พ่อจอมผยอง / คุณพ่อสายเปย์ - บทที่168 ตงฟางหลง
บทที่168 ตงฟางหลง
เห็นว่าเซ่ซูเจี๋ยมาเพราะลู่เฉิน คนทั้งโต๊ะนี้นอกจากเฉินจือหราน คนที่เหลือต่างหน้าอึ้งไปหมด
มองดูสายตาที่เปลี่ยนไปของลู่เฉิน
“น้องลู่ ฉันเองก็ไม่พูดมากอะไรละ วันนี้พี่จะต้องดื่มฉลองกับนายสามแก้ว” ในขณะที่เซ่ซูเจี๋ยกำลังพูดอยู่นั้น เขาก็ได้ยกแก้วขึ้นตรงหน้าลู่เฉิน
ลู่เฉินไม่เพียงแต่ช่วยเขาดึงลากตระกูลทั้งสี่นี้ลงน้ำ และยังบริจาคเงินทั้งสิ้นหนึ่งร้อยยี่สิบล้าน และบริษัทอื่นๆของเขาก็ยังได้บริจาคมากถึงสามร้อยสี่สิบล้าน ทำให้การบริจาคของยวี่โจวครั้งนี้กลายเป็นผู้บริจาคที่มากที่สุดในประเทศ
ก่อนมาประชุมนี้ เขายังได้รับสายจากคนใหญ่คนโตในเมืองหลวง และยังชมเขาซะอีกด้วย
ลู่เฉินช่วยเขาทำสิ่งดีงามขนาดนี้ เขาต้องมาขอบคุณลู่เฉินด้วยตัวเองโดยเฉพาะอยู่แล้วหละ
ฉะนั้นเขาจึงไม่เรียนเชิญลู่เฉินโต๊ะนั้นเลย
เพราะโต๊ะนั้น ผู้นำของตระกูลทั้งสี่*ก็อยู่กันหมด หากลู่เฉินไป ในใจหลายคนที่โกรธแค้นอยู่นั้นก็คงจะมอมเหล้าลู่เฉินละสิไม่ว่า
น้องลู่? ฉลองสามแก้ว?
จางดาวจงเบิกตาโต ในใจราวกับใจแทบขาดเหมือนสุนัข
เมื่อกี้นี้เขายังเยาะเย้ยลู่เฉินอยู่เลย ต้องคนแบบไหนกันถึงจะสามารถทำให้ลู่เฉินเป็นคนชนแก้วก่อน ตอนนี้เซ่ซูเจี๋ยพูดด้วยตัวเองว่าจะชนแก้วฉลองกับลู่เฉินสามแก้ว นี่มันตบหน้าตัวเองชัดๆไม่ใช่หรือไง?
อีกอย่าง เขายังอยากจะให้ลู่เฉินเรียกเขาว่าพี่ อยากที่จะทำให้ลู่เฉินเกรงกลัว แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะเรียกพี่เรียกกับเซ่ซูเจี๋ย
“เซ่ซูเจี๋ย พวกคุณคุยกันก่อนเลย ผมยังมีเพื่อนอยู่ทางนุ่น ไปก่อนนะ” จางดาวจงยังมีหน้าที่จะอยู่ต่ออีกได้ยังไงกัน เขาจึงรีบหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
เฉินจือหรานมองดูจางดาวจงทีรีบหลบหนีไปอย่างอนาถแล้วเกิดแอบหัวเราะ
เมื่อก่อนเวลาที่จางดาวจงเสแสร้งทำต่อหน้าลู่เฉิน เธอก็รู้เลยว่าสักวันนึงจางดาวจงจะถูกตบหน้าตัวเองแน่นอน
เซ่ซูเจี๋ยถึงกับมาช่วยเขาตบหน้าตัวเองด้วยตัวเองเลยหละ
เจ้านี่ ยิ่งอยู่ยิ่งทำให้คนเดาใจยากขึ้นจริงๆ
หลานหลินและหลี่ชิงเฉิงต่างมองลู่เฉินไว้อย่างไม่อยากจะเชื่อเซ่ซูเจี๋ย ถึงกลับเดินมาชนแก้วกับเขาเอง นี่มันทำให้สาวสวยทั้งสองตะลึงจนเอามือปิดปากไว้ กลัวว่าตัวเองจะไม่ตั้งใจกรี๊ดออกมา
“ได้ครับ งั้นผมก็ดื่มสักสองสามแก้วกับเซ่ซูเจี๋ย” ลู่เฉินหัวเราะ ยกแก้วขึ้นแล้วชนแก้วกันเซ่ซูเจี๋ย
