พ่อจอมผยอง / คุณพ่อสายเปย์ - บทที่ 62 แบบไหนถึงจะเรียกได้ว่าใจดำ
บทที่ 62 แบบไหนถึงจะเรียกได้ว่าใจดำ
คำพูดของเสี้ยจุนทำให้ผู้บริหารทุกคนต่างก็ตื่นเต้นมาก เพราะว่างานตอนนี้ก็ทำให้พวกเขาพอใจอยู่แล้ว ถ้าจะถูกลู่เฉินย้ายตัวไปที่เทคโนโลยีอี้ฉี ก็เท่ากับการไปถึงจุดสูงสุดของชีวิตสำหรับพวกเขา
หลังจากที่ข่าวนี้ไปถึงหูของพนักงานทุกคน ถึงแม้ว่าไม่ได้บอกตรงๆว่าพวกเขามีโอกาสได้ไปทำงานที่เทคโนโลยีอี้ฉีหรือไม่ แต่เทคโนโลยีอี้ฉี จะโยกย้ายผู้บริหารมากมายจากบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ตองเจีย ทำให้ที่นี่มีตำแหน่งงานว่างตั้งเยอะตั้งแยะ ซึ่งจะเป็นโอกาสของพวกเขาด้วย
ข่าวนี้ทำให้พนักงานของบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ตองเจียตื่นเต้นไปหมด ทั้งท่านผู้จัดการและพนักงานก็ดีใจแทบแย่ พวกเขารอคอยต้อนรับชีวิตใหม่ด้วยความสุข
“คุณหลินอี้จุนครับ คุณต้องไปเทคโนโลยีอี้ฉีแน่นอนอยู่แล้วใช่ไหมครับ” หลังจากเลิกประชุม ฟ่านหมิงก็ออกไปจากห้องประชุมกับหลินอี้จุนด้วยกัน
หลังจากวันที่ได้รับรู้ตัวตนที่แท้จริงของลู่เฉิน ฟ่านหมิงก็เข้าใกล้และพยายามตีสนิทกับหลินอี้จุนอยู่เสมอ
“ไม่หรอกค่ะ ยังไม่แน่ สุดท้ายต้องได้ผ่านการคัดเลือกของท่านประทานลู่เฉินถึงจะมีโอกาส ฉันว่านะคุณต่างหากล่ะคะที่มีโอกาสมากกว่าฉัน” สิ่งที่หลินอี้จุนพูดคือเรื่องจริง เพราะถ้าพูดถึงความสามารถในด้านจำหน่ายสินค้า เธอรู้ตัวดีว่าตัวเองสู้กับฟ่านหมิงไม่ได้
ที่เธอได้อยู่ตำแหน่งที่เหนือกว่าฟ่านหมิงนี้ ก็เพราะลู่เฉินแอบคอยช่วยเขาเท่านั้น ถ้าลู่เฉินไม่มีความสัมพันธ์เหล่านั้น อย่าว่าแต่ผู้อำนวยการฝ่ายขายเลย แม้แต่ผู้บริหารการฝ่ายขายเธอก็ไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสเป็นเมื่อไร
“คุณหลินอี้จุนอย่าถ่อมตัวเลย คุณได้ทำคุณประโยชน์เพื่อบริษัทเราอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทุกคนล้วนบอกว่านี้ไม่มีทางเป็นไปได้ แค่นี้ก็พอจะทราบแล้วว่าคุณหลินอี้จุนเป็นคนที่เก่งมีความสามารถ ท่านประธานลู่ต้องโยกย้ายคุณไปที่เทคโนโลยีอี้ฉีก่อนแน่นอน” ฟ่านหมิงยิ้ม จริงๆแล้วเขารู้สึกไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรเลย ช่วยไม่ได้สามีเธอเก่งขนาดนั้น
“ฉันแค่โชคดีเฉยๆ ฉันพูดจริงนะคะ เพราะมีคนคอยช่วยฉันถึงได้ทำสำเร็จ”หลินอี้จุนยิ้มบอก เธอไม่กลัวว่าจะถูกฟ่านหมิงดูถูก เพราะมีคนมาช่วยก็หมายความว่าเธอมีความสามารถเหมือนกัน
“คุณหลินอี้จุนอย่าถ่อมตัวเลย อันที่จริงแล้วงานจำหน่ายสินค้าอย่างพวกเรา รู้จักคนมากก็เท่ากับมีความสามารถเหมือนกัน” ฟ่านหมิงพูดอย่างจริงจัง
หลินอี้จุนฟังแล้วเห็นด้วยและพยักหน้า เพราะสิ่งที่เขาพูดมันคือความจริง
“คุณหลินอี้จุนคะ ได้ข่าวจากคนแผนกอื่นว่าเทคโนโลยีอี้ฉี เป็นบริษัทของผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทเราใช่ไหม?”
