พ่อจอมผยอง / คุณพ่อสายเปย์ - บทที่34 หลินอี้จุนเริ่มสงสัย
บทที่34 หลินอี้จุนเริ่มสงสัย
ลู่เฉินรูดบัตรเรียบร้อยแล้วตามด้วยสัญญาซื้อขายดำเนินไปอย่างรวดเร็ว พนักงานฝึกหัดคนนั้นยังอยู่ในอาการมึนงง
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นก็มาถึงขั้นตอนการทดลองขับ พนักงานเก่าแก่คนอื่นๆยังไม่เชื่อในสายตาตัวเอง ลากพนักงานฝึกหัดมาถามว่า
“เป็นยังไงล่ะ เขาไม่มีเงินจ่ายใช่ไหม?”
“ใครบอกละ พี่ชายลู่รูดบัตรเรียบร้อย ตอนนี้ฉันกำลังจะพาไปทดลองขับ” เธอยิ้มด้วยความดีใจ
เมื่อเห็นเธอพาลู่เฉินไปทดลองขับรถ พนักงานคนอื่นก็พากันเสียอกเสียใจเหมือนกับขาดรายได้ไปร้อยล้าน
ลูกค้าเคสที่ตกลงซื้อง่ายดายแบบนี้ พวกเธอกลับปล่อยให้หลุดมือไปได้ เพราะมองเขาแต่การแต่งกายภายนอกจึงไม่ได้ไปต้อนรับ นี่คงเป็นสำนวนที่โบราณว่า มีตาหามีแววไม่
“เป็นไปไม่ได้ มันไม่มีเงินนี่ ยังติดหนี้คนอื่นอยู่ตั้งเยอะแยะ ผมไม่เชื่อ!” หูหงพูดด้วยสีหน้าไม่ดีนัก และรีบวิ่งตามไป
เมื่อเห็นท่าทางอันร้อนรนของหูหง พวกเธอก็แสดงท่าทางเบื่อหน่าย
ไม่ใช่ว่าพวกเธอจะสงสัยในความสามารถของหูหง แต่ขำที่หูหงจะคุยโม้ก็ไม่สำรวจข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามให้ชัดเจนเสียก่อน
“ลู่เฉิน แกเอาเงินที่ไหนมาซื้อA6?” หูหงเดินไปถามลู่เฉิน
ลู่เฉินมองมาที่หูหงด้วยสายตาประหลาดใจ หูหงเป็นอะไรกับเขา ทำไมเขาต้องรายงานให้รู้ว่าเอาเงินมาจากไหนซื้อรถ?
“คุณเป็นใครครับ พวกเราสนิทกันเหรอ?” ลู่เฉินพูดหยอกเขา
เมื่อเห็นการตอบสนองของลู่เฉิน หูหงสีหน้าซีดลด แล้วพูดกับเขาว่า
“ลู่เฉิน ฉันให้แกหกแสน เราทำการแลกเปลี่ยนกัน ตกลงไหม”? เขาสูดหายใจเข้า
ลู่เฉินยิ้มที่มุมปากแล้วหัวเราะด้วยความเยือกเย็น จากนั้นเปิดประตูขึ้นรถไป
“เจ็ดแสน!” หูหงกัดฟันพูด
“แปดแสน รวมทั้งร้านเราจะให้พื้นที่ขายของกับแม่ยายแกด้วย!” เมื่อเห็นลู่เฉินทำท่าจะติดเครื่องรถไป หูหงก็ยิ่งร้อนใจ
“ช่วยปัดแมลงวันตัวนี้ไปไกลๆผมได้ไหม รำคาญจริงๆ” ลู่เฉินพูดกับเสี่ยวจิง
“ได้ครับลูกพี่เฉิน” เสี่ยวจิงพูดจบก็หันหลังเดินตรงไปที่หูหง
