พ่อบ้านจักรพรรดิปีศาจ - ตอนที่ 51
สลัมในเมืองหลวงเป็นมุมมืดสุดของจักรวรรดิ คนโลภ คนดี คนขี้โกงและคนทุกประเภทปะปนกันที่นี่ คนที่มีเงินจะไม่เลือกใช้ชีวิตที่นี่
มีแค่คนที่ใช้ชีวิตไปวันๆกับคนจนจึงอาศัยที่นี่ รอวันที่จะมีอะไรมาปล้นชีวิตพวกเขาไป
แต่ในมุมเลวร้ายสุดของสลัมคือลานบ้านที่ผู้คนกลัวจนถึงจุดที่กลัวจะก้าวผ่านประตูมัน แม้กระทั่งคนที่เลวทรามและชั่วช้าสุดก็ยังกลัวที่จะเข้าบ้านนั้น
ลานบ้านนี้ไร้คนอาศัย แต่ยามค่ำคืนจะมีเสียงกระซิบน่าขนลุก บางคนใจกล้าเข้าไปตรวจสอบ แต่มันราวกับร่องรอยของพวกเขาในโลกนี้ได้หายไปตั้งแต่วินาทีที่ก้าวเท้าเข้า
เร็วๆนี้ ผู้บ่มเพาะหลอมกระดูกบางคนกับผู้บ่มเพาะนภาได้บุกเข้าไปโดยไม่กลัวสิ่งชั่วร้าย
หลังจากนั้นก็ไร้ข่าวคราว พวกเขาหายไปเช่นเดียวกัน ตั้งแต่นั้น บ้านหลังนั้นก็กลายเป็นสิ่งต้องห้าม
ในคืนพระจันทร์เต็มดวง เมื่อสลัมเงียบผิดปกติ คนกลับบ้านเร็วกว่าปกติและอยู่ให้ห่างจากบ้านผีสิงมากที่สุด
แต่ตอนนั้นเอง โคมไฟพลันส่องสว่างในลานบ้าน มันคล้ายกับไฟผี กะพริบไม่หยุด
ในห้องเละเทะของบ้านหลังนัั้น ผู้อาวุโสชุดคลุมขาวนั่งด้วยท่าทางพึงพอใจบนเก้าอี้ โบกพัดขนห่าน ดวงตาของเขามองตรงนั้นที ตรงนู้นที และปากของเขาก็ยกขึ้นตรงมุม มันราวกับว่าความทุกข์และความสุขของโลกอยู่ใต้เขา
ชายชราสองคนยืนด้านหลัง คนหนึ่งผมดำ คนหนึ่งผมขาว ดวงตาพวกเขาปิดแต่กลิ่นอายทรงพลังกลับบ่งชี้ว่าพวกเขาคือยอดฝีมือ ป้องกันสิ่งมีชีวิตใดจากการเข้าใกล้พวกเขา
แม้แต่ด้วงไร้พิษสงก็ยังพบว่าหัวใจดวงน้อยพวกมันเต็มไปด้วยความกลัว
ซวบ!
เสียงทำลายความเงียบและชายชุดดำก็พลันปรากฏด้านนอกห้อง เขามีหมวกไม้ไผ่ที่ปิดบังหน้าตาเขา
ชายชราที่นั่งอยู่หยุดพัดและยิ้ม”ท่านเจ้าหุบเขา ความคืบหน้าเป็นเยี่ยงไรบ้าง?”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่คือเจ้าหุบเขาแห่งโหยวหมิงกู่ โหยวหวันซาน!
โหยวหวันซานถอนหายใจ”ความพยายามหลายสิบปีพังพินาศแล้ว จักรพรรดิได้สั่งให้โหยวหมิงกู่ออกห่างเมืองเนตรสายลม เช่นเดียวกับตระกูลอื่น เขาต้องรู้อะไรมาแน่”
“โอ้?”ชายชราเลิกคิ้ว”จักรพรรดิกำลังวางแผนเริ่มปฏิบัติการไข่มุกลับแล้วสินะ?”
