พ่อจอมผยอง / คุณพ่อสายเปย์ - บทที่29 คุณจะให้ยามหิ้วตัวผมออกไปเหรอ
บทที่29 คุณจะให้ยามหิ้วตัวผมออกไปเหรอ
“กินข้าวไง มาที่นี่จะให้ทำอย่างอื่นเหรอ?” ลู่เฉินมองดูหลินอี้เจียด้วยความน่าขัน
คนอื่นๆก็พากันหัวเราะตามไปด้วย มาที่หยก36นี้ถ้าไม่ได้มากินข้าวจะทำอะไรได้อีก
เสี่ยวจิงเมื่อเห็นหลินอี้เจีย สายตาก็เป็นประกาย น้องเมียลูกพี่นี่น่ารักจริงๆ
“รู้หรือเปล่าว่าที่นี่เป็นที่สำหรับลูกค้าระดับไหน เงินที่ติดหนี้เขาแสนกว่าน่ะหาคืนได้ครบแล้วเหรอ?” หวังเสวี่ยมองดูลู่เฉินด้วยสายตาดูถูก โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงหนี้สินของเขาแล้วก็ยิ่งโมโห ติดหนี้มากมายแต่กลับมากินอาหารในที่หรูหราแบบนี้ คิดแล้วหงุดหงิดจริงๆ
ที่สำคัญคือเขามาคนเดียวโดยไม่พาหลินอี้จุนมาด้วย ทำให้เธอโกรธมากขึ้น
“นั่นนะสิ กินข้าวที่นี่มื้อหนึ่งอย่างน้อยก็หลักพัน พี่สาวฉันกว่าจะได้เลื่อนขั้นมาด้วยความลำบาก จะเอาเงินมาใช้จ่ายฟุ่มเฟือยแบบนี้ได้ยังไง” หลินอี้เจียพูดเสริม
“ผมมีเงินของตัวเอง” ลู่เฉินพูดด้วยความเบื่อหน่าย ในใจคิดว่าสองแม่ลูกคู่นี้วุ่นวายไม่เข้าเรื่องจริงๆ เขาเป็นแค่ลูกเขยเท่านั้น ต่อให้เป็นลูกชายแท้ๆก็ไม่ควรมาก้าวก่ายมากมายขนาดนี้
“มีเงินงั้นเหรอ มีเงินทำไมไม่ไปใช้หนี้เขา มีเงินทำไมไม่ซื้อรถ ซื้อบ้านหลังใหญ่ๆให้อี้จุนอยู่ ตั้งแต่อี้จุนแต่งงานกับแกก็ไม่เคยมีวันดีๆอยู่สบายเลย แต่งงานกับคนอย่างแก ลูกสาวฉันนี่ตาบอดไปหรือไง” หวังเสวี่ยโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ
ลู่เฉินไม่ได้พูดอะไร คำพูดของหวังเสวี่ยทำให้เขาคิดอะไรบางอย่างออก
ใช่แล้ว ตอนนี้เขาเป็นทายาทโดยชอบธรรม มีเงินทองตามต้องการ ไม่ควรปล่อยให้ภรรยาของเขาต้องลำบากแบบนี้
ลู่เฉินคิดอยู่ในใจ แล้วเดินไปหาพนักงานคนหนึ่ง
“เปิดห้องวีไอพีให้ผมหน่อย” ลู่เฉินพูด
พนักงานยังไม่ทันเอ่ยปากพูด เสียงของหวังเสวี่ยก็ดังขึ้น “อย่าไปสนใจเขาเลย แค่ห้องโถงก็ไม่มีปัญญาจะจ่ายแล้ว จะเอาที่ไหนไปเปิดห้อง”
“คะ?” พนักงานคนนั้นมองดูหวังเสวี่ยและลู่เฉิน เธอไม่รู้ว่าสองคนนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างไร ทำให้เธอไปต่อไม่ถูก
“เขาเป็นลูกเขยฉันเอง เป็นแค่ยามธรรมดาๆ ยังติดหนี้ชาวบ้านอยู่ตั้งหลายแสน ถ้าไม่กลัวเขาชิ่งหนีละก็ ไปเปิดห้องให้เขาสิ” หวังเสวี่ยพูดกับพนักงาน
“เอ่อ……คุณผู้ชายคะ ไม่ทราบว่ามีบัตรสมาชิกไหม?ถ้าไม่มีบัตรสมาชิกสามารถรับประทานอาหารได้ที่ห้องโถงนี้ เราจะเปิดห้องให้เฉพาะคนที่มีบัตรเท่านั้นค่ะ” คำพูดของเธอสื่อความหมายว่าเชื่อหวังเสวี่ยเข้าเต็มเปา
“ผมไม่มีบัตรสมาชิกหรอก” ลู่เฉินส่ายหน้า
“พี่เขยเธอนี่น่าขันจริงๆ ใครๆก็รู้ว่าที่นี่ถ้าไม่มีบัตรสมาชิกไม่สามารถเปิดห้องได้ เรื่องแค่นี้ยังไม่รู้แต่อยากเข้ามากิน” เพื่อนในชุดสูทของหลินอี้เจียพูดขึ้น
