พ่อจอมผยอง / คุณพ่อสายเปย์ - บทที่ 58 โกหกอีกครั้ง
บทที่ 58 โกหกอีกครั้ง
หลังจากได้ทราบข่าวจากหลี่เหวินกวงแล้ว ไม่นานผู้จัดการเซียวเจี้ยนของร้านหยก 36 ก็เดินเข้ามา เพราะไม่ว่ายังไงหลี่เหวินกวงก็มีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้า ในเมื่อเขาเดินทางมาทานอาหารที่ร้านของตนเองทั้งที เขาผู้ซึ่งเป็นผู้ดูแลก็ควรที่จะเลี้ยงอะไรสักเล็กน้อย
“ผู้จัดการเซียว ทางนี้ ผมอยู่ตรงนี้” หลี่เหวินกวงโบกมือทักทายทันทีเมื่อเห็นเซียวเจี้ยนกำลังเดินมา
ด้วยเสียงเรียกที่ค่อนข้างดังของหลี่เหวินกวง ทำให้ผู้คนรอบข้างต่างจับจ้องสายตามายังพวกเขาด้วยความสนใจ
เมื่อเซียวเจี้ยนเดินมาถึงโต๊ะก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากลี่เหวินกวง หยูลี่และเสี่ยวจื่อเหิงทั้งสามคนพร้อมใจกันลุกขึ้นยืนเพื่อต้อนรับเขา เว้นแต่หลินอี้จุนเพียงคนเดียวที่ไม่รู้จักเซียวเจี้ยน เธอจึงเพียงแค่มองเขาเพียงหางตาเท่านั้น
ส่วนทางด้านของลู่เฉินนั้น เขาไม่แม้แต่จะหันหน้าขึ้นมามองเลย เอาแต่นั่งทานอาหารอย่างเงียบๆ
“ผู้จัดการเซียว สองคนนี้เป็นเพื่อนของผม ชื่อชื่อหยูลี่กับเสี่ยวจื่อเหิง” หลี่เหวินกวงแนะนำให้เขารู้จักเพื่อนเพียงแค่สองคนเท่านั้น ส่วนลู่เฉินและหลินอี้จุนนั้นเขาไม่ได้พูดถึง
เซียวเจี้ยนโบกไม้โบกมือให้กับหยูลี่และเสี่ยวจื่อเหิงที่ยืนอยู่ แต่สายตาของเขากลับมองตรงไปยังลู่เฉินและหลินอี้จุน
ในขณะเดียวกันลู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมาสบสายตาเข้ากับเขาพอดี
“ผู้จัดการเซียว เดี๋ยวฉันชงเครื่องดื่มให้คุณเองค่ะ” หยูลี่จัดการรินเครื่องดื่มสีอำพันใส่แก้วทรงสูงและยื่นมาตรงหน้าเขา
เซียวเจี้ยนมองสังเกตุลู่เฉินพบว่าฝ่ายนั้นไม่ได้ดื่มแอลกฮอล์แต่อย่างใด เขาจึงดินตรงดิ่งไปยืนข้างๆลู่เฉิน
“ลู่ ลู่เฉิน คุณก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ” เซียวเจี้ยนพูดด้วยความเคารพ
ภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าทำให้หยูลี่ที่กำลังถือแก้วเครื่องดื่มสีอำพันอยู่นั้นชะงักงันทันที
คุณชายลู่?
ผู้จัดการเซียวทักคนผิดแล้วหรือเปล่า?
ผู้ชายคนนั้นที่ผู้จัดการเซียวพูดถึงคือใครกันนะ?
