พ่อจอมผยอง / คุณพ่อสายเปย์ - บทที่137 ไม่มีเหตุผล
บทที่137 ไม่มีเหตุผล
เมื่อพวกเขาเห็นลู่เฉินทำกับหัวหน้าใหญ่แบบนั้นก็พากันรุมเข้าไปจัดการเขา
ลู่เฉินหัวเราะหึๆ และจัดการออกหมัดรัวเป็นชุด สุดท้ายพวกเขาที่รุมเข้ามาก็ลงไปนอนกองกันที่พื้น
วังเปาสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาไม่คิดว่าลู่เฉินจะกล้าทำขนาดนี้
แม้ว่าเขาเองจะเป็นพวงนักเลงมีอำนาจด้านมืด แต่อำนาจนี้เขาก็มีผู้หลักผู้ใหญ่คุ้มกันอยู่เบื้องหลัง ไม่อย่างนั้นคงถูกกำจัดไปนานแล้ว
การกระทำของลู่เฉินเมื่อสักครู่ เขาจะยังกล้าคิดจะแตะต้องเงินร้อยล้านนั่นของลู่เฉินได้ยังไง
“เหล่าซัน ไปเอาใบสัญญาการยืมเงินมา!” วังเปาเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา เขาจึงรีบลุกขึ้นและออกคำสั่ง
คนที่ชื่อเหล่าซันนั้น เพิ่งถูกลู่เฉินต่อยเข้าไปเต็มเปาจนหวาดกลัว เขาพยักหน้าและรีบไปหาใบสัญญาการยืมเงินมา
ลู่เฉินมองดูกระดาษใบนั้นแล้วหยิบไฟแช็กออกมาจุดทำลายทิ้ง
วังเปาจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ลู่เฉินกลับเดินไปลากเก้าอี้ออกมาแล้วนั่งลง
“เอ่อ ลูกพี่ จะทำอะไรครับ?” เฉินเถี่ยตกใจและถามออกมาเบาๆ
“เงินที่แม่ผมยืมไปคิดบัญชีเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่มาคิดบัญชีค่าทำขวัญของแม่ผมกัน อ้อจริงสิ ของน้องเมียผมด้วย” ลู่เฉินยิ้มและพูดออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
เดิมทีเขาก็แค่จะมาเอาหลักฐานการกู้ยืมแล้วจากไปเท่านั้น
แต่คาดไม่ถึงว่าวังเปาเล่นไม้นี้กับเขา ถ้าอย่างนั้นเขาคงต้องเล่นด้วยสักหน่อยจะได้ไม่เสียมารยาท
“ลูก ลูกพี่……ทำแบบนี้มัน เอ่อ คือค่าทำขวัญนี่น่าจะเป็นเจ้าตัวมาเรียกเองไม่ใช่เหรอ” วังเปายิ้มทั้งน้ำตา
“อะไรนะ? ในฐานะลูกเขย ผมจะเรียกค่าทำขวัญแทนแม่ยายนี่ไม่น่าจะผิดนะ?” ลู่เฉินจ้องเขาตาเขม็ง
แม่ยายงั้นเหรอ?
ฉันไม่เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นนับแกเป็นลูกเขยสักหน่อย ไม่อย่างนั้นจะปล่อยให้แกอยู่ที่นี่แล้วตัวเองเปิดแน่บไปได้ยังไง
วังเปาสีหน้าไม่น่าดูเท่าไหร่ แต่เขาก็ยังพูดขึ้นว่า “ลูกพี่ แหม เลิกล้อผมเล่นได้แล้วละครับ ลูกพี่ก็เห็นอยู่ว่าทั้งสองคนนั่นไม่ได้เป็นอะไร”
“อ้อ จะว่าไปก็ถูก ดูเหมือนพวกเธอทั้งสองคนจะสบายดี” ลู่เฉินพยักหน้าและเห็นด้วย
วังเปาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่ทันใดนั้นลู่เฉินก็พูดขึ้นอีกว่า “พวกเธอทั้งสองคนไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ถ้าขึ้นโรงขึ้นศาลทางศาลเองก็คงจะพิจารณาว่าเป็นแบบนั้น แต่เมื่อกี้ที่พวกลูกน้องของคุณมารุมทำร้ายผม มันทำให้ผมตกใจกลัวแทบตาย ทำผมขาอ่อนไปหมด ผมถูกข่มขู่ทางจิตใจนะครับเนี่ย คุณลองดูสิว่าจะชดเชยค่าทำขวัญให้ผมยังไงดี”
รุมทำร้ายแกงั้นเหรอ?
