พ่อจอมผยอง / คุณพ่อสายเปย์ - บทที่141 หลินอี้จุนเริ่มสับสน
บทที่141 หลินอี้จุนเริ่มสับสน
เมื่อลู่เฉินออกมาจาก Moonlight Bathsก็พบว่าวังเสวี่ยและหลินอี้เจียยืนรอเขาอยู่ที่ข้างรถ ทำให้เขาโล่งใจไม่น้อย
แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะให้ทั้งสองคนไปจากที่นี่ แต่หากพวกเธอออกไปเลยจริงๆ เขาคงไม่ค่อยพอใจนัก
”พี่คะ พวกเขาไม่ได้ทำร้ายพี่ใช่ไหม?” หลินอี้เจียเดินหน้าขึ้นมาถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
ลู่เฉินส่ายหัว แน่นอนว่าพวกนั้นต้องการสั่งสอนเขา แต่เขาเป็นคนประเภทที่ยอมให้ใครรังแกได้ง่ายๆงั้นเหรอ?
“พวกเขาให้ใบสัญญาการยืมเงินคืนมาหรือยัง?” วังเสวี่ยยังคงเป็นห่วงเรื่องนี้มากที่สุด หากเอกสารนั้นยังอยู่ในมือพวกเขา เธอจะหนีไปไหนพ้น
“ให้แล้ว แต่ผมเผาทิ้งไปแล้ว พวกคุณจะกลับบ้านเลยยไหม ผมจะไปส่ง” ลู่เฉินพยักหน้าตอบ
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพวกเรากลับเองได้ ว่าแต่ทำไมลูกไม่เคยบอกว่าแม่เลยว่ามีเงินเยอะขนาดนั้น แม่แทบจะไม่มีเงินกินข้าวอยู่แล้ว ให้แม่ใช้สักหน่อย ไม่สิ ให้แม่ยืมสักหน่อยได้ไหม เดี๋ยวแม่คืนให้แน่นอน” วังเสวี่ยมองไปทางลู่เฉินอย่างมีความหวัง
ลู่เฉินขมวดคิ้วมองดูวังเสวี่ย ไม่ใช่ว่าเขาเสียดายเงิน แต่กลัวว่าวังเสวี่ยจะไม่เปลี่ยนนิสัยเล่นพนัน
แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจพยักหน้า แล้วถามว่า “แม่จะเอาเท่าไหร่ครับ?”
“สักยี่สิบล้าน แต่ถ้าไม่มีก็สักสิบห้าล้านก็ได้” วังเสวี่ยพูด
ลู่เฉินขมวดคิ้วจนแทบติดกัน เขารู้ดีว่าวังเสวี่ยไม่มีเรื่องต้องใช้จ่ายในบ้าน แต่เธอจะเอาเงินมากขนาดนี้ไปทำอะไรกัน แค่คิดก็รู้ว่าว่าเธอจะเอาไปเล่นพนันแน่นอน
“ผมไม่มีเงินติดตัวแล้ว ผมจะกลับไปปรึกษากับอี้จุนก่อนนะครับ เธอน่าจะยังพอมี” ลู่เฉินตัดสินใจไม่ให้วังเสวี่ยยืม เงินก้อนนี้ถ้าจะให้ ก็ควรให้พ่อตาของเขาจะดีกว่า
”จะไม่มีตังได้ยังไง ถูกลอตเตอรี่ตั้งร้อยล้านไม่ใช่เหรอ? วังเสวี่ยถามขึ้นด้วยความไม่พอใจ เธอเป็นแม่ยายเขานะ จะขอเงินนิดๆหน่อยๆทำไมถึงต้องทำให้วุ่นวายขนาดนี้
“ที่งานเลี้ยงวันนั้น แม่ไม่เห็นเหรอครับว่าผมแพ้พนันไปแล้ว?” ลู่เฉินพูดออกมาเบาๆ
“หึ! ไม่มีตังยังกล้ามาที่แบบนี้? อย่าบอกนะว่าแกไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน?” วังเสวี่ยชักสีหน้าแล้วพูดออกมาอย่างเยือกเย็น
ลู่เฉินขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจในคำพูดของวังเสวี่ย
ในใจก็คิดว่าถ้าไม่เห็นกับตาว่าพวกคุณถูกจับตัวมา ผมจะตามมาถึงที่นี่ไหม?