“ข้าเดาว่าใช่”
ใบหน้าของโหยวหวันซานเริ่มโกรธ”ครั้งก่อนพวกมันโชคดี แต่ครั้งหน้า มันจะไม่ง่ายขนาดนี้ จักรพรดริอยากสร้างตระกูลที่แปด แต่เราจะดูว่าตระกูลนั่นสามารถมีชีวิตอยู่ได้จนถึงวันนั้นไหม!”
“ฮ่าๆๆ ท่านเจ้าหุบเขา อย่าโมโหไปเลย แพ้ก็คือแพ้ จะหาข้ออ้างไปใยเล่า?”ชายชรายังสงบ แต่คำพูดของเขากลับแหลมคม เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม”โหยวหมิงกู่คือหนึ่งในเจ็ดตระกูลใหญ่ แต่มันก็ยังจัดการกับตระกูลสามัญสามตระกูลไม่ได้ เวลาแห่งการล่มสลายคงอยู่ใกล้เพียงเอื้อมเป็นแน่”
โหยวหวันซานหน้าชา ระเบิดพลังระดับนภาลี้ลับขั้นสูงสุดอกมา ระเบิดหน้าต่างจนแหลก ปล่อยแรงกดดันทั้งหมดใส่ชายชรา
“จูเก่อฉางเฟิง เจ้าคือคนที่บอกข้าถึงปฏิบัติการไข่มุกลับ มันเป็นเจ้าที่บอกว่าจักรพรรดิอยากช่วยสร้างตระกูลที่แปด แผนนับสิบปีมาจากเจ้า แล้วเจ้าจะพูดแบบนี้ได้ไง?”
โหยวหวันซานคำราม”ตาย!”
รอยยิ้มไม่เคยหายไปจากหน้าของชายชรา เขากลับนั่งพัดอย่างเชื่องช้า
บูม!
เพียงเมื่อแรงกดดันเข้ามาใกล้ ผู้อาวุโสขาวดำด้านหลังเขาก็ลืมตาขึ้น
ตอนนั้นเอง ดวงตาของคนหนึ่งพลันเปล่งแสงสีดำ อีกคนสีขาว ปะทะกับคลื่นพลังของโหยวหวังซาน ทำให้เกิดเสียงสั่นสะเทือน
ทัั้งสลัมสั่นสะเทือน
โหยวหวันซานรู้สึกถึงความหวานในลำคอและกระอักเลือดออกมาจนหน้าซีดเซียว
สองผู้อาวุโสหลับตาอีกครั้ง ขณะที่จูเก่อฉางเฟิงสะบัดพัดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังคงยิ้มเหมือนเดิม
โหยวหวันซานมองผู้อาวุโสขาวดำอย่างเหลือเชื่อ”ผู้อาวุโสหยินหยาง?”
จูเก่อฉางเฟิงพยักหน้า”ท่านเจ้าหุบเขามีความรู้ไม่เบา ผู้อาวุโสเหล่านี้มไ่ปรากฏตัวมานับร้อยปี มันน่าแปลกใจที่ท่านยังจำพวกเขาได้”
เขากัดฟันด้วยความโกรธ โหยวหวันซานหอบหายใจขณะพ่นเลือดออกมา จากนั้นก็มองผู้อาวุโสขาวดำด้วยความกลัว
“เจ้าสมกับเป็นจอมปราชญ์อันดับหนึ่งแห่งเทียนอวี่ ผู้นำแห่งสี่เสาหลัก อัครมหาเสนาบดีจูเก่อ การสามารถเชิญสัตว์ประหลาดเหล่านี้ให้ออกภูเขาได้ แม้กระทั่งฟางฉิวไป๋ก็คงเทียบกับเจ้าไม่ได้”
“ฮ่าๆๆ ท่านเจ้าหุบเขาโหยวก็พูดเกินไป ข้าไม่คู่ควรกับฉายาเช่นนี้ ข้าไม่กล้าเผชิญหน้ากับราชวงศ์ในที่แจ้ง”จูเก่อฉางเฟิงหัวเราะสั้นๆ แต่ความมั่นใจที่เขาแสดงไม่สั่นคลอน
โหยวหวันซานแค่นเสียง”อัครมหาเสนาบดีจูเก่อช่างถ่อมตน ใครในจักรวรรดิเทียนอวี่ที่สามารถเทียบเคียงอำนาจเจ้าได้?แม้กระทั่งราชวงศ์ก็ไม่สามารถ!”