มีคนนอกอยู่เซ่ซูเจี๋ยและลู่เฉินต่างไม่ได้คุยอะไรที่สำคัญกัน หลังจากที่ทั้งสองดื่มครบสามแก้วแล้วเซ่ซูเจี๋ยก็ได้จากไป
จนกระทั่งเซ่ซูเจี๋ยจากไป เหล่าหลี่ชิงเฉิงถึงจะถอดหายใจออกมา
แต่ว่าเซ่ซูเจี๋ยหละ ต่อให้ชิงเฉิงกรุ๊ปของเธอจะสามารถเข้าหนึ่งในสิบของยวี่โจวได้ แต่ยังไม่สามารถที่จะร่วมโต๊ะดื่มเหล้ากับเซ่ซูเจี๋ยได้
“เจ้านี่มันเป็นแค่เจ้าของซุปเปอร์มาร์เก็ตเท่านั้นเองเหรอ?” หลี่ชิงเฉิงมองลู่เฉิน นัยน์ตามีความเจ้าเล่ห์เลื่อนผ่าน เธอไม่ทางเชื่อเด็ดขาดว่าลู่เฉินเป็นเพียงแค่เจ้าของซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ต๊อกต๋อย
หลินอี้จุนไม่พูดไม่ตาตลอดงาน แต่งานกุศลในคืนนี้ ในขณะที่เธอได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆนั้น ขณะเดียวกันเธอก็ได้รู้ถึงความมีอำนาจของลู่เฉิน
ลู่เฉินในวันนี้ แตกต่างสิ้นเชิงไปจากลู่เฉินที่เธอรู้จัก
หลังจากจบงานกุศล หลินอี้จุนก็รู้สึกลู่เฉินยิ่งห่างเหินออกไปมาก
หลังๆเป็นเพราะว่าเธอรู้สึกรอยยิ้มบนหน้าลู่เฉินมันปลอมมาก
ฉะนั้นเมื่อเธอเห็นรถที่เฉินจือหรานให้ลู่เฉิน ก็ไม่ได้พูดอะไรเลย และไม่ได้ถามอะไรเลยด้วย
ลู่เฉินถอดหายใจในใจ รับรู้ถึงสายตาที่เย็นชาของหลินอี้จุน ทันใดนั้นในใจเขาเกิดเจ็บปวดขึ้นมา
“อี้จุน ผมคิดว่าเรามีเหตุจำเป็นที่ควรจะเจรจากันดีๆแล้วหละ” ลู่เฉินพูด
“นอนเถอะ มีธุระอะไรไว้คุยพรุ่งนี้แล้วกัน” หลินอี้จุนพูดอย่างห้วนๆ จากนั้นก็เดินเข้าไปยังอีกห้องนึง
ลู่เฉินมองดูประตูแล้วเหม่ออยู่ตรงนั้นสักครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ได้กลับเข้าไปในห้องแล้วนอน
วันที่สองเป็นวันอาทิตย์ ฉี๋ฉี๋ไม่มีเรียน ลู่เฉินก็นอนหลับอย่างอิ่ม ทันใดที่ตื่นนั้น เขาก็ได้รับข้อความที่ส่งจากหลินอี้จุนเลยทันที
“สองสามวันนี้ฉันพาฉี๋ฉี๋กลับไปพักที่บ้านแม่ คุณอย่ามาหาฉัน”
มองดูข้อความที่ส่งมา ในใจลู่เฉินย่ำแย่ไปหมด
เขาหยิบบุหรี่ออกมาหนึ่งมวนพร้อมกับจุดไฟ จากนั้นก็สูบบุหรี่อย่างไม่สบายใจขึ้นมา
เขาถามตอบตัวเองว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด แต่แรกเขาก็บอกกับหลินอี้จุนเรื่องที่เขาเป็นลูกมหาเศรษฐีแล้ว แต่หลินอี้จุนไม่เชื่อก็เท่าเอง
ต่อมาที่เขาไม่อยากบอกฐานะตัวเองให้เธอ เพียงเพราะแค่ว่าไม่อยากให้พวกเธอต้องมาคิดมากกับเรื่องเกิดของเขาก็เท่านั้นเอง
หากเขามีความเชื่อมั่นพอที่จะต่อต้านกับแม่ใหญ่แล้วก็ เขาจำเป็นที่จะต้องระมัดระวังแบบนี้มั้ย?
และจะเป็นไปได้มั้ยที่เขาจะไม่บอกฐานะที่แท้จริงของเขาให้หลินอี้จุนทราบ?
