พ่อจอมผยอง / คุณพ่อสายเปย์ - บทที่ 72 ภาพโบราณ
บทที่ 72 ภาพโบราณ
ผู้ที่อยู่ข้างๆจ่าวเทียนหยู่ก็คือหลี่เหวินกวง
หลังจากหลี่เหวินกวงรู้ตัวว่าตนนั้นไปทำให้ใครบางคนขัดใจเข้าแล้ว จึงตัดสินใจให้จ่าวเทียนหยู่ช่วยหาของสะสมให้สักชิ้นเพื่อนำไปขอโทษ
เมื่อหลี่เหวินกวงเห็นลู่เฉินก็ประหลาดใจมาก ลู่เฉินรู้จักกับจั่วซือเฉิง และตอนนี้เข้าก็รู้จักกับศาสตราจารย์ทั้งสามด้วย เจ้ากระจอกนี่เป็นใครกันแน่นะ?
จ่าวเทียนหยู่มองดูลู่เฉิน แม้เขาจะตกใจแต่ก็ไม่ได้มีเวลามาสนใจลู่เฉิน
เขาเพิ่งเสียเงินไปห้าแสนเพื่อได้รูปภาพนี้มา แต่กลับมีคนบอกเขาว่ารูปนี้เป็นของปลอม เมื่อเห็นหยูเจิ้งเทาเดินผ่านมาจึงเข้าไปขอความช่วยเหลือจากหยูเจิ้งเทาให้ช่วยชี้แนะ
เขามองไปที่ลู่เฉินแวบหนึ่ง จากนั้นยื่นรูปภาพให้หยูเจิ้งเทา
หยูเจิ้งเทาเป็นถึงผู้ชำนาญการอันดับต้นๆด้านวัตถุโบราณของหยูโจว ผู้ที่สนใจด้านของสะสมล้วนต้องรู้จักเขาแน่นอน จ่าวเทียนหยู่ก็เช่นเดียวกัน
“ได้ เดี๋ยวผมช่วยดูให้นะ” เมื่อพบว่าเป็นคนรู้จัก หยูเจิ้งเทาจึงยื่นมือไปรับภาพมาดู
ลู่เฉินก็สนใจเช่นกัน เขายื่นหน้าเข้าไปมองดู
นี่คือรูปภาพของหวงจิ่น ดูจากภายนอกแล้วสวยงามมาก เป็นภาพวาดภูเขาและแม่น้ำ บทกวีที่เขียนไว้ด้านข้างก็งดงามเข้ากัน
หยูเจิ้งเทากำลังพิจารณา เล่ยหมิงและหวงยาวจุนก็พากันเพ่งมอง
“ผ้าผืนนี้น่าจะอยู่ในสมัยราชวงศ์ชิง แต่ฝีมือการวาดธรรมดามากเมื่อมองดูแล้วไม่นับว่างดงามเท่าไรนัก หากนำไปขายอาจได้ราคาสักสองแสนกว่า เพราะเป็นผ้าจากสมัยชิงยงเจิ้ง” หยูเจิ้งเทาเอ่ยออกมา
เขาหันหลังกลับไปถามเล่ยหมิงเฉาและหวงยางจุนว่า “พวกคุณคิดว่าเป็นยังไง”
ราคาเพียงสองแสน? ให้ตายเถอะ บ้าเอ๊ย!