“เห้อ ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านถึงล้มเหลวในเมืองเนตรสายลม ในโลกนี้ ความแข็งแกร่งและความอ่อนแอไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า!”จูเก่อฉางฟางถอนหายใจขณะแหงนมองฟ้า”แถม ข้าไม่ใช่จอมปราชญ์อันดับหนึ่งในเทียนอวี่”
“ถ้าไม่ใช่เจ้า งั้นเป็นใคร?’
“คนคนนั้นอยู่เหนือข้า!”จูเก่อฉางเฟิงชี้ขึ้นฟ้า
โหยวหวันซานดูหมิ่น”เจ้ากำลังพูดถึงจักรพรรดิชรานั่น?”
“ชรา?”
จูเก่อฉางเฟิงหัวเราะ”ข้าเป็นอัครมหาเสนาบดีในราชสำนักมาสี่สิบปีแล้ว และข้าก็ยังอ่านเขาไม่ออก”
“ท่านเจ้าหุบเขา กลับไปเถอะ ทำให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดปัญหาอีก!”
จูเก่อฉางเฟิงสะบัดพัดขณะที่สวมสีหน้าดั่งเดิม”ระวังอย่ามอบโอกาสให้ตาแก่นั่นลบเจ้าออกจากโลก!”
“ฮึ่ม อำนาจของราชวงศ์ยากจะจัดการกับโหยวหมิงกู่ของข้าได้”โหยวหวันซานแสยะยิ้ม แต่เมื่อเห็นแววตาเย็นชาของจูเก่อฉางเฟิง เขาก็ไม่พูดต่อ แค่ป้องมือและหายไป
หลังโหยวหวันซานจากไป จูเก่อฉางเฟิงก็สูดหายใจลึก แหงนมองฟ้า
“ฝ่าบาท แผนการของท่านคืออะไร?ปฏิบัติการไข่มุกลับคืออะไร?”
…
สามเดือนต่อมา ในป่าหมอกที่ตีนเขาลมดำ
จั๋วฝานยืนใกล้กับบ่อเลือดเย็นและถือน้ำเต้า มือของเขาทำท่า และจุดสีแดงก็บินจากบ่อเข้าน้ำเต้า
รอยยิ้มผุดบนหน้าจั๋วฝาน
บ่อเลือดนี้เป็นสิ่งที่จั๋วฝานสร้างเพื่อเลี้ยงหนอนหิมะบ่อเย็น แม้ชื่อมันควรจะเป็นหนอนโลหิตบ่อเย็นก็ตาม
จั๋วฝานใช้เคล็ดวิชาลับจากเคล็ดวิชาลับเก้าสมถะเพื่อฝึกสิ่งมีชีวิตมารตัวนี้ มันยังรักษาความสามารถปรสิตไว้แต่ก็ยังเชื่อมต่อกับจั๋วฝานผ่านกระแสจิต ตอนนี้มันสามารถร่วมกับเขาเพื่อสำแดงวิชาลับจากเคล็ดลับเก้าสมถะ คำสาปโลหิตได้
คำสาปโลหิตคือวิธีการควบคุมคนของผู้บ่มเพาะปีศาจ เมื่อเขาร่ายคำสาปโลหิตใส่ใคร พวกเขาจะเชื่อฟังเขาจนตาย ถ้าไม่ คำสาปโลหิตจะลุกเป็นไฟและเหยื่อจะตายจากเลือดระเบิด
แต่คำสาปโลหิตมีข้อบกพร่องร้ายแรง ถ้าเป้าหมายแกร่งกว่าคนร่าย คนร่ายจะโดนกลืนกิน นี่ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับจั๋วฝาน
แต่ตอนนี้ที่จั๋วฝานมีหนอนโลหิต ข้อบกพร่องจึงโดนกำจัด เนื่องจากหนอนโลหิตสามารถอาศัยในร่างกายเป้าหมายได้ พวกเขาจึงไม่มีวันลบคำสาปโลหิตได้
ด้วยสิ่งมีชีวิตมารพิเศษตัวนี้ จั๋วฝานจึงมีความสามารถควบคุมยอดฝีมือกลุ่มใหญ่ให้ช่วยเหลือเขาได้
ถ้ามีใครได้ยินสิ่งนี้ พวกเขาคงมาฆ่าจั๋วฝานไปแล้ว แม้กระทั่งยอดฝีมือระดับเซียน สิ่งมีชีวิตมารตัวนี้ก็ยังน่ากลัว
ผู้ฟังทุกคนจะตัวสั่นเมื่อได้ยินว่ามีคนสามารถทำให้ยอดฝีมือเป็นทาสได้
ด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายบนหน้า จั๋วฝานนำน้ำเต้าที่เต็มไปด้วยหนอนโลหิตออกจากป่าหมอกไป เขาทำท่ามือและหมอกของป่าก็เปลี่ยนเป็นสีเลือด ห้ามทุกคนเข้า
นี่คือพื้นที่เลี้ยงของเขา ทำไมเขาถึงจะปล่อยให้คนอื่นหาเจอ?