หลี่เหวินกงและเสี่ยวจื่อเหิงขมวดคิ้วยุ่ง ภายในใจเต็มไปด้วยความสงสัย
ทางด้านของหลินอี้จุนก็อ้าปากค้างด้วยความเซอร์ไพรส์ พลางเหลือบมองไปยังเซียวเจี้ยนที่ยืนอยู่ด้วยท่าทางน่าเคารพ
ผู้จัดการคนนี้ไม่ใช่บุคคลธรรมดาทั่วไป เขาคงเห็นแก่หลี่เหวินกวงถึงยอมออกมาเจอ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะแสดงสีหน้าท่าทางที่น่าเคารพเช่นนี้ต่อลู่เฉิน
“อืม” ลู่เฉินพยักหน้าเพียงเล็กน้อย
“คุณลู่เฉินครับ เดี๋ยวผมจะย้ายพวกคุณไปที่ถุงอิมพีเรียล คุณตกลงมั้ย?” เซียวเจี้ยนถาม
“ไม่ต้องหรอก คุณไปทำงานของคุณต่อเถอะ ผมจะดื่มเหล้ากับเพื่อนของผมต่อ” ลู่เฉินโบกมือปฏิเสธคำชักชวน
คำตอบของลู่เฉินทำให้หลี่เหวินกวงและผองเพื่อนต่างอึดอัด เพราะในขณะที่พวกเขาดื่มเหล้ากันนั้นไม่ได้เอ่ยทักทายลู่เฉินและหลินอี้จุนเลย
“โอเคได้เลยครับ” เซียวเจี้ยนพยักหน้าตอบและหมุนตัวกลับไปหาหลี่เหวินกวงและเพื่อนๆด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำขอโทษ
เมื่อทั้งสามคนเห็นว่าเซียวเจี้ยนเชื่อฟังคำพูดของลู่เฉินและเดินจากไป เพื่อนๆทั้งสามก็ตกใจเป็นอย่างมาก
อย่างที่รู้ๆกันอยู่ว่าหลี่เหวินกวงเป็นคนที่เชิญเซียวเจี้ยนมาที่โต๊ะนี้ เพิ่งจะโบกมือทักทายกันได้ประเดี๋ยวเดียวและเกือบจะได้ดื่มเหล้าด้วยกันแล้ว
แต่เพียงชั่วครู่ที่ได้เจอลู่เฉิน เซียวเจี้ยนกลับเปลี่ยนท่าทีเป็นเด็กน้อยที่เชื่อฟังคำสั่งทันที เพียงแค่ลู่เฉินโบกมือปฏิเสธเขาก็เดินจากไปแบบไม่ทัดทานอะไรเลย แม้แต่เพื่อนเก่าอย่างเขาเซียวเจี้ยนก็ไม่คิดจะเอ่ยลา
นี่มันไม่ใช่แค่การเชื่อฟังคำสั่ง แต่มันคือท่าทางหวาดกลัวลู่เฉินต่างหากล่ะ
หลี่เหวินกวงจ้องเขม็งไปยังลู่เฉิน ในดวงตาที่ปกคลุมไปด้วยหมอกควันนั่นกำลังปกปิดเรื่องอะไรกับพวกเขาอยู่หรือเปล่า
เห็นทีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้คงจะมีอะไรลึกซึ้งกว่าที่เขาคาดคิดไว้แน่ๆ
“ลู่เฉิน นายนี่มันเก็บความรู้สึกเก่งจริงๆ ฉันแทบจะมองไม่ออกว่านายกำลังรู้สึกอะไรอยู่ นายเพิ่งจะพูดไปเมื่อกี้เองว่าจะให้จื่อเหิงหางานให้ พวกผู้ชายอย่างนายนี่มันแย่จริงๆ คงต้องลงโทษตัวเองด้วยการดื่มสักแก้วแล้วล่ะ” หยูลี่มองไปยังลู่เฉินด้วยสีหน้างอแง เธอต้องเก็บความสงสัยเมื่อสักครู่ที่มีต่อลู่เฉินเอาไว้
“อย่าคิดมากเลย ฉันก็แค่รู้จักกับเจ้านายของเขาเท่านั้น เขาก็คงแค่เห็นแก่หน้าของเจ้านาย ถึงต้องทนทำดีกับฉัน
ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้เอง
เพื่อนๆทั้งสามคนต่างพากันถอนหายใจออกมา
ในสายตาของหยูลี่และเสี่ยวจื่อเหิงพวกเขาคงคิดว่าไม่มีอะไร
แต่หลี่เหวินกวงกลับไม่ได้คิดแบบนั้น เขาคิดว่ามันต้องมีอะไรที่ผิดปกติแน่ๆ
ในตอนนี้เซียวเจี้ยนก็เป็นถึงบุคคลที่มีหน้ามีตาแล้ว แต่ทำไมพออยู่ต่อหน้าลู่เฉินเขากลับแสดงท่าทางราวกับเป็นเด็กน้อยแบบนั้น
แม้ว่าลู่เฉินจะจะรู้จักกับเจ้านายของเขา แต่เซียวเจี้ยนคงไม่ถึงกับต้องมีท่าทีแบบนี้
ไม่ได้การล่ะ งานรวมรุ่นในวันพรุ่งนี้เขาจะต้องทำให้ลี่เฉินไปให้ได้ เขาจะต้องเค้นหาคำตอบในเรื่องนี้ให้ได้
“ลู่เฉิน งานรวมรุ่นจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ตอนหกโมงเย็นเป็นต้นไป จัดขึ้นที่ชั้น 15 ของโรงแรมเผิงหลัย นายต้องมาให้ตรงเวลาล่ะ” หลี่เวินกวงพูดพลางยิ้มร่าไปด้วย
“ได้สิ ไปแน่นอน ทั้งกินฟรีดื่มฟรีขนาดนี้ ฉันจะไม่พลาดแน่นอน” ทางด้านลู่เฉินก็ตบปากรับคำด้วยรอยยิ้ม
เขารู้ดีอยู่แล้วว่าหลี่เหวินกวงกำลังคิดจะทำอะไร ที่ตอบตกลงอีกฝ่ายไปก็แค่คิดจะเล่นตามเกมเท่านั้น
ประจวบเหมาะกับการทำธุรกิจกันครั้งสุดท้ายนั้น หลี่เหวินกวงไม่ได้ทำให้เขามีปัญหาน้อยลง
หลี่เหวินกวงยิ้มรับ เขาไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยเรื่องที่ลู่เฉินบอกจะมากินฟรีดื่มฟรีอะไรอยู่แล้ว
เมื่อหยูลี่และเสี่ยวจื่อเหิงได้รู้ว่าลู่เฉินรู้จักกับกับเจ้าของร้านหยก 36 ความรู้สึกสงสัยในเรื่องเมื่อสักครู่ก็เริ่มสลายคลายหายไป
หลังจากนี้พวกเขาจะทำให้ทั้งลู่เฉินและหลินอี้จุนชนแก้วกันให้ได้
แต่กลับกลายเป็นว่ามื้ออาหารมื้อนี้ที่เหลืออยู่กลับจืดชืด และสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่จะแยกจากกัน หลี่เหวินกวงก็ได้ทักท้วงทั้งลี่เฉินและหลินอี้จุนให้ไปร่วมงานเลี้ยงรวมรุ่นในคืนวันพรุ่งนี้อีกครั้ง
หลังจากที่ต่างคนต่างแยกย้ายกันขึ้นรถกลับ หลินอี้จุนนั่งนิ่งอยู่ในรถคันใหญ่และไม่ทีท่าว่าจะขับเคลื่อนมันออกไปในตอนนี้ เธอมองไปยังใบหน้าของลู่เฉิน
“คุณมีความสัมพันธ์แบบไหนกับเจ้าของร้านหยก 36 กันแน่? อย่าบอกนะคุณเคยช่วยคนพวกนี้อีกแล้ว? ” เพราะในครั้งก่อนลู่เฉินก็อธิบายความสัมพันธ์ของเขากับวังเหว่ยแบบนี้เหมือนกัน
“ที่รัก คุณเก่งจริงๆ คุณยังจำเรื่องการปล้นธนาคารเมื่อสามปีก่อนได้ไหม?” ลู่เฉินพูดพลางยิ้มกริ่ม
หลินอี้จุนพยักหน้าพลางถามต่อด้วยความประหลาดใจ “คุณเคยช่วยเหลือเจ้าของร้านหยก 36?”