เขาได้แต่คิดอยู่ในใจแล้วมองดูวังเสวี่ย จากนั้นเปิดประตูรถขึ้นนั่ง ไม่อยากสนใจวังเสวี่ยอีกต่อไป
“แกเชื่อไหมว่าฉันจะโทรฟ้องอี้จุนเดี๋ยวนี้ ว่าแกมาที่แบบนี้?” วังเสวี่ยยืนตะโกนขู่เขาอยู่ที่ด้านนอกรถ
“ถ้าพวกคุณไม่ก่อเรื่องแบบนี้ ผมจะมาที่นี่ทำไม?” ลู่เฉินเริ่มหมดความอดทน
“เหอะ! อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น แกแอบอี้จุนมาที่แบบนี้แล้วบังเอิญเจอพวกเราเข้ามากกว่า เพราะแกกลัวว่าพวกเราจะเอาไปฟ้องอี้จุน ก็เลยยื่นมือเข้ามาช่วยใช่ไหมละ?” วังเสวี่ยพูด
“แล้วแต่จะคิดเลยครับ ปากของใคร ใครจะพูดอะไรก็เป็นสิทธิ์ของเขา” ลู่เฉินตอบกลับอย่างไม่แยแสแล้วขับรถแล่นออกไป
แม่ยายแบบนี้ ต่อให้เขาพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์หรอกเสียเวลาเสียสุขภาพจิตเปล่าๆ
”แม่คะ พี่เขยน่าจะไม่มีเงินจริงๆนะคะ ครั้งที่แล้วที่เขาแพ้พนันไป พวกเราทุกคนก็เห็นอยู่กับตา แม่ก็อย่าไปบีบบังคับเขานักเลย” หลินอี้เจียรู้สึกซาบซึ้งใจที่ลู่เฉินช่วยเธอไว้ในวันนี้ ไม่อย่างนั้นไม่รู้ว่าตอนนี้เธอจะมีสภาพเป็นอย่างไร
หากวันนี้ลู่เฉินไม่ยื่นมือเข้ามาชช่วยแม่ของเธอ ในวันนี้คงจะเป็นวันที่มืดมนที่สุดในชีวิตเธอแน่ๆ
“เหอะ! จะไม่มีตังได้ยังไง? ถ้าไม่มีตังแล้วจะเอาที่ไหนมาช่วยเราตั้งล้านสอง? ไม่อย่างนั้นมันจะมาที่แบบนี้ทำไม?” วังเสวี่ยพูดขึ้นด้วยความสงสัย
”พี่เขยอาจจะเห็นตอนเราถูกจับตัวมาจริงๆนะคะ ก็เลยตามมาเงียบๆ” หลินอี้เจียออกตัวแทนลู่เฉิน
“แกก็ไปเชื่อมันได้ยังไง มันถูกหวยตั้งเยอะแยะก็เลยไม่สนใจพี่สาวแกและหนีมาเที่ยวที่นี่คนเดียว จะไปมีเรื่องบังเอิญแบบที่แกว่าได้ยังไง? ไม่ได้การละ แม่ต้องโทรไปบอกอี้จุนตอนที่ลู่เฉินมันยังมีเงินอยู่ บอกให้พี่สาวแกรีบหย่ากับมันซะ ยังพอได้ค่าเลี้ยงดูอยู่บ้าง ถ้ารออีกสักปีสองปีเงินมันหมดก็จะไม่ได้แม้แต่บาทเดียว” วังเสวี่ยพูดแล้วหยิบมือถือออกมาจะโทรหาหลินอี้จุน
หลินอี้เจียพยายามจะห้ามเอาไว้แต่เมื่อได้ยินผู้เป็นแม่พูดแบบนั้นเธอก็เริ่มเห็นด้วย
ถ้าหากลู่เฉินแอบพี่สาวเธอมาที่แบบนี้จริงๆ เธอก็สนับสนุนให้พวกเขาหย่ากัน
หลินอี้จุนได้รับสายจากวังเสวี่ย และเมื่อได้ยินคำเหล่านั้นก็คล้ายกับถูกฟ้าฟาดลงมากลางใจ
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน เธอไม่มีวันเชื่อว่าลู่เฉินจะทำเรื่องแบบนี้ได้ แต่สองวันมานี้ที่เธอรู้เรื่องตัวตนของเขา และรู้ว่าที่ผ่านมาถูกเขาหลอกมาโดยตลอด เธอก็รู้สึกคับแค้นใจ
วินาทีนี้ที่ได้ฟังคำพูดจากแม่ของเธอ เธอก็เชื่อทุกประการอย่างไม่ทันครุ่นคิด
คนรวยๆเลี้ยงเด็กสาวไว้มากมาย ฉากเหล่านี้ผุดขึ้นมาในสมองของเธอ ไม่ว่าจะในทีวีหรือข่าวต่างๆก็มักได้ยินบ่อยมาก
แล้วลู่เฉินล่ะ? เขามีเงินทองมากมายเท่าไหร่กันแน่? เพียงแค่เงินก่อสร้างเทคโนโลยีอี้ฉีก็ห้าหมื่นล้านแล้ว!
