พ่อจอมผยอง / คุณพ่อสายเปย์ - บทที่128 แบล็คเมล์ตระกูลจั่ว
บทที่128 แบล็คเมล์ตระกูลจั่ว
“น้องลู่ ผมให้สัญญา หากลูกไม่เอาไหนคนนี้ยังกล้าไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตของคุณและสร้างปัญหาอีกหลังจากนี้ ผมจะหักขาเขาเอง”เมื่อจั่วเจียเหลียงได้ฟังคำพูดของลู่เฉิน ก็เข้าใจความหมายที่ลู่เฉินจะสื่อแล้ว
“เจ้านายจั่ว คุณพูดเองนะ ถ้าถึงตอนนั้นแล้วคุณไม่หักขาเขา ผมคงต้องหักขาเขาเอง หากถึงตอนนั้น ก็อย่ามาโทษว่าผมไม่ไว้หน้าคุณแล้วกัน” ลู่เฉินมองจั่วเจียเหลียงแล้วพูด
ในใจจั่วเจียเหลียง ค่อนข้างขุ่นมัว นี่เป็นการตอบอย่างสุภาพของเขา ไม่คิดว่าลู่เฉินจะไม่เห็นค่าซ้ำยังกลับแสดงกิริยาเย้อหยิ่งใส่เขา
แต่ตอนนี้เขายังไม่รู้เบื้องลึกของลู่เฉิน จึงยังต้องยอมลู่เฉิน เขาจึงทำได้แค่พูดอย่างยิ้มๆ “น้องลู่พูดถูก ถ้าหากไอ้ลูกไม่เอาไหนคนนี้ยังไม่รู้ผิดชอบชั่วดี คุณก็ช่วยสั่งสอนเขาแทนผมด้วย
“ได้ งั้นต่อไปนี้ซุปเปอร์มาร์เก็ตของผมจะต้องไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้น ผมจะไม่พูดมากแต่จะมาหน้าเจ้านายจั่วเลย” ลู่เฉินพูด
“คนอื่นไปสร้างปัญหาที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตคุณแล้วเกี่ยวอะไรกับผม”จั่วชิงเฉิง สีหน้าเปลี่ยนไป เขาสามารถอดทนกับเรื่องที่จะไม่ไปสร้างปัญหาที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตของลู่เฉินได้ แต่เขารู้ว่าจางดาวเรนต้องไปสร้างความวุ่นวายที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตของลู่เฉินแน่
“ผมรู้แค่ว่าคุณบอกเขาเกี่ยวกับซุปเปอร์มาร์เก็ตของผม”ลู่เฉินพูด
แม้เขาไม่ได้กลัวว่าจางดาวเรนจะไปสร้างความวุ่นวาย แต่ถ้ามีเรื่องน้อยลงหนึ่งเรื่องก็ดีกว่ามีเรื่องเพิ่มมาอีกหนึ่งเรื่อง
และเขาก็ไม่ได้มีเวลามากมายมาเล่นกับลูกผู้ลากมากดีพวกนี้
อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอยู่ระหว่างการก่อสร้างอย่างเต็มที่ ความสามารถจากทุกฝ่ายแทบจะเข้าที่เข้าทางแล้ว ดังนั้นเขาจึงทุ่มเทเวลาให้กับอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากขึ้นเรื่อย ๆ
“คือใคร”จั่วเจียเหลียงหันไปถามจั่วชิงเฉิง
“จางดาวเรน พวกเขายังขัดแย้งกันอยู่”จั่วชิงเฉิงตอบ
จั่วเจียเหลียงรู้สึกหมดคำพูด ลู่เฉินคนนี้ก็ฉลาดเกินไปแล้วรึเปล่าที่จะจัดการกับคนและทำงานให้ลุลวง
แม้เขาจะรู้จักกับเซ่ซูเจี๋ย แต่คนที่กล้ารุกรานทายาทสองตระกูลใหญ่ ทั่วทั้งหยูโจวนี้ เกรงว่าน่าจะมีแค่เขาคนนี้
“น้องลู่วางใจเถอะ ผมกับจางซิงฉวนยังคงมีมิตรภาพกันอยู่บ้าง ผมจะคุยกับเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมคิดว่าเขาก็คงไม่ยอมให้จางดาวเรนมาสร้างความวุ่นวาย” จั่วเจียเหลียงพูด
“งั้นคงต้องรบกวนเจ้านายจั่วแล้ว อ่อใช่ ผมสามารถคืนไข่มุกราตรี ให้คุณได้ แต่คุณต้องซื้อมันในราคาหนึ่งร้อยล้าน นี่เป็นการสั่งสอนจั่วชิงเฉิง และที่ผมต้องจ่ายค่าตอบแทนให้ผู้ช่วยผมด้วย”
แม้ว่าลู่เฉินจะไม่ต้องให้เงินหลิวจื่อซิ่วเยอะ หรือไม่ให้หลิวจื่อซิ่วแม้แต่บาทเดียว หลิวจื่อซิ่วก็ยังคงช่วยเขา