พอหลินอี้จุนกับฟ่านหมิงเข้ามายังฝ่ายชาย พนักงานจำหน่ายสินค้าอย่างหลิวหยานฉีก็รีบโอบล้อมมาถาม
การประชุมครั้งที่แล้ว ผู้จัดการของแผนกอื่นๆได้ส่งข่าวไปยังกลุ่มตนเองหมดแล้ว แม้ว่าหลินอี้จุนก็จัดตั้งกลุ่มWeChatขึ้นมา แต่เธอก็ไม่ค่อยส่งข่าวในนั้นเท่าไหร่
“ใช่ค่ะ มันเป็นเรื่องจริง และท่านประธานลู่ก็อยากจะทำการโยกย้ายคนที่มีความสามารถกลุ่มหนึ่งไปที่เทคโนโลยีอี้ฉีจากบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ตองเจียของเรา ขอเพียงแต่ทุกคนพยายามมากขึ้น ถึงแม้ว่าเราไม่ใช่ชั้นผู้บริหาร ก็มีโอกาสที่ดีเหมือนกันนะคะ” หลินอี้จุนพยักหน้าและบอกไป
“อีกอย่าง ถึงแม้ว่าพวกคุณไม่ได้ผ่านการคัดเลือกของท่านประธานลู่ เมื่อถึงตอนนั้นบริษัทเราก็คงมีตำแหน่งงานว่างมากมาย ฉันจะพยายามผลักดันตำแหน่งที่สูงขึ้นให้พวกคุณนะคะ แต่อย่างน้อยพวกคุณต้องมีผลงานที่ดีต่อบริษัทและทำให้บริษัทพอใจกับการกระทำของพวกคุณก่อน” หลินอี้จุนกล่าวเสริม
ทุกคนฟังแล้วตื่นเต้นดีใจไปหมด พวกเขาไม่เคยคิดจะผ่านการคัดเลือกของท่านประธาน แค่สนใจต่อตำแหน่งงานที่ว่างเหล่านั้นของบริษัท
“คุณหลินอี้จุนคะ มีลูกค้าคนหนึ่งถึงแม้ว่าเขาไม่ใช่ลูกค้าใหญ่ แต่เขากลั่นแกล้งฉันอยู่เสมอ ถ้าคุณมีเวลาว่างเมื่อไรดิฉันอยากเชิญคุณไปเจรจาแทนฉันได้ไหมคะ?” หลินอี้จุนเพิ่งกลับไปถึงโต๊ะทำงาน หลิวหยานฉีก็เดินมาหาโดยถือเอกสารฉบับหนึ่ง
อันที่จริง เธอตอบตกลงกับลูกค้าคนนั้นเรียบร้อยแล้ว นั่นเป็นลูกค้าใหญ่ที่ดีสำหรับเขา