จ่าวเทียนหยู่รู้สึกปวดใจนัก เขาขาดทุนไปถึงสามแสนเชียว
แต่เมื่อศาสตราจารย์ทั้งสองพิจารณาดูอีกครั้ง เขาก็มีความหวังขึ้นมาใหม่
หากเมื่อครู่หยูเจิ้งเทาแค่มองพลาดไปล่ะ
“อืม ศาสตราจารย์หยูพูดไม่ผิดเลย ภาพนี้ราคาสูงสุกสองแสนเท่านั้น อีกทั้งต้องเป็นคนที่ชอบสะสมจริงๆจึงจะยอมซื้อ” หวงยาวจุนพูดขึ้น
“นั่นสิ ภาพนี้ราคาอยู่ที่เนื้อผ้า แต่ดูแล้วเหมือนกับถูกจัดการมาแล้วครั้งหนึ่ง คาดว่าน่าจะรักษาได้ไม่เกินสิบปี” เล่ยหมิงเฉาพยักหน้า
“เหอะๆ ขอบพระคุณท่านทั้งสามมากครับ” จ่าวเทียนหยู่ผิดหวังมาก หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้เขาคงให้คนอื่นไปแล้ว
“เทียนหยู ในเมื่อไม่ได้ราคา ผมแนะนำให้ขายทิ้งไปเสีย”หลี่เหวินกวงพูดขึ้น อย่างไรก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
“ดีเหมือนกัน ขายทิ้งราคาถูกไปซะ” จ่าวเทียนหยู่ยกภาพขึ้น
“ภาพนี้ได้รับการตรวจจากศาสตราจารย์หยู เล่ย หวงทั้งสามท่านแล้ว มีมูลค่าสองแสน ผมจะขายราคาแสนเก้า มีใครอยากได้ไหม” จ่าวเทียนหยู่เอ่ยขึ้น
บรรดาผู้คนหันไปมองภาพนั้น ก่อนหน้านี้ถูกเปิดประมูลที่สองแสนเจ็ด แต่สุดท้ายถูกจ่าวเทียนหยู่ประมูลไปในราคาห้าแสน
เมื่อพบว่าภาพนี้ไม่ใช่ของจริง พวกเขาจึงไม่สนใจและไม่กล้าซื้อ
“ผมขอดูหน่อย” เมื่อไม่เห็นผู้ใดปรารถนาจะซื้อ ลู่เฉินจึงเอ่ยขึ้น
“คุณมองออกเหรอ? หรือว่าไม่เชื่อสายตาของอาจารย์ทั้งสาม” จ่าวเทียนหยู่หัวเราะ
เมื่อคืนก่อนพวกเขาเพิ่งถูกลู่เฉินตบหน้าให้อย่างจัง วันนี้จึงรู้สึกไม่สบายใจนัก
“ผมอยากจะซื้อต่อ ขอดูก่อนไม่ได้งั้นเหรอ?” ลู่เฉินถามอย่างเรียบๆ
“โห แกหมายความว่าไม่เชื่อสายตาของอาจารย์ทั้งสามสินะ?” จ่าวเทียนหยู่จากเดิมก็ไม่สบอารมณ์แล้ว แม้จะรู้มาว่าลู่เฉินไม่ธรรมดา แต่ตอนนี้เขาไม่ต้องการไว้หน้าลู่เฉินจริง”
“นั่นสิลู่เฉิน อาจารย์ทั้งสามท่านเป็นผู้มีความรู้มีชื่อเสียง แกเป็นใครกันถึงไม่เห็นอาจารย์ทั้งสามในสายตา” จ่าวเทียนหยู่มาช่วยเขาหาของสะสม แต่กลับขาดทุนไปสามแสนเสียอย่างนั้น หลี่เหวินกวงไม่สบอารมณ์อย่างมาก
หลี่เหวินกวงเสริมท้ายให้คำพูดของจ่าวเทียนหยู่ ทำให้ดูไม่น่าฟังขึ้นมาทันที
นี่เขาตั้งใจสร้างศัตรูกับศาสตราจารย์ทั้งสามงั้นเหรอ
เป็นจริงดังคาด หยูเจิ้งเทายิ้มแสยะแล้วมองดูลู่เฉินอย่างไม่เป็นมิตร
ศาสตราจารย์อีกสองท่านก็ไม่ค่อยชอบลู่เฉินเท่าไรนัก
พวกเขารู้สึกว่าลู่เฉินลืมตน ก็แค่บังเอิญได้ถ้วยเรืองแสงมาไม่ใช่หรือไงกัน คิดว่าตนเองยิ่งใหญ่มาจากไหน?
