พ่อบ้านจักรพรรดิปีศาจ - ตอนที่ 82
จั๋วฝานกางปีกเขาท่ามกลางหมู่เมฆ ลอยเหมือนเทพเจ้ากำลังก้มมองมด ในมือเขา เขากำหัวใจที่ยังเต้นอยู่
แต่เจ้าของหัวใจนี้พบกับจุดจบเขาไปนานแล้ว เป็นได้แค่ศพแข็งทื่อ ไม่มีวันได้พบกับความสงบสุขอีกต่อไป
ผู้ชมต่างแหงนหน้าด้วยความตกใจแต่พอเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของจั๋วฝาน พวกเขาก็ถึงกับลืมหายใจ ความกลัวแทบจะเห็นได้ชัดในหมู่ผู้คุ้มกันของโหยวหมิงกู่
เพียงแค่การโจมตีเดียว ปีศาจเจ้าเล่ห์ จอมปราชญ์อันดับหนึ่งแห่งโหยวหมิงกู่ โหยวกุ่ยฉีก็ถึงกับสิ้นชื่อ
เซี่ยเทียนหยางปฏิเสธสิ่งที่เขาเห็น แม้แต่เจี้ยนซุยเฟิงก็ยังเต็มไปด้วยความกลัวตอนแหงนมองคนหนุ่มบนฟ้า
“สัตว์ประหลาด!”เจี้ยนซุยเฟิงพึมพำ
จั๋วฝานคลายกำมือและทิ้งหัวใจลงพื้น
แต่การกระทำแสนธรรมนี้ได้เข้าครอบงำหัวใจของทุกคน
ขณะที่สายตาเย็นชาของจั๋วฝานกวาดมองฝูงชน พวกเขาก็ลดหัวลงด้วยความกลัว กลัวว่าปีศาจร้ายจะจ้องมองพวกเขา
แต่จั๋วฝานกลับแค่หัวเราะ”เจ้าหมอนั่นคงหนีหางจุกตูดกลับบ้านไปแล้ว เขาหลุดมือข้าไปอีกแล้ว”
ทันใดนั้น เขาก็บินโฉบลงมา ทำให้ผู้คนถอยหนี แต่เขากลับบินผ่านไปหาเสวี่ยหนิงเซียงและจับนางไว้
เสวี่ยหนิงเซียงปล่อยเสียงร้องสั้น ๆ ก่อนถูกพาขึ้นฟ้า จากนั้นทั้งคู่ก็หายวับไป
ที่โล่งนอกเมืองชิงหมิง สายฟ้าแลบ เผยให้เห็นเสวี่ยหนิงเซียงกับจั๋วฝาน ขณะที่เขาปล่อยนางลงมือ นางก็มองเขาอย่างงุนงง
จั๋วฝานยิ้ม”ข้าบอกแล้วว่าข้าจะพาเจ้าออกนอกเมือง และตอนนี้ข้าก็พาเจ้าออกมาแล้ว ข้าทำตามสัญญาเรียบร้อย’
“นี่คือโลกภายนอกเหรอ?”
เสวี่ยหนิงเซียงกวาดสายตาไปรอบๆและสูดหายใจเข้า ฉีกยิ้มออกมา”นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เดินออกนอกเมือง”
“ในที่สุด!”
เสวี่ยหนิงเซียงหัวเราะและหน้าแดง”ขอบคุณ พี่ใหญ่จั๋ว!”
“ไม่เป็นไร ไม่ใช่ว่าเราตกลงกันไว้งั้นเหรอ?”จั๋วฝานพูด”หนิงเอ๋อร์ นี่อาจเป็นเวลาอันเหมาะสมในการบอกลา”
“ท่านจะไปแล้ว?”เสวี่ยหนิงเซียงเงยหน้าขึ้น จับจ้องจั๋วฝาน”ไปไหน?”
เขาถอนหายใจ”ข้าไม่รู้ ยังมีอีกหลายอย่างที่ข้าต้องทำ”
เรื่องเร่งด่วนสุดคือการหาหุบเขาสายฟ้า เศษเสี้ยวของจักรพรรดิสวรรค์และค้นหายอดฝีมือเพื่อเสริมพลังให้ตระกูลลั่ว แม้จะไร้เบาะแสว่าต้องเริ่มที่ไหน เขาก็ต้องตามหา
เสวี่ยหนิงเซียงเห็นว่าเขามุ่งมั่นและพูดเสียงเบา”พี่ใหญ่จั๋ว ขะ-ข้าขอไปกับท่านได้ไหม?”