”อี้จุน ตอนนี้เขายังพอมีตังอยู่ รีบหย่ากับเขาเสียเถอะ ถ้ารอให้เขาหมดเงินสุดท้ายแล้วเราจะไม่ได้อะไรเลยนะ ลูกจะออกมาจากที่นั่นโดยไม่มีอะไรติดตัวได้ยังไงกัน ไหนจะฉีฉีอีก เงินเดือนแค่นี้คงไม่พอหรอกนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดยุยงจากผู้เป็นแม่ หลินอี้จุนก็เริ่มสับสน
เขาแต่งงานกับลู่เฉินมาสี่ปี แม่ของเธอก็คอยยุยงเธอมาตลอดสี่ปี
แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เธอคิดจะแยกทางกับลู่เฉิน
แต่บัดนี้เธอได้ปลี่ยนความคิดไปแล้ว
หลินอี้จุนนั่งครุ่นคิดอยู่คนเดียวตลอดทั้งวัน หลายต่อหลายครั้งที่เธอจะโทรหาลู่เฉิน เธออยากฟังคำอธิบายจากเขามากจริงๆ
แต่เธอก็ยังสับสนอยู่แบบนี้ ในสมองของเธอยังโกรธที่ลู่เฉินโกหกหลอกลวงเธอ ทุกครั้งที่นิ้วจะกดไปที่เบอร์ของเขา เธอก็รีบหยุดลงทันที
”ช่างมันเถอะ เดี๋ยวค่อยกลับไปถามเขาด้วยตัวเองละกัน” แม้จะรู้ว่าลู่เฉินหลอกเธอมานานหลายปี แต่เรื่องที่ลู่เฉินไปยังสถานที่แบบนั้น เธอก็ยังกอดความหวังว่าเขาจะไม่ได้ทำมัน เธอจกลับไปถามเขาด้วยตัวเอง
เธอเชื่อว่าแม้ลู่เฉินจะปิดไว้อย่างมิดชิด แต่ถ้าอยู่ต่อหน้าเธอ แววตาของเขาก็ไม่สามารถโกหกเธอได้
ในขณะที่หลินอี้จุนกำลังสงสัยในตัวลู่เฉิน ลู่เฉินกลับกำลังวุ่นอยู่กับการตรวจความเรียบร้อยของเทคโนโลยีอี้ฉี อีกทั้งลงพื้นที่ด้วยตัวเอง
หลังกลับจากที่นั่น ลู่เฉินก็ตรงไปรับฉีฉีทันที ทันในนั้นก็ได้รับสายจากเสี่ยวชัวจุน
”คุณชายลู่ครับ วันนี้พวกเราได้เข้าตรวจสอบ Moonlight Baths ปรากฏว่าเป็นอย่างที่คุณแจ้งไว้จริงๆ คุณชายต้องการให้จัดการยังไงครับ?” เสี่ยวชัวจุนถามอย่างระมัดระวัง
ลู่เฉินได้ยินดังนั้นก็ตกใจ เพราะเสี่ยวชัวจุนเป็นถึงผู้บังคับบัญชาระดับสูง แต่เขากลับโทรมาด้วยเรื่องแค่นี้ ต่อให้เขาโง่แค่ไหนก็เดาออกว่าที่Moonlight Bathsนี้ต้องมีความลับบางอย่างอยู่แน่ๆ จึงเข้าใจในความหมายของเสี่ยวชัวจุน