แกตกใจตนขาอ่อนหมดเรี่ยวแรง ถูกทำร้ายทางจิตใจงั้นเหรอ?
วังเปาหน้าขึ้นเลือด
แม่งเอ้ย แกคนเดียวต่อยกับลูกน้องฉันตั้งหลายคน กระทั่งทำให้ฉันยอมแกได้ ยังมีหน้ามาพูดเรื่องแบบนี้อย่างหน้าตายได้ยังไง?
บรรดานักเลงที่เหลือก็พากันเบอกตากว้าง
พวกเขาไม่เคยพบเคยเห็นคนที่หน้าไม่อายแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ
ใครกันแน่ที่เป็นนักเลง?
วังเปาอยากจะอัดลู่เฉินให้จมดิน แต่เขาก็ไม่กล้าจึงได้ระงับอารมณ์โกรธเอาไวพูดว่า “ ลูก……ลูกพี่ รบกวนทิ้งเลขบัญชีไว้ให้ผมหน่อยได้ไหมครับ เงินนี้ผมไม่เอาแล้ว ผมยกให้!”
ถือว่าเขายังมีความฉลาดอยู่บ้าง และคิดได้ว่าอีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะให้เขาคายเงินหนึ่งล้านสองนั่นออกมา และยังจะย้อนกลับมาเรียกเงินเพิ่มอีกต่างหาก
เขายังจะกล้าต่อปากต่อคำได้ยังไง หากใช้กำลังก็ไม่สามารถเอาชนะได้อยู่ดี ถ้าให้เรื่องไปถึงตำรวจเขาก็จบเห่อย่างแน่นอนไม่ใช่เหรอ?
เรื่องพวกนี้ที่ทำอยู่มันผิดกฎหมาย
แค่มีคนคุ้มกันเขาอยู่เบื้องหลัง เขาจึงได้กล้าทำแบบนี้
หากต้องถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาล เขาคิดว่าเสากำบังคนนั้นคงจะตัดหางเขาปล่อยวัดแน่
เนื่องจากผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีอำนาจในสังคม จะยอมลงมามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ได้ยังไง
มีแต่จะทำให้ชื่อเสียงของพวกเขาต้องแปดเปื้อน
“ไม่สิ เงินนั้นพวกเราติดค้างแกอยู่ พวกเราควรจะคืนให้ เพราะมันเป็นของพวกแก เอาละตอนนี้ได้เวลาคิดค่าทำขวัญได้หรือยัง”
“ก่อนอื่น พวกแกรุมเข้ามาทำร้ายฉัน ทำให้ฉันช้ำในอย่างรุนแรง ชดใช้ค่ายาสักสี่ล้านก็แล้วกัน”
“ต่อไป พวกแกทำให้ฉันขวัญเสีย ส่งผลให้ฉันตกใจจนแทบเสียสติ ดีไม่ดีผมอาจจะเป็นบ้าเลยก็ได้ ค่าทำขวัญสักหกล้านนี่คงไม่มากไป” ลู่เฉินพูดออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
วังเปาสีหน้าซีดเผือด เขาคิดไม่ออกว่าค่าทำขวัญอะไรจะแพงขนาดนี้ เขารู้ว่าลู่เฉินจะเรียกไม่น้อยแน่ แต่ก็คาดเดาไว้ที่ประมาณสองล้าน
ต่อให้ตายเขาก็ไม่คาดคิดว่าลู่เฉินจะเรียกค่าทำขวัญสูงถึงสิบล้าน! ฆ่าเขาให้ตายเขาก็หามาไม่ได้หรอก!!
“ลูกพี่ครับ ทำแบบนี้มันเกินไปหน่อยไหม พวกเราไม่ได้ทำร้ายร่างกายลูกพี่เลย ลูกพี่ต่างหากที่ทำร้ายพวกเรา พวกเราควรเป็นฝ่ายเรียกค่าทำขวัญไม่ใช่เหรอ?” วังเปาเริ่มทนไม่ได้ ใจในเขาตอนนี้ช่างร้อนรน
“ผมบอกว่าพวกคุณทำก็คือทำ ผมบอกว่าเสียขวัญก็คือเสียขวัญ ทำไม? มีปัญหาอะไรรึเปล่า?”