แต่เธออยากจะยกลูกค้าคนนั้นให้หลินอี้จุนเพื่อที่จะได้เข้าใกล้และตีสนิทกับเธอ ถึงแม้ว่าจะสูญเสียยอดขายไป แต่ถ้าหลินอี้จุนสามารถให้ตำแหน่งผู้บริหารแก่เธอได้ ทุกอย่างก็คุ้มค่าแล้ว
“อ้อ ได้ค่ะ งั้นคุณนัดเวลาให้หน่อย ฉันจะได้ไปพบเขากับคุณ” หลินอี้จุนพยักหน้าและพูดออกไป เธอไม่ได้คิดอะไรมาก แค่อยากจะช่วยพนักงานของตนเท่าที่จะช่วยได้ในฐานะผู้บริหารใหม่
“งั้นไปพรุ่งนี้บ่ายดีไหมคะ?” หลิวหยานฉีถามด้วยความดีใจ ขอเพียงแต่หลินอี้จุนยอมช่วย งั้นก็แสดงว่าเธอมีโอกาสแล้ว
ได้ค่ะ คุณนัดไว้เมื่อไรก็บอกกับฉันได้เลย” หลินอี้จุนพยักหน้า
“ค่ะ! ขอบคุณคุณหลินอี้จุนมากนะคะ” หลังจากหลิวหยานฉีได้สมหวัง เธอก็กลับโต๊ะทำงานของตนโดยถือเอกสารไว้ด้วย
คนอื่นอาจไม่สงสัยกับเธอ แต่ฟ่านหมิงดูจุดประสงค์ของเธอออกตั้งแต่แรก เพราะเขารู้จักนิสัยของหลิวหยานฉีดี เขารู้แต่ไม่พูดออกมา ได้เพียงแค่ยิ้ม
แต่เขาไม่ได้กังวลใจเรื่องที่หลิวหยานฉีไปเข้าใกล้และทำดีต่อหลินอี้จุน
จริงๆแล้ว ตอนนี้เขาก็อยากเข้าใกล้และเอาใจของหลินอี้จุนเหมือนกัน หวังว่าหลินอี้จุนจะให้โอกาสเขาได้ไปเทคโนโลยีอี้ฉี
“ดูเหมือนว่า ผมก็ต้องไปหายอดขายสักยอดหนึ่งมาเป็นของขวัญให้บ้างแล้ว” การกระทำของหลิวหยานฉีก่อให้เกิดแรงบันดาลใจแก่เขา ไม่นานฟ่านหมิงก็นึกออกว่าจะใช้วิธีไหนเพื่อประจบหลินอี้จุน
ลู่เฉินรออยู่ครู่หนึ่ง เสี๋ยวจิงก็พาหูหงมาที่ห้องทำงานของเสี้ยจุน
เมื่อเห็นลู่เฉินนั่งอยู่บนเก้าอี้ของท่านประธาน หูหงตกใจมาก ไหนบอกว่าเขาเป็นแค่พนักงานรักษาความปลอดภัยไง?
นี่มันเป็นที่ของท่านประธานใหญ่ของบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ตองเจียนะ!
