักธุรกิจคนหนึ่ง มีอะไรที่จะต้องกลัว โพ่จวูน แกออกไปดูก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เมื่อได้ยินคำพูดของโจวซวี่นฉายเมื่อกี้นี้ หลินเจิ้นตงก็เลิกคิ้วอย่างไม่ใส่ใจ
ตระกูลหลินอย่างพวกเขาไม่มองนักธุรกิจพวกนี้อยู่ในสายตา
ทรัพย์สินตระกูลหลินของพวกเขาก็มอบให้นักธุรกิจทั่วไปช่วยตระกูลพวกเขาดูแลอยู่แล้ว
พวกเขาก็เพียงแค่ทุ่มเทแสวงหาจุดสูงสุดของวิทยายุทธเท่านั้น แน่นอนว่าไม่ได้สนใจบริษัทเทคโนโลยีอี้ฉีอยู่ในสายตา
“ครับ” หลินโพ่จวูนพยักหน้าแล้วเดินออกไป
พิธีหมั้นถูกขัดจังหวะชั่วคราว หลินโพ่จวูนขมวดคิ้วพลันรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เขาเก็บแหวนแล้วเดินออกจากห้องโถง
หลินโพ่จวูนเป็นผู้มีฝีมือลำดับที่สอง เขาอายุ 38 ปีแล้ว แต่ยังไม่ได้แต่งงาน ทั้งยังไม่ได้คบหาแฟนสาวอย่างจริงจัง
เนื่องจากหลินโพ่จวูนเป็นคนรักใคร่หลงใหลวิทยายุทธคนหนึ่ง เขาฝึกซ้อมศิลปะการต่อสู้แบบโบราณมาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ หมกมุ่นอยู่กับโลกแห่งศิลปะการต่อสู้มานานถึง 33 ปีแล้ว นอกจากนี้ความสามารถทางด้านศิลปะการต่อสู้ของเขายังอยู่ในระดับพลิกแผ่นฟ้าจนได้รับการขนานนามว่ามีพรสวรรค์ที่สุดในประวัติศาสตร์หลายร้อยปีของตระกูลหลิน ขุมทรัพย์แห่งพรสวรรค์อันนับไม่ถ้วนของตระกูลหลินล้วนถูกนำมาฝึกฝนให้เขาโดยไม่ลังเล ดังนั้นหลินโพ่จวูนจึงเป็นผู้ระดับแข็งแกร่งที่ไม่มีใครเทียบได้ในโลกอิ่นในวัยเพียง 38 ปี
สองเดือนก่อนหน้านี้ ธุรกิจทางภาคกลางของตระกูลหลินประสบปัญหา หลังจากรู้สึกว่าศิลปะการต่อสู้พัฒนาได้ช้าลง หลินโพ่จวูนจึงเตรียมตัวออกไปดูสถานการณ์ทางภาคกลาง
หลังจากที่หลินโพ่จวูนไปเยี่ยมตระกูลโจวก็ได้พบกับโจวเฉินเฉินเป็นครั้งแรก เขาหลงใหลในความงามของโจวเฉินเฉินอย่างมาก หลังจากนัดเดทกับโจวเฉินเฉินอยู่หลายครั้งแล้วโดนปฏิเสธ หลินโพ่จวูนก็ยอมแพ้ไป แม้เขาจะชอบโจวเฉินเฉินมาก แต่เขาก็มีหลักการของตัวเอง เขาไม่ลดตัวไปทำเรื่องประเภทแย่งชิงผู้หญิงอะไรพวกนั้น
แต่เมื่อเขากำลังจะออกจากภาคกลางกลับไปยังภาคตะวันออกเฉียงใต้ ตระกูลโจวก็เป็นฝ่ายมาหาเขาพร้อมกับบอกว่ายินดีให้โจวเฉินเฉินแต่งงานกับเขา เขารู้ดีว่าที่ตระกูลโจวทำแบบนี้ก็เพราะต้องการความช่วยเหลือจากเขาอย่างแน่นอน เขาจึงถามสาเหตุไปตรงๆ พอได้ยินว่าตระกูลโจวไปล่วงเกินเจ้าของบริษัทเทคโนโลยีอี้ฉีซึ่งรุ่งเรืองมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว เขาก็ตอบตกลง
ในฐานะโอรสสวรรค์แห่งศิลปะการต่อสู้ เขาย่อมไม่เห็นนักธุรกิจธรรมดาๆคนหนึ่งอยู่ในสายตาอยู่แล้ว
“พวกเราก็ออกไปดูกันเถอะ” เมื่อเห็นลูกชายเดินออกไป หลินเจิ้นตงก็ลุกขึ้นตาม จริงๆแล้วหลินเจิ้นตงก็อยากเจอลู่เฉินคนนี้เหมือนกัน แม้จะรู้ว่าเป็นวันมงคลของตระกูลหลินกับตระกูลโจว เขาก็ยังกล้ามาก่อเรื่อง
ทุกคนพยักหน้าและเดินตามกันออกจากห้องโถง
……
“บริษัทเทคโนโลยีอี้ฉีนี่ก็จองหองเกินไปแล้ว ถึงขนาดกล้าทำร้ายแม้กระทั่งหลินโพ่ไห่ เขาไม่กลัวตระกูลหลินทำลายบริษัทของเขาหรือไง?”