“ใช่แล้ว ในตอนนั้นผมกำลังไปถอนเงินที่ธนาคาร และเจ้าของร้านหยก 36 ก็กำลังถอนเงินอยู่ที่ธนาคารนั้นพอดี มีคนถูกโจรพวกนั้นพาตัวออกไปและเกือบจะโดนฆ่าทิ้งเพื่อขู่เอาเงิน และคนที่เจอเรื่องแบบนั้นก็คือเจ้าของร้านหยก 36 คนนี้ ในช่วงเวลาฉุกละหุกแบบนั้นโชคดีที่ผมช่วยเขาไว้ได้ทัน” ลู่เฉินบอกเล่าเรื่องราวให้ผู้เป็นภรรยาฟังด้วยความจริงจัง
แน่นอนว่าเรื่องที่โจรปล้นธนาคารนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง และเขาก็เคยเล่าเรื่องนี้ให้หลินอี้จุนฟังแล้วครั้งนึง
แต่คนที่เขาช่วยในครั้งนั้นเป็นคนอื่น ไม่ใช่เจ้าของร้านหยก 36 อย่างที่เขากล่าวอ้าง
เพราะไม่อยากให้หลินอี้จุนคิดมาก ลู่เฉินจึงต้องพูดโกหกต่อไป
ในขณะที่ความจริงยังไม่ปรากฏ เมื่อคุณได้เริ่มโกหกไปแล้ว คุณก็จะต้องโกหกต่อไปเรื่อยๆนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อปกปิดเรื่องจริงเหล่านั้น
หลินอี้จุนพยักหน้าเข้าใจถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อน เพราะตัวเธอเองยังรู้สึกผวาและหวาดกลัวกับเหตุการณ์นั้นอยู่เช่นกัน จึงทำให้เธอไม่คิดติดใจสงสัยถึงความสัมพันธ์ของผู้เป็นสามีและเจ้าของร้านหยก 36 อีกแล้ว
“ดูเหมือนว่าความสามารถในการต่อสู้ก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์” หลินอี้จุนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ใช่สิ ตอนที่ผมยังเด็กพ่อก็พูดแบบนี้เหมือนกัน ผู้ชายจะมีแค่เงินก็คงจะไม่ได้ ต้องมีร่างกายที่แข็งแรงเพื่อที่จะสามารถปกป้องคนอื่นได้ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงยืนหยัดที่จะเรียนศิลปะการต่อสู้ทั้งที่มันยากมากๆมาเป็นเวลาถึงสิบกว่าปี” ลู่เฉินพูดขึ้น
ทางด้านหลินอี้จุนเพียงพยักหน้าเห็นด้วย แต่ไม่ปริปากพูดอะไรออกมา
ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ถึงบ้านของพ่อแม่เธอแล้ว เพิ่งจะจอดรถได้ไม่นานก็เห็นวังเสวี่ยที่เลิกงานแล้วกำลังเดินเข้ามา
เมื่อวังเสวี่ยมองเห็นลู่เฉินกับหลินอี้จุนก้าวลงจากรถคันหรูก็เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “อี้จุน เธอซื้อรถแล้วเหรอ”
หลินอี้จุนเหลือบมองลู่เฉิน ในขณะที่เธอกำลังจะตอบว่าลู่เฉินเป็นคนซื้อให้เธอ ลู่เฉินก็
ดันหัวเราะออกมาเล็กน้อยพลางชิงพูดตัดหน้าไปเสียก่อน “ใช่ครับ อี้จุนเพิ่งจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายขาย การมีรถสักคันคงจะเหมาะกับสถานะของเธอในตอนนี้มากๆ”
“จริงเหรอ ลูกสาวของฉันได้เป็นผู้อำนวยการแล้วเหรอ แล้วยังจะซื้อรถคันใหม่อีก แล้วนายล่ะเมื่อไหร่จะเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการแล้วซื้อรถคันใหม่บ้างสักที” วังเสวี่ยตวัดสายตาแปลกใจไปยังลู่เฉิน
“ใกล้แล้วครับใกล้แล้ว” ลู่เฉินหัวเราะออกมาเบาๆ ในวันเกิดของชายชราเขาเคยบอกว่าจะไม่มาที่นี่อีก แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว
เขาจะใช้จังหวะที่วังเสวี่ยและหลินอี้เจียไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ ปกปิดสถานะของตนเองไม่ให้พวกนั้นได้รับรู้
“เออใช่ ฉันจะถามนายอยู่พอดีว่าทำไมผู้จัดการเซียวของร้านหยก 36 ถึงดูแลนายดีขนาดนั้น มิหนำซ้ำยังจะย้ายนายไปที่ถุงอิมพีเรียลอีก?” เมื่อวังเสวี่ยคิดถึงเหตุการณ์ในวันนั้นที่ได้ไปรับประทานอาหารที่ร้านหยก 36 จึงได้เอ่ยถามขึ้น
หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้วังเสวี่ยเกิดความรู้สึกสงสัยในตัวลู่เฉินว่าผู้ชายคนนี้จะต้องมีเรื่องอะไรที่ปกปิดลูกสาวของเขากับครอบครัวของเขาเอาไว้แน่ๆ ดังนั้นวันนี้เมื่อได้อยู่ต่อหน้าลูกสาว เขาจึงเอ่ยปากถามลู่เฉินอย่างตรงไปตรงมา เพื่อที่จะจับสังเกตุว่าลู่เฉินคิดวางแผนรังแกหรือหลอกใช้ลูกสาวของตนเองหรือเปล่า