แต่หลินอี้จุนก็ไม่เข้าใจเขาอยู่ดี และนี่มันก็ทำให้ในใจเขาเกิดความโมโหขึ้นบ้าง
แต่งงานกันมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่ในใจลู่เฉินรู้สึกเหนื่อยล้าต่อครอบครัว(แต่งงาน)
“ห่างกันสักพักก็ดี” ลู่เฉินบีบก้นบุหรี่ดับลง แล้วลุกขึ้นจากที่นอน
คืนนี้เขายังมีธุระสำคัญต้องทำ แน่นอนจะให้มานั่งรู้สึกไม่ดีต่อความสัมพันธ์ไม่ได้
……
สนามบินยวี่โจว
จางเซิงเฉียวพาหลานหลายคนมารับเขาเป็นการส่วนตัว
แขกที่พวกเขารอต้อนรับนั้น ก็คือฮันเทียนและพี่ของเขาตงฟางหลง
“คุณปู่ ตงฟางหลงจะสามารถเอาชนะลู่เฉินได้จริงเหรอ?” จางดาวเรนถาม
“อืม กำลังความสามารถของตงฟางหลงใกล้เคียงกับผู้ที่มีกำลังความสามารถเก่งพอ และได้รับสืบทอดชีวประวัติที่แท้จริงจากอาจารย์ของเขาหลิงเต้าจื่อ ระดับคนอย่างฮันเทียนไม่มีทางที่จะสู้ได้”จางเซิงเฉียวพูดอย่างมั่นใจ
“งั้นดีเลย คืนนี้ผมจะให้ไอ้ลู่เฉินนั่นตายทั้งเป็น” จางดาวเรนพยักหน้าพูด
นัยน์ตาจางดาวจงได้มีความเยาะเย้ยเลื่อนผ่าน เขาเชื่อว่าต่อให้ลู่เฉินแพ้ บ้านจางพวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรลู่เฉินอยู่ดี
เพราะยังไงเมื่อคืนนี้เขาก็ได้เห็นกับตาว่าเขากับเซ่ซูเจี๋ยเรียกพี่เรียกน้องกัน แถมยังไปชนแก้วด้วยตัวเอง นั่นมันเพื่อนสนิทกันชัดๆ
“ลู่เฉินมันก็แค่ตัวละครตัวน้อยๆตัวนึง ศัตรูที่แท้จริงของบ้านจางเรามีเพียงคนเดียวเท่านั้นนั่นก็คือเจ้าของเทคโนโลยีอี้ฉี” จางเซิงเฉียวเหล่ตาพูด
ครั้งนี้ฮันเทียนเชิญพี่ของเขาออกมาสู้กับลู่เฉิน จางเซิงเฉียวคิดไว้แล้วว่า รอให้ ตงฟางหลงได้เอาชนะลู่เฉินแล้ว เขาก็จะเชิญตงฟางหลงต่อสู้กับเจ้านายเทคโนโลยีอี้ฉี
เขาไม่เชื่อ ว่าขนาด ตงฟางหลงศึกท้าเทคโนโลยีอี้ฉีแล้ว เทคโนโลยีอี้ฉีจะเมินอีก
หากว่าเทคโนโลยีอี้ฉีแจ้งความก็ยิ่งดีไปเลย ทำให้ผู้มีพลังความสามารถเหล่านี้ขุ่นเคือง เขาเชื่อว่าต่อจากนี้เทคโนโลยีอี้ฉีอย่าคิดที่จะได้เป็นอยู่อย่างสุขอีก
“ใช่ เทคโนโลยีอี้ฉีนั่นเย่อหยิ่งเกินไปแล้ว หากว่า ตงฟางหลงสามารถให้บทเรียนกับพวกเขาได้ มันก็จะดีมากๆ” จางดาวจงพูด
สำหรับข้อเสนอนี้ เหล่าจางดาวจงก็ต่างพยักหน้าตอบเห็นด้วย
“คุณปู่ พวกเขามาแล้ว” ทันใดนั้นจางดาวเรนได้ชี้ไปยังกลุ่มคนข้างน้าแล้วพูด
เห็นเพียงทางออกสนามบิน ฮันเทียนเดินมาเป็นเพื่อนกับคนวัยกลางคนแล้วเดินหน้ามาหาพวกเขา
คนวัยกลางคนนั้นได้สวมเสื้อคลุมเต๋า มัดผมไว้ ใต้คางไว้นวลยาวประมาณสามนิ้ว แต่งตัวเหมือนคนเต๋า
เขานี่แหละพี่ของฮันเทียน ตงฟางหลง ผู้คนต่างเรียกกันว่าปรมาจารย์ตงฟาง
อาจจะเพราะว่าจะมีดารามายวี่โจวหรือเปล่า ขนาดนี้ ณ รอบๆสนามบินล้อมรอบเต็มไปด้วยนักข่าว นี่ก็สามารถเขียนประเด็นข่าวได้เรื่องนึงละเนี่ย สำหรับพวกเขาแล้ว นี่มันเป็นการได้ที่โชคที่ดีมากๆเลยหละ
“ปรมาจารย์ ท่านอาจารย์เป็นเต๋าจริงหรือ? หรือว่าเป็นนักแสดง” ทันใดนั้นได้มีนักข่าวหญิงคนหนึ่งอดที่จะถามไม่ได้ขึ้นมา
“ใสหัวไป” ตงฟางหลงได้ตะคอกขึ้นมาอย่างเย็นชา แล้วฝ่ามือได้ตบนักข่าวหญิงนั่นจนล้ม