“ก็ใช่น่ะสิ ว่าไปเป็นแค่ยามธรรมดาๆคนหนึ่ง ไม่เข้าใจกติกาของที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” หลินอี้เจียพูด
“มิน่าล่ะ เป็นยามเงินเดือนน่าจะไม่กี่บาท มองดูแล้วคงมากินที่นี่เป็นครั้งแรก เก็บเงินมาหลายเดือนน่ะสิ” อีกคนพูดเสริม
เขาเป็นชายหนุ่มชื่อว่าตี๋ฟู่ แต่ไม่ใช่ลูกเศรษฐีดังชื่อ เป็นเพียงพนักงานระดับสูงคนหนึ่งในบริษัทเท่านั้น
แต่ถึงอย่างไรเงินเดือนก็มากกว่าคนทั่วไป สำหรับคนธรรมดานั้นถือว่าเขามีความสามารถระดับนึง
“ถ้าไม่มีบัตรสมาชิก จะนั่งทานได้แค่ห้องโถงนะคะ” พนักงานพูดซ้ำ
“ผมรู้จักผู้จัดการที่นี่ ให้เขามาพบผมแล้วเขาจะเปิดห้องให้ผมเอง” ลู่เฉินพูด
ร้านอาหารแห่งนี้เป็นเครือข่ายของกลุ่มแกรนด์ไฮแอทจวินเยวี่ย แม้ว่าจะไม่ใช้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุด แต่ก็มีหุ้นสี่สิบเปอร์เซ็นต์ เมื่อครั้งที่กลุ่มแกรนด์ไฮแอทจวินเยวี่ยจัดการประชุม เจ้าของและผู้จัดการร้านหยก36นี้ได้เดินทางไปด้วย คาดว่าคงจำเขาได้
“ขอโทษทีค่ะ ผู้จัดการของเราไม่มีเวลามาพบคุณ” พนักงานพูดอย่างไม่ไยดี
ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้คิดอะไร แต่เมื่อลู่เฉินจะขอพบผู้จัดการของเธอ นี่มันเป็นการกระทำที่ไร้เหตุผลชัดๆ ถ้าหากเธอเรียกผู้จัดการมาจริงๆเธอคงโดนตำหนิแน่นอน
“ยังไม่ไปอีก จะอยู่ให้ขายหน้าคนอื่นเขาทำไม?” หวังเสวี่ยพูดเหมือนลู่เฉินเป็นขยะชิ้นหนึ่ง ถ้าหลินอี้เจียไม่หลุดปากถึงความสัมพันธ์ของพวกเขา เธอคงไม่ยอมรับว่าเขาเป็นลูกเขยแน่ๆ ช่างขายหน้าจริงๆ
“นี่เพื่อน เรื่องบางเรื่องก็ต้องดูความสามารถของตัวเองด้วยนะ ผู้จัดการร้านอาหารหยก36ก็ถือว่าเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม ใครจะเจอก็เรียกมาเจอได้งั้นหรือ?” ตี๋ฟู่ช่วยหวังเสวี่ยพูด
“อ๋องั้นเหรอ ผมรู้แค่ว่าถ้าเชียวเจี้ยนรู้ว่าผมมา เขาจะต้องรีบออกมาต้อนรับผมแน่นอน” ลู่เฉินหันมายิ้มบอกกับตี๋ฟู่
“อะไรนะ นี่คุณจะมาแสดงตลกหรือไง?คุณเป็นใคร ผู้จัดการเชียวเป็นใคร ไม่คิดตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาของตัวเองบ้าง” เมื่อได้ยินคำพูดน่าตลกของลู่เฉินแล้วตี๋ฟู่ก็ขำด้วยท่าทางดูถูก
“คุณพี่เขย คำพูดแบบนี้ก็พูดออกมาได้ ฉันละชื่นชมคุณจริงๆ” หลินอี้เจียพูดอย่างเบื่อหน่าย
“ช่างเถอะอี้เจีย ผมว่าพี่เขยคุณสมองน่าจะมีปัญหานะ คนแบบนี้เราอยู่ให้ห่างๆไว้จะดีกว่า เดี๋ยวจะพลอยโดนหัวเราะไปด้วยเปล่าๆ” ตี๋ฟู่พูดแล้วส่ายหัว
“คุณหวังครับ ผมว่าเรามาคุยเรื่องสัญญากันต่อดีกว่า” ตี๋ฟู่เหล่มองลู่เฉินแล้วเดินกลับมาที่โต๊ะ
“ขายหน้าจริงๆ” หวังเสวี่ยพูดขึ้นและไม่สนใจลู่เฉินอีกต่อไป
เมื่อเห็นทั้งสามคนเดินกลับไปที่โต๊ะ ลู่เฉินก็รู้สึกว่าโลกนี้เงียบสงบไปเยอะทีเดียว