“คุณจะไปด้วยตัวเอง หรือให้ผมเชิญไปครับ?” เสี่ยวจิงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“ลู่เฉิน แปดแสนก็มากเกินไปสำหรับแกแล้วนะ มากกว่านี้แกจะเอาเงินไปทำอะไรกัน?” หูหงตามไปพูดที่กระจกรถ
เสี่ยวจิงไม่พูดให้มากความ เขาดึงคอเสื้อของหูหงขึ้นมา
“แม่งเอ้ย ปล่อยนะ ฉันจะเรียกคนมาฆ่าแกคอยดู!” หูหงพูดขึ้นเสียง
เสี่ยวจิงไม่ใส่ใจคำพูดของเขา กลับยกตัวเขาลอยขึ้นมาแล้วโยนไปข้างๆ
เมื่อเห็นหูหงถูกเสี่ยวจิงโยนไปเช่นนั้น พนักงานสาวคนอื่นๆก็พากันเบิกตากว้าง แล้วมองไปที่เสี่ยวจิง
จากเดิมรูปร่างเขาก็ดูดีอยู่แล้ว ประกอบกับท่าทางเมื่อครู่ บรรดาสาวๆต่างมองเขาตาเป็นมัน
โดยเฉพาะพนักงานฝึกหัดคนนั้นใจเต้นโครมคราม
เสี่ยวจิงขึ้นรถ ลู่เฉินติดเครื่องแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว
“ลู่เฉิน ไอ้บ้า แกต้องเสียใจภายหลังแน่!” เมื่อเห็นทั้งสองจากไป หูหงได้แต่ด่าตามหลัง
“คุณชายหู ไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ?” พนักงานที่ชื่อจื่อหลานเดินมาพยุงหูหงขึ้น
“ไปให้พ้น!” หูหงตะคอกใส่แล้วเดินจากไป
“ทำเป็นอวดดี เชอะ!เมื่อกี้ถูกเค้าเตะเหมือนหมา ถ้าแน่จริงทำไมไม่ลุกขึ้นมาสู้ล่ะ?” จื่อหลานเยาะเย้ยตามหลังหูหง
พนักงานคนอื่นได้แต่ผงกหัวตามด้วยความเห็นเดียวกัน และรู้สึกประหลาดใจในตัวลู่เฉินมาก
เงินตั้งแปดแสนยังไม่เอา เขาเป็นใครกัน?
……
เมื่อหลินอี้จุนกลับถึงบ้าน เธออารมณ์เสียไม่น้อยเนื่องจากได้ยินเรื่องราวใส่ร้ายเธอที่บริษัทอีกครั้ง จะไม่ให้เธอโกรธได้อย่างไร
กระทั่งลู่เฉินรับฉีฉีกลับมาถึงบ้าน เธอก็ยังไม่หายอารมณ์เสีย
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” ลู่เฉินถาม
“ไม่ต้องยุ่งกับฉัน” หลินอี้จุนพูดใส่ลู่เฉินด้วยอารมณ์โมโห โดยเฉพาะคิดถึงเรื่องบรรดาเพื่อนร่วมงานพูดถึงลู่เฉินยอมประเคนเธอถึงบนเตียงให้ผู้บริหารเสี้ยแล้ว เธอก็มองลู่เฉินด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ
ลู่เฉินโบกมือแล้วเดินไปทำกับข้าว
“คุณแม่ขา คุณพ่อซื้อรถใหม่ด้วย เพื่อนๆเห็นรถใหม่คุณพ่อก็อิจฉากันใหญ่เลยละค่ะ” ฉีฉีวิ่งมาอวดให้หลินอี้จุนฟัง
“คะ?” หลินอี้จุนเงยหน้ามองไปที่ลู่เฉิน
“ถูกลอตเตอรี่หรือไงคะ?มีเงินไปซื้อรถ รถอะไร?” เธอขมวดคิ้วถาม
ถูกลอตเตอรี่งั้นเหรอ?