“เจ้าหนุ่มคนนี้อาจจะยังไม่รู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของตระกูลหลิน วันนี้เขาเตะโดนแผ่นเหล็กจนได้ เกรงว่าเดี๋ยวจะถอนตัวไม่ได้น่ะสิ!”
“ถอนตัว? นายคิดมากไปแล้ว ตระกูลหลินเป็นใคร? เขากล้าทำร้ายหลินโพ่ไห่ จะมีชีวิตรอดกลับไปหรือเปล่ายังไม่รู้เลย”
“ไม่ต้องพูดแล้ว คนของตระกูลหลินกับตระกูลโจวออกมากันแล้ว”
ตอนที่ทุกคนหันไปมองก็เห็นหลินโพ่จวูนและผู้อาวุโสทุกคนในห้องโถงออกมากันหมด
เมื่อหลินโพ่จวูนที่เดินนำหน้าเห็นว่าน้องชายของตัวเองกำลังคุกเข่าแทบเท้าของชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาก็รู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มคนนั้นจะต้องเป็นลู่เฉินผู้เป็นเจ้าของบริษัทเทคโนโลยีอี้ฉีอย่างแน่นอน
“หืม?” พอหลินโพ่จวูนเห็นภาพนั้น ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความโกรธในทันที หลินเจิ้นตงที่อยู่ข้างหลังเขาก็โกรธจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่เช่นกัน หลินโพ่ไห่เป็นลูกชายสุดที่รักของเขา เมื่อไหร่ที่เขาได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้ นี่ก็เป็นการทำให้ตระกูลหลินของพวกเขาอับอายจนถึงที่สุด
ทุกคนในตระกูลโจวรวมไปถึงผู้อาวุโสทางภาคกลางต่างถอดสีหน้าไปชั่วขณะ นี่ถือว่าเป็นเหตุการณ์หยามหน้าตระกูลหลินแห่งภาคตะวันออกเฉียงใต้ ทุกคนอดส่ายหัวไม่ได้ เมื่อมองแววตาของลู่เฉินก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายแล้ว
ก่อตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์มานานครึ่งปีก็ได้เปิดตัวเครื่องบินรบรุ่นหกรวมไปถึงเทคโนโลยีชั้นนำอีกมากมายจนกลายเป็นคนมีชื่อเสียงในวงการทหารและระดับประเทศ กล่าวได้ว่าในช่วงเวลานี้ไม่มีใครเทียบบริษัทเทคโนโลยีอี้ฉีได้เลย
แต่เขาก็เป็นแค่นักธุรกิจธรรมดาคนหนึ่ง การที่เขาไปยั่วยุครอบครัวที่ซ่อนอยู่จึงเป็นการกระทำที่โง่เขลา
ในตอนนี้แทบจะทุกคนคิดว่าลู่เฉินเสร็จแน่ บริษัทเทคโนโลยีอู๋ฉีจะต้องจบแล้ว