“ลูกพี่เฉิน เราไปกินที่อื่นกันดีไหม” เสี่ยวจิงพูดกระซิบข้างลู่เฉิน เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าลู่เฉินจะมีเงินจ่ายจริงไหม
“ถ้าผมบอกว่าผมเป็นผู้ถือหุ้นที่นี่รายหนึ่งล่ะ เชื่อไหม?” ลู่เฉิงยิ้มถาม
เสี่ยวจิงตกใจแล้วพูดว่า “ลูกพี่เฉินนี่มันเป็นเรื่องตลกที่ไม่ตลกเลยนะ”
“ถ้าคุณเป็นผู้ถือหุ้นของร้านนี้ ฉันก็เป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งของยวี่โจวละ” พนักงานคนนั้นพูดออกมาด้วยความดูถูกดูแคลนลู่เฉิน
ลู่เฉินคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาถูกพนักงานบริการพูดแทรกขึ้นมาว่า “คุณผู้ชายคะ หากต้องการทานอาหารก็เชิญไปนั่งที่ห้องโถง หากไม่ทานก็เชิญออกไปจากร้าน อย่ารบกวนลูกค้าคนอื่นและการทำงานของเรานะคะ”
เมื่อเห็นพนักงานบริการออกคำสั่งทางอ้อมแบบนี้ เสี่ยวจิงก็รู้สึกทำตัวไม่ถูก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าที่นั่งอยู่บริเวณห้องโถงจับจ้องมาที่พวกเขา เขาอยากจะออกจากที่นี่ไปทุกวินาที
“คนหน้าด้านหน้าทนเห็นมาเยอะแล้ว แต่ไม่เคยเห็นใครด้านขนาดนี้มาก่อน ไม่มีปัญญาจ่ายเงินกินแล้วยังทนหน้าด้านเหมือนจะขอเขากิน นี่ต้องไร้ศักดิ์ศรีขนาดไหนถึงจะทำได้เนี่ย” เมื่อลูกค้าคนอื่นเห็นพนักงานไล่พวกเขาทั้งสองไปแต่พวกเขาไม่ยอมไปก็เริ่มพูดจาเสียดสี
“คุณพี่คะ คนคนนี้เป็นลูกเขยคุณพี่จริงๆเหรอ ทำไมถึงยอมยกลูกสาวให้คนแบบนี้ได้?” ลูกค้าที่นั่งโต๊ะติดกับหวังเสวี่ยพูดขึ้น
หวังเสวี่ยเองเมื่อได้ยินดังนั้นก็เลือดขึ้นหน้า สายตาจ้องเขม็งมาที่ลู่เฉิน
ช่างน่าอับอายจริงๆ
ลู่เฉินไม่อยากเสียเวลากับคนพวกนี้ ตัดสินใจหยิบมือถือขึ้นมาจะโทรหาเจ้าของร้านอาหาร
ทันใดนั้นมีชายวัยกลางคนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นเดินเข้ามาถามว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
ชายคนนั้นมองเห็นหน้าลู่เฉินจากด้านข้าง แล้วมองไปที่เสี่ยวจิง
“ผู้จัดการเชียวคะ คนคนนี้ไม่มีเงินจ่ายแต่ไล่ยังไงก็ไม่ยอมไป” พนักงานชี้นิ้วมาทางลู่เฉินแล้วฟ้องเจ้านาย
“เรียกยามให้มาหิ้วตัวออกไป” ชายวัยกลางคนนั้นขมวดคิ้วเเล้วพูดขึ้น
“เมื่อสักครู่คุณเรียกร้องขอพบผู้จัดการเชียวไม่ใช่เหรอ ผู้จัดการเชียวอยู่ตรงนี้แล้วไง ทำไมยืนนิ่งละ?” ลูกค้าคนหนึ่งพูดเยาะเย้ยลู่เฉิน
หวังเสวี่ยและหลินอี้เจียอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน หลายสายตาจับจ้องมาที่พวกเธอ
ในตอนนี้พวกเธอรู้สึกคิดผิดจริงๆที่เอ่ยไปถึงความสัมพันธ์ของพวกเขา อับอายขายหน้าจริงๆ
ในขณะที่พนักงานกำลังจะไปเรียกยามมาหิ้วตัวเขาออกไป ลู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่ชายวัยกลางคนแล้วถามว่า “เชียวเจี้ยน คุณจะเรียกยามมาหิ้วตัวผมออกไปเหรอ?”