“ลู่เฉิน ไม่มีอะไรน่าดูหรอก อาจารย์ทั้งสามก็บอกแล้วว่ามีราคาเพียงสองแสน พ่อไม่ซื้อหรอก” หลินดาไห่ห้ามปราม
“พ่อครับ ผมดูเฉยๆ บางทีทั้งสามท่านอาจจะมองผิดไปก็ได้” ลู่เฉินยิ้มอย่างเยือกเย็น
“เหอะๆ วัยรุ่นสมัยนี้ทำไมไม่รู้จักกาลเทศะเสียเลย?” หยูเจิ้งเทาพูดขึ้น
“ดาไห่ ลูกเขยคุณคนนี้นี่ชักเอาใหญ่แล้วนะ” เล่ยหมิงเฉาก็เอ่ยอย่างไม่พอใจ
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าลู่เฉินเป็นชายหนุ่มที่มีความสามารถ แต่ตอนนี้กลับมีความน่าเบื่อหน่ายเพิ่มขึ้นมา
หลินดาไห่รู้สึกทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี เขาเองก็คิดว่าลู่เฉินทำเช่นนี้ไม่ถูกต้องนัก นี่เป็นการที่ไม่เชื่อในความสามารถของอาจารย์ทั้งสามคน พวกเขาจะโกรธแค้นก็ไม่ใช่เรื่องผิด
ศาสตราจารย์สามตนนี้เป็นถึงผู้รอบรู้ในด้านของสะสมที่มีชื่อเสียงสูงสุดในเมืองหยูโจว และได้รับเชิญมาเป็นผู้ประเมิณและตัดสินคุณค่าของสะสม การกระทำเช่นนี้เป็นการตบหน้าพวกเขาเข้าอย่างจัง
“เจ้านั่นเป็นใครกัน ไม่เห็นแม้แต่อาจารย์ทั้งสามในสายตา บ้าไปแล้วหรือไง”
“ถ้าไม่บ้าก็น่าจะโง่ละ”
ผู้คนรอบข้างพากันวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนานา ทำให้หลินดาไห่และหยูอี้เจียไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
“เกิดอะไรขึ้น?”
ในขณะนั้นจั่วชิงเฉิงและ ตี๋ฟู่เดินเข้ามา เนื่องจากศาสตราจารย์ทั้งสามนี้พวกเขาเป็นคนเชิญมาด้วยตนเอง แน่นอนว่าพวกเขาต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก
เมื่อได้ยินผู้คนในเหตุการณ์อธิบายรายละเอียดให้ฟังแล้ว จั่วชิงเฉิงก็มองไปยังลู่เฉินพร้อมขมวดคิ้ว
เขากำลังจะพูดบางอย่างออกมาก็ได้ยินตี๋ฟู่เอ่ยขึ้นก่อนว่า “พี่ลู่ ทำแบบนี้ก็ไม่ถูกนะครับ อาจารย์ทั้งสามท่านมีชื่อเสียงด้านของสะสมมากในเมือง พวกเขาพบเจอสิ่งต่างๆมามากมาย แม้ว่าคุณจะอยากได้งานประเมินราคาของสะสมเหล่านี้ แต่ก็ไม่ควรทำตัวโดดเด่นมากนัก”
“อะไรนะ?เขาต้องการงาน?” จั่วชิงเฉิงเลิกคิ้วขึ้น เขาจำได้ว่าลู่เฉินเป็นคนในบริษัทเทคโนโลยีอี้ฉี แม้จะไม่ได้เป็นเจ้าของแต่ก็น่าจะเป็นผู้บริหารระดับสูง
“ใช่ครับ คุณลุงหลินบอกเมื่อสักครู่ว่าจะหางานตำแหน่งดีๆให้พี่ลู่สักหน่อย บอกว่าพี่ลู่มีความรู้ด้านของสะสมไม่เลวทีเดียว”
จั่วชิงเฉิงอ้าปากค้าง สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความตกตะลึง
บัดนี้เขาสับสนไปหมดแล้ว ลู่เฉินเกี่ยวข้องอะไรกับเทคโนโลยีอี้ฉี กันแน่?
หลี่เหวินกวงและจ่าวเทียนหยู่ก็มองไปที่ลู่เฉินอย่างไม่เป็นมิตร
“ก็ได้ ในฐานะเพื่อนที่เรียนด้วยกันมา ผมจะให้คุณดูแล้วกันนะ เป็นโอกาสดีที่จะให้ทุกคนได้รู้ว่าคุณมีความสามารถมากเพียงใด” จ่าวเทียนหยู่หัวเราะแล้วยื่นภาพนั้นมาให้ลู่เฉิน
พวกเขาทั้งหลายหัวเราะขึ้นมาแล้วใช้สายตามองลู่เฉินอย่างตลก
หลินดาไห่ถอนหายใจ เขาเริ่มผิดหวังที่พาลู่เฉินมาด้วยแล้ว
เขารู้ดีว่าต่อจากนี้อาจารย์ทั้งสามคนคงไม่เป็นมิตรกับเขาเหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไป
“พี่คะ ยังจะดูอะไรอีกคืนให้เขาไปได้แล้ว พี่ไม่ได้หน้าแตกคนเดียวนะ” หลินอี้เจียพูดอย่างร้อนใจ
ลู่เฉินไม่ได้สนใจคนรอบข้าง เขายื่นมือมารับภาพไปและพิจารณาดู