จั๋วฝานเก็บน้ำเต้าเข้าแหวน กลับไปภูเขาลมดำ ระหว่างทาง เขาให้ความสนใจกับหญ้า กับต้นไม้ทุกต้นเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อย
ตลอดสามเดือนที่ผ่านมา นอกจากราชวงศ์จะส่งหินปราณนับพันกับเม็ดยานับร้อยมาให้ ศาลาเฉียนหลงยังส่งหินปราณมาให้อีกสองพันก้อน
เขามีหินปราณในมือมากพอจะอวดทักษะปรมาจารย์ค่ายกลได้ แถม ด้วยค่ายกลธรรมชาติที่นี่ เขาสามารถตั้งค่ายกลป้องกันที่เหมาะสมได้ต่อให้ไม่มีหินปราณมากนัก
ทางตะวันออกของภูเขาลมดำคือตำแหน่งมังกรฟ้าภายใต้ธาตุไม้ มันเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังชีวิต เช่นนั้น จั่วฝานจึงตัั้งค่ายกลระดับห้า ค่ายกลมังกรพิษ พุ่มไม้พิษเติบโตขึ้นภายในค่ายกลและพิษเหนือพวกมันจะไม่มีวันกระจัดกระจาย แม้กระทั่งยอดฝีมือนภาก็ยังยากจะหลบหนีไปพร้อมชีวิต
ทางตะวันตกคือตำแหน่งเสือขาวภายใต้ธาตุเหล็ก มันคือสถานที่ที่เต็มไปด้วยพืชแหลมคมและขนาดใหญ่ จั๋วฝานตั้งค่ายกลระดับห้า ค่ายกลทองเจิดจรัส ดวงอาทิตย์เก้าดวงสว่างภายในค่ายกล ทำให้ไม่มีใครสามารถลืมตาเดินเข้ามาได้ แสงสีทองแต่ละดวงเหมือนดาบแหลม สามารถปล้นชีวิตของคนได้
ทางใต้คือตำแหน่งวิหคเพลิงของธาตุไฟ เต็มไปด้วยปราณแผดเผา จั๋วฝานตั้งค่ายกลระดับห้า ค่ายกลเพลิงทมิฬ ไฟภายในนั้นคือไฟปีศาจที่จะกัดกร่อนกระดูก เมื่อเข้าตัว มันยากที่จะเอาออกและมันจะไม่หยุดกัดกินจนกว่าเป้าหมายจะกลายเป็นขี้เถ้า
ทางเหนือคือตำแหน่งเต่าดำ ธาตุน้ำ เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ จั๋วฝานตั้งค่ายกลระดับห้า ค่ายกลเงาน้ำแข็ง ลมแรงพัดภายในอาณาเขตของค่ายกล สร้างภาพลวงตาไร้สิ้นสุด ใครก็ตามที่เข้ามาจะหลงทางและหนาวตาย
จั๋วฝานไม่บอกใครถึงค่ายกลใหม่ทั้งสี่ แต่เนื่องจากวันนี้คือวันที่เขาจะออกเดินทาง เขาจึงต้องมอบวิธีควบคุมค่ายกลให้กับคนที่เขาไว้ใจ…