ถึงแม้ว่าเขาตกใจ แต่เมื่อเขาคิดถึงเรื่องลู่เฉินพูดแค่คำเดียวก็ทำให้ซูเปอร์มาเก็ตของเขาพังได้ เขาก็รู้สึกว่าทุกอย่างไม่ได้ผิดปกติอะไรแล้ว
ถ้าลู่เฉินเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยที่นี่ มันน่าสงสัยมากกว่า
“พี่เฉินครับ เขาบอกว่าคุณเป็นคนเรียกเขามา ผมก็เลยพาเขาขึ้นมา” เสี๋ยวจิงบอก
“ครับ ผมเป็นคนเรียกมาเอง คุณออกไปก่อนนะ” ลู่เฉินพยักหน้า และจ้องมองตาหูหง
“คุณ……คุณลู่เฉินครับ” หูหงสู้หน้าลู่เฉินตัวต่อตัวด้วยท่าทางหวาดกลัว
ขนาด Three Heroes of the Water Margin ลู่เฉินยังถือเป็นนกกระจอกเลย เขาไม่รู้จะพูดอะไรดีเมื่ออยู่ต่อหน้าลู่เฉิน
“ช่วงนี้ซูเปอร์มาเก็ตของคุณเป็นไงบ้าง?” ลู่เฉินจ้องมองหูหงกึ่งยิ้ม
เมื่อได้ฟังลู่เฉินถามแบบนี้ เขาโกรธมาก แต่ไม่กล้าแสดงออก
“คุณลู่เฉินครับ ผมขอล่ะ ปล่อยผมเถอะ ผมขอร้อง!” หูหงขอร้องลู่เฉิน
“พูดตามตรงนะ สำหรับบุคคลเล็กๆอย่างคุณ ผมไม่เคยเห็นคุณเป็นคู่แข่ง ถ้าคุณไม่ได้ทุบรถผมตั้งแต่แรก ผมคงจะลืมคุณไปแล้ว” ลู่เฉินมองไปทางหูหงอย่างประชด
“คุณลู่เฉินครับ ผมขอโทษจริงๆ ก่อนหน้านี้ผมตาบอดเอง หวังว่าคุณอย่ามาถือสากับคนอย่างผมเลย” หูหงตอบด้วยสีหน้าขาวซีด
หลายวันที่ผ่านมานี้เขาก็รู้สึกผิดเหมือนกัน ถ้าเขารู้ว่าลู่เฉินเป็นคนที่มีอำนาจแบบนี้ ต่อให้เขาใจกล้ายังไง เขาก็ไม่กล้าทำให้ลู่เฉินไม่พอใจหรอก
น่าเสียดายที่เขาจะรู้สึกผิดแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้เขาแค่อยากจะขอให้ลู่เฉินปล่อยเขาไป อย่ายุ่งกับซูเปอร์มาเก็ตของเขาอีก ไม่งั้นชื่อเสียงของตระกูลหูก็คงพังแน่ๆ
“อยากให้ผมปล่อย? ไม่มีทาง แต่ผมมีทางออกให้คุณเลือกได้ ก็คือโอนซูเปอร์มาเก็ตของคุณให้ผม ถ้าไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่อยู่ในเมืองหยูโจวเลย ผมจะทำให้พวกคุณจะไม่มีโอกาสได้เปิดซูเปอร์มาเก็ตใหม่อีกในทั้ง 3 มณทลซีหนาน” ลู่เฉินบอกด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หูหงตกใจมาก ถ้าโอนซูเปอร์มาเก็ตให้ลู่เฉิน เขาจะฉวยโอกาสแบล็กเมล์เงินจำนวนมากมายแน่นอน
“คุณลู่เฉินครับ ซูเปอร์มาเก็ตของผมมูลค่าตลาด50ล้าน แต่แบรนด์ของตระกูลผมต้องมูลค่ากว่า1ร้อยล้าน ถ้าคุณอยากซื้อ เรื่องราคาเราค่อยพูดค่อยจากันได้” หูหงบอกแบบนี้เพราะคิดจะลองทดสอบหยั่งเชิง เมื่อลู่เฉินอ้าปากพูด เขาก็รู้แล้วว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากโอนซูเปอร์มาเก็ตให้ลู่เฉิน
“แบรนด์ตระกูลหูของคุณไม่มีอะไรพิเศษสำหรับผม ผมจ่ายได้แค่ 10 ล้าน กลับไปบอกกับพ่อคุณซะ ถ้าเขายอม ผมจะส่งคนไปเจรจากับเขา ถ้าไม่ยอมคุณก็ไม่ต้องมาหาผมอีก!” ลู่เฉินยิ้มอย่างเย็นชา
10 ล้านหรือ?!
หูหงโกรธมาก สีหน้าของเขาซีดลงในทันที