พ่อจอมผยอง / คุณพ่อสายเปย์ - บทที่132 ความจริงปรากฏ
บทที่132 ความจริงปรากฏ
เรื่องราวที่เกิดขึ้นแต่ละเรื่องนี้ ทำให้เธอรู้สึกสับสนและประหลาดใจมาก เธอจึงได้เกิดความสงสัยขึ้นมา
จากตอนแรกที่ผู้ถือหุ้นรายใหม่ไม่ยอมเปิดเผยตัวตนและทำตัวตัวลึกลับ ต่อมาเธอก็ได้เลื่อนขั้นแบบรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ นี่มันผิดปกติมากๆ
ถ้าเธอเป็นคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง เธอก็ยังคงพอเข้าใจได้
แต่นี่มันไม่ใช่! ความสามารถเธอแสนจะธรรมดา หากเป็นแค่หัวหน้าแผนกเธอยังพอมีความมั่นใจบ้าง เป็นผู้จัดการก็กล้ำกลืนฝืนทนเต็มที
ส่วนเรื่องตำแหน่งรองประธาน
เธอไม่เคยแม้แต่จะคิดมาก่อนว่าเธอจะสามารถรับผิดชอบตำแหน่งที่สำคัญเช่นนนี้ได้
แต่ทางผู้บริหารก็เลื่อนตำแหน่งให้เธอเป็นรองประธานแบบไม่มีเหตุมีผล !
เมื่อย้อนนึกไปถึงความน่าสงสัยในตัวลู่เฉินที่มักทำอะไรเกินกว่าเธอจินตนาการได้ ถ้าเธอยังเชื่อว่าเขาเพียงโชคดีถูกลอตเตอรี่ละก็ เธอคงจะไม่ใช่แค่โง่อย่างเดียว
“ท่านรองฯหลินครับ เรื่องนี้ขออย่าทำให้ผมลำบากใจไปกว่านี้เลย แต่สักวันคุณจะรู้ถึงเหตุผลแน่นอน” เสี้ยจุนหัวเราะออกมาอย่างอึดอัดใจ ลู่เฉินเคยกำชับเขาไว้ จะให้เขาบอกความจริงกับหลินอี้จุนไปได้ยังไง
“ผู้บริหารเสี้ยคะ คุณจะไม่พูดก็ไม่เป็นไร แต่ยังไงฉันก็เดาออกว่าเป็นเขา ลู่ถู่? เทคโนโลยีอี้ฉี? ชื่อชัดเจนขนาดนี้ คงมีฉันคนเดียวสินะที่โง่ดักดานไม่เข้าใจเสียที อ้อ เขาจะย้ายคุณออกไปแล้วให้ฉันนั่งตำแหน่งแทนคุณด้วยหรือเปล่า?” หลินอี้จุนหัวเราะออกมา
ถึงยังไงเธอก็เป็นคนมีศักดิ์ศรี เธอต้องการใช้ความสามารถของตัวเองในการพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น แต่การที่เธอถูกคนอื่นบงการโดยไม่รู้ตัวแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกแย่มากๆ
“เอ่อ คือ ผม……ผมก็ไม่รู้ว่าคุณชายลู่คิดยังไง” เสี้ยจุนหัวเราะแหะๆ
“ช่างมันเถอะค่ะ ฉันเองก็ไม่อยากทำให้คุณอึดใจไปมากกว่านี้ ฉันจะไปถามเขาเอง” หลินอี้จุนพูดจบก็เดินออกจากห้องทำงานของเสี้ยจุนไป
วินาทีนี้ เธอรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของลู่เฉินแล้ว แต่เธอไม่ได้ดีใจเลยแม้แต่น้อย
มีเพียงความรู้สึกเดียวนั่นคือการถูกหลอก
เมื่อออกมาจากบริษัท หลินอี้จุนก็หยิบมือถือขึ้นมาแล้วค้นหาเบอร์ของลู่เฉิน เธอลังเลใจอยู่ชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ต่อสายไปยังเขา
เดิมทีเธอต้องการโทรไปหาเขาและคาดคั้นความจริงว่าทำไมถึงโกหกเธอมาตลอด แต่เมื่อคิดดูอีกทีเธอก็ถอดใจ
ยังไงลู่เฉินก็โกหกหลอกลวงเธอไปแล้ว เธอมาถามเอาตอนนี้มีประโยชน์อะไร?