แต่เขาไม่ใช่คนที่จะใจจืดใจดำกับคนของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงจะให้เงินส่วนหนึ่งกับหลิวจื่อซิ่ว
จั่วชิงเฉิง รู้สึกขุ่นมัวในใจ ลู่เฉินขโมยสิ่งของของตระกูลเขาไปแล้ว ยังจะเอามาขายเขาอีก นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
แต่เขารู้ว่าวันนี้พวกเขาไม่กล้าที่จะขัดใจลู่เฉินจริงๆ เขาจึงทำได้แค่กลืนความขมขื่นลงไปในท้องเท่านั้น
“ได้ คุณเอาเลขบัญชีมาให้ผม ผมจะได้เตรียมเงินเพื่อโอนให้คุณ” แม้ร้อยล้านไม่ใช่จำนวนเงินน้อยๆ แต่สำหรับตระกูลจั่ว ที่ตอนนี้อยู่ในสถานะที่สามารถยอมรับได้ทุกอย่าง
ที่สำคัญก็คือ ไข่มุกราตรี สองชิ้นนั้น มูลค่าในคืนนี้ จะสูงขึ้นภายในหนึ่งคืน
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ลู่เฉินกล้าที่จะแบล็คเมล์ตระกูลจั่ว
เพราะเขารู้ว่าไข่มุกราตรีมีความสำคัญต่อตระกูลจั่วมาก
แม้ว่าไข่มุกราตรีทั้งสองชิ้นจะมีมูลค่าสูงในตัวมันเอง แต่สำหรับเขา ก็เป็นเพียงสิ่งของฟุ้งเฟือยคู่หนึ่งเท่านั้น
ไม่ได้มีความหมายอะไร
เพราะว่าเขาไม่ได้คลั่งไคล้ของโบราณมากขนาดนั้น
และก่อนหน้านี้ก็ได้เรียนรู้จากหยุนลาวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่าจะมีความสนใจเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น
ลู่เฉินเขียนเลขบัญชีให้จั่วเจียเหลียง จั่วเจียเหลียงจึงโทรหาผู้อำนวยการฝ่ายการเงินโดยตรงเพื่อเตรียมการโอนเงิน
ลู่เฉินก็โทรให้คนนำไข่มุกราตรีมาส่งให้
หลังจากเขาบรรลุเป้าหมายของวันนี้แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลต้องอยู่ต่ออีก จึงกล่าวลากับจั่วเจียเหลียง และกลับออกไป
จั่วเจียเหลียงมองตามแผ่นหลังของลู่เฉิน ถึงตอนนี้ เขาจึงได้รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้เก่งกาจจริงๆ
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบ ทุกอย่างมันอยู่ในกำมือของเขาแล้ว แม้แต่เขาเจ้านายที่มีประสบการณ์ที่โหดร้าย ก็ยังอยู่ข้างลู่เฉินอย่างสมบูรณ์แบบ
จั่วเจียเหลียงมองจั่วชิงเฉิงที่มีสีหน้ามัวหมองและไม่เต็มใจ ส่ายหน้าด้วยความรู้สึกหมดคำพูดที่อยู่ในใจ
ถ้าลูกชายตัวเองมีความสามารถได้สักครึ่งของลู่เฉิน เขารู้สึกว่าอนาคตของตระกูลจั่วของตัวเองที่ต้องอยู่ในมือเขา ก็ต้องดีขึ้นเรื่อยๆ
น่าเสียดาย วันนี้หลังจากที่เห็นความเก่งกาจของลู่เฉินแล้ว เขาถึงได้รู้ว่าเมื่อเทียบกับลูกชายตัวเองแล้ว ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย
ลู่เฉินเดินไปอย่างเรียบง่าย เมื่อเขามาถึงห้องโถง ก็ทักทายกับเซ่เว่ยเหา เฉินกวงซิง และคนอื่นๆ หลังจากนั้นก็ออกไปจากบ้านตระกูลจั่ว
นี่ทำให้ในใจทุกคนค่อนข้างรู้สึกแปลกใจ ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องอะไรระหว่างพวกเขากันแน่
แต่แม้ว่าทุกคนจะมีความคลางแคลงใจ แต่ก็ไม่ได้ถามออกไป
หลังจากออกจากบ้านตระกูลจั่ว ลู่เฉินก็ขึ้นไปบนรถของเขา ซึ่งจอมโจรหลิวจื่อซิ่วก็อยู่บนรถของเขา
หลังจากที่หลิวจื่อซิ่วได้ขโมยไข่มุกราตรีมาก่อนหน้านี้ เขาก็ไม่ได้ไปไหนไกล แต่อยู่ในรถเพื่อรอสัญญาณจากลู่เฉิน