“……”
ทุกคนในห้องโถงไม่รู้จะพูดอะไร นี่มันยิ่งกว่าการขูดรีดเสียอีก!
แต่พวกเขาก็ไม่กล้าพูดว่าลู่เฉินขูดรีดพวกเขา ไม่อย่างนั้นถ้าลู่เฉินโมโหขึ้นมาอีกและไปฟ้องศาล พวกเขาคงเสียเงินมากกว่านี้แน่ อีกทั้งอนาคตคงจบสิ้น
เนื่องจากพวกเขาทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย
เมื่อเห็นลู่เฉินยังยืนยันคำเดิมอยู่นั้น วังเปาก็แทบกระอักเลือด
ที่ผ่านมาเป็นเขาที่คอยรังแกผู้อื่น แต่ตอนนี้เขากลับถูกผู้อื่นรังแกต่อหน้าต่อตา
“ลูกพี่ครับ ผมว่าลูกพี่ไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไหร่นะ”
แน่นอนว่าวังเปาไม่ยอมควักเงินมากมายขนาดนั้นออกมาแน่ สิบล้านเชียวนะ! ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขามีแค่สองสามล้านเท่านั้น
อีกอย่าง พวกเขาปล่อยเงินกู้นอกระบบคิดว่าเป็นเรื่องง่ายเหรอ? แต่ละวันต้องเจอกับอันตรายมากมาย ต้องคอยเอาอกเอาใจพวกเจ้าหน้าที่ เหนื่อยจะตายไปรู้ไหม?
ค่าทำขวัญสิบล้าน?
พระเจ้า! ต่อให้เขาตายก็หามาไม่ได้หรอก
“ไม่มีเหตุผลงั้นเหรอ? ผมได้รับบาดเจ็บหรือเปล่าคิดว่าผมไม่รู้ตัวเองหรือไง?” สีหน้าของลู่เฉินเคร่งขรึม และน้ำเสียงต่ำทุ้ม
“ลูกพี่ครับ อย่าดูถูกมืออาชีพอย่างพวกเราได้ไหม?” วังเปาตอบกลับไป
“มืออาชีพเหรอ? อย่างนี้แสดงว่าพวกคุณนี่เป็นหมอด้วยสินะ แค่มองด้วยตาก็รู้ว่าผมบาดเจ็บหรือเปล่า?”
ลู่เฉินโมโหและตะโกนออกไปว่า “ไปเรียกหัวหน้าพวกแกออกมาซะ ไม่อย่างนั้นฉันคงต้องปิดกิจการพวกแกลง!”
วังเปาและลูกน้องต่างสะดุ้งในคำพูดของลู่เฉิน แม่งเอ้ย ทำไมหัวแข็งดื้อดันแบบนี้นะ?
“ได้ ตกลง ในเมื่อแกอยากเจอเจ้านายนัก ฉันจะโทรหาเขาให้ แต่ว่าถ้าเจ้านายมาแล้วหวังว่าแกจะไม่รู้สึกผิดหวังที่ทำแบบนี้”
คำพูดของลู่เฉินเตือนสติวังเปาขึ้นมาได้
เจ้านายของพวกเขาเป็นใหญ่เป็นโตมีหน้ามีตาในสังคม แม้ว่าไอ้กระจอกนี่มันจะต่อยเก่ง แต่ก็แค่พวกใช้กำลังเท่านั้น อยู่ต่อหน้าเจ้านายของพวกเขา ต่อให้ถูกลอตเตอรี่ร้อยล้านก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรขึ้นมา เงินแค่นี้เป็นเพียงแค่ตัวเลขเล็กน้อย
วังเปายิ้มให้ลู่เฉินอย่างเจ้าเล่ห์ และหยิบมือถือออกมา
พวกนักเลงที่เหลือก็ไม่มัวแต่นอนร้องโอดโอยอีกต่อไป พวกเขาลุกขึ้นมาและจ้องมองลู่เฉินอย่างอาฆาต
พวกเขาอยากจะรู้นักว่าอีกเดี๋ยวลู่เฉินจะเอาตัวรอดยังไง!