หลินอี้จุนยังไม่ได้กลับบ้าน เธอโทรไปหาหลิวหยานฉีแล้วนัดกันออกไปดื่มฉลอง
……
เมื่อวานที่เขาเห็นว่าตู้เฟยยังจัดการเรื่องบริษัทอัญมณีไม่สำเร็จ ในวันนี้ลู่เฉินจึงได้ย้ายเสี้ยจุนมา
แต่เขาก็รู้ดีว่าหลินอี้จุนไม่สามารถบริหารจัดการบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ตองเจียได้ตามลำพัง จึงยังให้เสี้ยจุนคอยดูแลอยู่ทางนั้นไปก่อน และให้เขาค่อยๆวางอำนาจลง หลินอี้จุนจะได้ค่อยๆคุ้นเคยกับการบริหารจัดการ
การที่เขาไม่ได้ย้ายเธอไปที่เทคโนโลยีอี้ฉีนั้น เขาก็มีเหตุผลของเขา
เนื่องจากตอนนี้แม่ใหญ่ของเขายังมีอำนาจล้นเหลือ เขาไม่อาจต่อสู้กับเธอได้ เขาจึงไม่อยากให้มีใครรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาเท่าไรนัก แม้แต่ภรรยาของเขาเอง
เพราะเขารู้ดีว่ากำแพงมีหูประตูมีช่อง สักวันหนึ่งความลับก็จะถูกเผยแพร่ออกไป ซึ่งมีแต่จะทำให้พวกเขาเดือดร้อน
แม่ใหญ่ของเขาสามารถบีบบังคับให้พ่อสละตระกูลใหญ่โตเช่นนั้นได้ แค่นี้ก็เข้าใจแล้วว่าเธอมีความสามารถขนาดไหน
ถ้าหากวันใดเธอรู้เข้าว่าเขาอยู่ที่เมืองหยูโจว เธอคงไม่ออมมือให้แน่
“อาเฟย ต่อจากนี้คุณก็พยายามร่วมมือกับคุณเสี้ยนะ ให้บริษัทก่อตั้งสำเร็จอย่างเร็วที่สุด” ลู่เฉินพูดขึ้นกับตู้เฟย
ตู้เฟยพยักหน้า เนื่องจากเขาก็รู้ดีว่าบริษัทใหญ่โตขนาดนี้จะให้เขาทำคนเดียวคงไม่ได้ หากมีคนมาช่วยกันอีกสักแรง ก็น่าจะดีกว่าเดิม
“คุณเสี้ยครับ ถึงแม้ว่าคุณจะย้ายมาดูแลเพียงชั่วคราว แต่เรื่องนี้จะต้องรีบจัดการให้เร็วที่สุด เงินไม่ใช่ปัญหา ขอเพียงคุณรีบดำเนินการให้ผมเร็วที่สุดก็พอ” ลู่เฉินพูดกับเสี้ยจุนอย่างจริงจัง
“คุณชายลู่วางใจได้ เรื่องนี้ผมจะจัดการให้ดีและรวดเร็วที่สุด” เสี้ยจุนพยักหน้า ก่อนหน้านี้ลู่เฉินเคยบอกกับเขาแล้วว่าถ้าอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสร้างขึ้น ลู่เฉินจะให้ความสำคัญกับเขามาก และจะให้หุ้นส่วนเล็กน้อยแก่เขา ถึงแม้ไม่มาก แต่ก็ดีกว่าที่เขาต้องไปก่อตั้งบริษัทด้วยตัวเองแน่ๆ
ดังนั้นต่อให้ลู่เฉินไม่กำชับเขา เขาก็ต้องทำอย่างสุดความสามารถเช่นกัน
ลู่เฉินจัดการเรื่องพวกนี้เรียบร้อยแล้วก้มลงมองดูเวลา คาดว่าฉีฉีคงจะเลิกเรียนพอดี จึงได้ตรงไปรับฉีฉี
เมื่อรับฉีฉีแล้ว หลินอี้จุนก็โทรมาบอกเขาว่าเธอจะไม่กลับมากินข้าวที่บ้าน
ลู่เฉินคิดว่าเนื่องจากวันนี้เธอได้เลื่อนขั้น จึงได้ออกไปฉลองกับเพื่อนร่วมงาน จึงไม่ได้คิดอะไรมากและพาฉีฉีไปกินข้าวที่ร้านอาหาร
ในเมื่อหลินอี้จุนไม่ได้กลับมากินข้าวด้วยกัน เขาก็ไม่อยากลงมือทำกับข้าวเอง จึงได้วางแผนออกไปกินข้างนอก