“ทำได้ไม่เลว ขอบคุณที่วันนี้นายทำได้สำเร็จ ทำให้ฉันจัดการเรื่องใหญ่ไปได้เรื่องหนึ่ง” ลู่เฉินพูดขณะที่นั่งอยู่ในรถฝั่งผู้โดยสาร
เพราะว่าหลิวจื่อซิ่วนั่งอยู่ฝั่งคนขับ ดังนั้นเขาจึงจะให้เขาขับรถออกไป
“ผมอยากจะขอบคุณคุณมาก ที่ให้โอกาสครั้งสำคัญนี้กับผม แล้วยังทำให้ลูกสาวผมได้เติบโตในสภาพแวดล้อมที่มั่นคง” หลิวจือซิ่วพูดอย่างจริงใจ
เขารู้ว่าคดีก่อเหตุลักทรัพย์ที่เขาทำมาในชีวิตนี้ เขารู้อยู่แล้วว่าไม่ช้าก็เร็วเขาคงต้องถูกจับ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจกับชีวิตตัวเองมาก
สิ่งที่เขาสนใจมีแค่การเติบโตของลูกสาวเขาและชีวิตหลังจากนี้
“วางใจเถอะ เรื่องที่ฉันรับปากนายฉันจะทำอย่างแน่นอน สองวันมานี้ฉันได้ให้คนพาลูกสาวของนายไปส่งที่โรงเรียนประถมที่ดีที่สุดแล้ว และอีกสองปีฉันก็เตรียมที่จะสร้างโรงเรียนเองสักแห่ง พร้อมทีมครูที่ดีที่สุดในประเทศมาสอน” ลู่เฉินพูด
ต่อไปพนักงานหลายพันคนของอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พวกเขาส่วนใหญ่ก็จะต้องมีบ้านมีครอบครัว พอถึงตอนนั้นที่พวกเขาเข้าไปอยู่ในเขตอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแล้ว คงจะต้องห่างจากโรงเรียนใหญ่ๆในเขตตัวเมืองไปไกลแน่ และนี้คงเป็นปัญหาในการเรียนของเหล่าลูกๆของพนักงาน
ดังนั้นลู่เฉินจึงคิดจะสร้างโรงเรียนให้ลูกๆของพนักงานสักหนึ่งแห่งทั้ง ประถม มัธยมต้น มัธยมปลายเป็นโรงเรียนที่ครบวงจร พอถึงตอนนั้นเขาก็จะได้พาฉีฉีเข้าไปเรียนด้วย
ในอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นอกจากจะสร้างโรงเรียนแล้ว ยังมีกลุ่มธุรกิจหลักๆ กลุ่มสถานบันเทิง เป็นต้น
จะพูดว่าเป็นอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก็ไม่สู้พูดว่าเป็นปราสาทเล็กๆที่ปิดกั้นจากโลกภายนอก
“คุณยังเตรียมจะสร้างโรงเรียนด้วยเหรอ” หลิวจื่อซิ่ว ถามอย่างประหลาดใจ เขาไม่ค่อยเข้าใจลู่เฉินเลย ดังนั้นเขาจึงคิดว่าความคิดนี้ของลู่เฉินค่อนข้างเกินจริง
“ใช่ จะบอกว่าเตรียมการไม่ได้ เพราะได้วางแผนไว้ในแผนงานแล้ว ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าก็น่าจะได้เริ่มก่อสร้างแล้วล่ะมั้ง” ลู่เฉินพยักหน้า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสร้างสถาบันวิจัยและที่อยู่อาศัยของพนักงาน เรื่องโรงเรียนเป็นโครงการรองลงมาที่จะทำ
หลิวจื่อซิ่วพยักหน้า ไม่ได้ถามอะไรอีก เพียงแต่ในใจกลับรู้สึกประหลาดใจอย่างอธิบายไม่ถูก
แต่เขารู้ว่าเรื่องบางเรื่องไม่ควรถาม ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ถามให้มากความ
“เอาบัตรเอทีเอ็มนายมาให้ฉัน ฉันจะโอนให้นายหนึ่งล้าน เป็นค่าตอบแทนในการทำงานของนาย เพื่อสิ่งที่ดีในภายหลัง เพราะฉันจะไม่เอาเปรียบนาย” ลู่เฉินพูด
หลิวจื่อซิ่วพยักหน้า และไม่อวดรู้ พร้อมกับยื่นเลขบัตรให้กับลู่เฉินไป
แม้ว่าลู่เฉินไม่ได้ต้องการให้เขาทำอะไร แต่เขารู้ว่าชีวิตนี้ของตัวเองยกให้ลู่เฉินแล้ว ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่เขาทำได้ ก็คือเก็บเงินไว้ให้ลูกสาวตัวเองให้มากๆ เพราะหากวันไหนเกิดอะไรขึ้นกับเขา เขาจะได้ไม่ต้องกลัวว่าลู่เฉินจะใจจืดใจดำกับลูกสาวของเขาแล้ว