ลู้เฉินยิ้มแล้วพูดว่า “ประมาณนั้น ซื้อA6รุ่นใหม่มา”
“A6รุ่นใหม่ราคาห้าแสนกว่านะ คุณถูกเท่าไหร่กัน?” หลินอี้จุนถามด้วยความแปลกใจ
“เอาเป็นว่าถูกไม่น้อยก็แล้วกัน” ลู่เฉินหัวเราะ
หลินอี้จุนจ้องตาลู่เฉินอยู่กว่าสิบวินาที จากนั้นพูดว่า “พาฉันไปดูรถหน่อยสิคะ”
“ได้เลยครับ” ลู่เฉินตอบแล้วก้มลงอุ้มฉีฉีเดินพาหลินอี้จุนออกไปหน้าประตู
เมื่อถึงที่จอดรถของหมู่บ้าน ที่นี่มีคนมีเงินอยู่ไม่มากนัก รถที่ขับก็ราคาไม่เกินแสนสองแสน หลินอี้จุนมองเห็นรถA6คันใหม่มาแต่ไกล
“รถคันนี้ให้ฉันยืมขับก่อนได้ไหม เดือนหน้าเงินเดือนออกฉันจะซื้อให้คุณใหม่อีกคันแล้วกันนะ” เธอพูดขึ้นเมื่อเดินมาถึงหน้ารถ
ภายในหนึ่งเดือนนี้เธอเซ็นสัญญาสำเร็จถึงสองโครงการ ค่าคอมมิชชันน่าจะได้ไม่ต่ำกว่าห้าแสน เธอวางแผนซื้อรถในประเทศสักสองแสนให้ลู่เฉินขับ
“ได้เลยครับ” ลู่เฉินยิ้มแล้วส่งกุญแจรถให้หลินอี้จุน
ที่เขาซื้อรถคันนี้มา วัตถุประสงค์หลักก็คือให้หลินอี้จุนใช้ขับไปพบปะลูกค้าอยู่แล้ว
เมื่อหลินอี้จุนรับกุญแจไป ในใจรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ความโกรธแค้นเมื่อครู่ก็จางหายไปไม่น้อย
“ผมขึ้นไปทำกับข้าวก่อนนะ คุณพาฉีฉีไปขับรถเล่นก่อนไหม” ลู่เฉินพูด
“ได้ค่ะ งั้นฉันพาฉีฉีไปขับรถเล่นรอบๆนี้เดี๋ยวนึงนะ” หลินอี้จุนพยักหน้า เธอเองก็อยากลองขับรถใหม่อยู่เหมือนกัน
เมื่อตอนก่อนที่ลู่เฉินยังไม่ล้มเหลวด้านธุรกิจ เธอเองก็เคยมีรถคันละแสนห้าอยู่คันหนึ่ง แต่เธอยังไม่เคยขับรถนำเข้าอย่างA6เลยสักครั้ง
“ครับผม” ลู่เฉินตอบรับแล้วเดินขึ้นตึกไป
ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง หลินอี้จุนพาฉีฉีกลับมา ลู่เฉินก็เตรียมอาหารเสร็จพอดี
ขณะเดียวกันโทรศัพท์มือถือของหลินอี้จุนก็ดังขึ้น หลังเธอรับสายก็โมโหจนปาโทรศัพท์ลงบนโซฟา
“ใครโทรมา?” ลู่เฉินถามด้วยความสงสัย
“ฟ่านหมิง คนเห็นแก่ตัว วันนี้ฉันเซ็นโครงการวิลล่าทะเลสาบจิงหลงสำเร็จใช่ไหม แต่เมื่อสักครู่เขาโทรมาบอกว่าจะรับผิดชอบโครงการนี้ต่อเอง นี่มันตั้งใจแย่งผลงานกันชัดๆ เลย” หลินอี้จุนโมโหมาก
“ฟ่านหมิงเหรอ?วางใจได้เลยคุณ โครงการนี้นอกจากคุณแล้วคนอื่นจะไม่ได้รับสิทธิ์ในการทำความร่วมมือกับกลุ่มแกรนด์ไฮแอทจวินเยวี่ย พรุ่งนี้คุณลางานหนึ่งวันนะ รับรองฟ่านหมิงต้องมาขอร้องคุณให้รับผิดชอบโครงการต่อแน่นอน” ลู่เฉินยักคิ้วตอบ
หลินอี้จุนจ้องมองเขาอยู่นานสองนาน จึงถามขึ้นว่า “คุณแน่ใจขนาดนี้เชียว?”
ลู่เฉินยิ้มแล้วตอบว่า “ผมรู้จักกับผู้จัดการหวังนะ ผมเคยช่วยเหลือเขามาก่อน ถ้าผมขอให้เขาช่วยละก็เขาคงยินดีแน่นอน”
หลินอี้จุนกึ่งเชื่อกึ่งสงสัยพูดว่า “นี่หมายความว่าครั้งที่แล้วโครงการกรีนทาวน์ และเรื่องกลุ่มแกรนด์ไฮแอทจวินเยวี่ยช่วยบริษัทแม่ฉัน คุณก็ให้ผู้จัดการหวังช่วยเหรอคะ?”