หลังกินข้าวเย็น ลู่เฉินก็พาฉีฉีไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะ หลังกินอิ่มเขามักเดินออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายเผาผลาญเสียหน่อย
“อีกสองวันเงินเดือนพี่ถึงจะออก สองสามวันนี้คงต้องให้น้องช่วยดูแลแม่ไปก่อนนะ วางใจได้เลย ถ้าเงินเดือนออกเมื่อไหร่พี่จะรีบโอนไป”
ในขณะนั้นเอง ลู่เฉินและฉีฉีเดินมาถึงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งและได้ยินคนงานคนหนึ่งนั่งคุยโทรศัพท์อยู่ที่ใต้ต้นไม้
เมื่อเขาวางสายลงก็ร้องไห้ออกมาและพูดว่า “แม่ครับ ผมขอโทษ เดือนนี้ผมส่งเงินไปไม่ได้แล้ว แม่กับน้องต้องเข้มแข็งนะ เพื่อนี่ทำงานผมก็เพิ่งเข้าโรงพยาบาลต้องทำการผ่าตัดด่วน เงินเดือนเดือนนี้ผมให้เขายืมไปก่อนแล้ว”
ชายหนุ่มคนนั้นร้องไห้ออกมาเบาๆ แต่รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด แม่ของเขาก็ต้องการใช้เงิน เพื่อนของเขาก็ต้องการผ่าตัด สุดท้ายแล้วเขาเลือกที่จะช่วยเพื่อน แต่ก็รู้สึกอกตัญญูต่อแม่มากๆ
“คุณพ่อคะ ทำไมคุณน้าคนนั้นเขาถึงร้องไห้คะ มีคนรังแกเขาเหรอ?” เมื่อเดินจากมา ฉีฉีจึงดึงมือลู่เฉินและเอ่ยถาม
“ใช่ค่ะ น่าจะมีคนรังแกเขา” ลู่เฉินพยักหน้าและรู้สึกสงสารชายหนุ่มคนนั้นขึ้นมา
อืม เขาถูกรังแก แต่ไม่ใช่ใครอื่นที่รังแกเขา เป็นโลกแห่งความจริงอันโหดร้ายนี่เอง
เขานึกย้อนไปตอนที่เขายังไม่ได้สืบทอดสมบัติของตระกูล ตอนที่ต้องการหาเงินมารักษาลูกสาวนั้น เขาเองก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกันนี้
เงินไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง
แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเงินไม่สำคัญ ในสังคมสมัยนี้ หากไม่มีเงินคงอยู่ไม่ได้แน่
“หรือว่าคุณน้าคนนั้นเขาจะหิวแล้ว พวกเราไปซื้อข้าวให้เขากินกันดีไหม เขาจะได้ไม่ร้องไห้” ลู่เฉินพูดจบก็เดินไปทางประตูทางออก
ที่ประตูทางออกนั้นมีร้านอาหารอยู่พอดี
“ดีค่ะๆๆ คุณครูบอกว่าถ้าเวลาเจอใครมีความทุกข์ก็ต้องช่วยเหลือเท่าที่เราจะทำได้ พวกเราไปซื้อข้าวให้คุณน้าคนนั้นกันนะคะ” ฉีฉีพูด
“ถูกต้องแล้วค่ะฉีฉี เราต้องพยายามช่วยเหลือผู้เดือดร้อนและผู้อ่อนแอกว่าเท่าที่ทำได้” ลู่เฉินเอามือลูบหัวฉีฉี จากนั้นสองคนพ่อลูกก็เดินตรงไปยังร้านขายข้าว
เขาหยิบเงินห้าพันใส่ลงไปในกล่องข้าวด้วย จากนั้นพาฉีฉีเดินเข้าไปในสวนสาธารณะอีกครั้ง
ลู่เฉินเห็นชายหนุ่มคนนั้นยังคงนั่งอยู่ที่ใต้ต้นไม้ จึงยื่นกล่องข้าวให้ฉีฉีบอกว่า “ฉีฉี เอาข้าวไปให้คุณลุงนะลูก”
ฉีฉีเองก็ไม่ทันเห็นว่าภายในมีเงินอยู่ เธอรับกล่องข้าวไปและวิ่งตรงไปหาชายหนุ่มคนนั้นอย่างดีใจ