“ไม่!”จั๋วฝานปฏิเสธ”ด้วยพลังของเจ้า เจ้าจะตกอยู่ในอันตราย”
เสวี่ยหนิงเซียงลดหัวลงอย่างจำยอม นางรู้ว่านางเป็นได้แค่ภาระ
จั๋วฝานลูบหัวนางด้วยรอยยิ้ม”และเจ้ายังมีตระกูลให้ดูแล ตระกูลเสวี่ยรุกรานโหยวหมิงกู่และต้องหาคนปกป้องมัน ตำหนักกระบี่เป็นตัวเลือกที่ดี จากฝีมือของเซี่ยเทียนหยาง เขาต้องมีตำแหน่งสูงแน่ ถ้าเขารับรองเจ้า ตำหนักกระบี่จะต้องอ้าแขนรับเจ้าเข้าร่วมแน่”
เสวี่ยหนิงเซียงเงยหน้าขึ้นแล้วพยักหน้า
ตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องมองหาที่ปลอดภัยสำหรับตระกูลนาง มันคงโหดร้ายเกินไปที่นางจะเห็นแก่ตัวแล้วไปกับจั๋วฝาน ปล่อยให้พ่อแม่พี่น้องต้องกตอยู่ในอันตราย
นางละอายใจแต่ก็ยังอยากไปกับเขา
“ฮ่าๆๆ ลาก่อน น้องเล็ก!’
จั๋วฝานส่ายหัวเป็นครั้งสุดท้ายและจากไปพร้อมรอยยิ้ม น้ำตาก่อตัวในดวงตาของเสวี่ยหนิงเซียงขณะที่ตะโกน”พี่ใหญ่จั๋ว เราจะได้พบกันอีกตอนไหน?”
“ตอนแหวนสายฟ้าเปล่งแสง!”
จั๋วฝานโบกมือขณะเดินหนีไป แหวนสายฟ้าบนมือของเขากับเสวี่ยหนิงเซียงเปล่งแสง..
ในพื้นที่หนึ่ง เจี้ยนซุยเฟิงกำลังก้มมองศพโหยวกุ่ยฉี ศัตรูที่พรากนิ้วทั้งสามของเขาไป เขานึกถึงความตายอันน่าสังเวชของอีกฝ่ายและอารมณ์ก็ดีขึ้น
“โอ้ โหยวกุ่ยฉี นี่แหละคือโศกนาฏกรรมของเจ้า หนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิเทียนอวี่!”
เจี้ยนซุยเฟิงพบว่าผู้คุ้มกันของโหยวหมิงกู่กำลังหนีออกจากสถานที่นี้ ละทิ้งแม้กระทั่งศพของผู้อาวุโสตัวเอง
มีแค่ลมหนาวที่พักผมขาวบนตัวโหยวกุ่ยฉีซึ่งนอนนิ่งบนพื้นเย็น ดวงตาของเขาเบิกกว้าง แม้จะสิ้นแสงไปแล้ว
เซี่ยเทียนหยางยังคงแงหนมองขึ้นฟ้าไปในทิศทางของจั๋วฝาน แต่จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น”สารเลวนั่น แค่ฆ่าโหยวกุ่ยฉีก็พอแล้ว แต่เจ้าจะพาหนิงเอ๋อร์ไปทำไม?”
“เทียนหยาง ช่วยคนอื่นลงมาก่อน เราต้องเร่งไปตำหนักกระบี่เพื่อรักษาพวกเขา ตระกูลเสวี่ยจะกลายเป็นตระกูลบริวารของตำหนักกระบี่”เจี้ยนซุยเฟิงชี้ไปทางคนตระกูลเสวี่ย
เซี่ยเทียนหยางกระโดดและยิ้ม”นั่นคือเจตนาของข้า ผู้อาวุโสแปด ใครจะไปรู้ว่าเราคิดเหมือนกัน?ข้าคิดจะช่วยตระกูลของหนิงเอ๋อร์อยู่แล้ว”
“ฮึ่ม ใครไปคิดเหมือนเจ้า?”
เจี้ยนซุยเฟิงแค่นเสียง”เจ้าก็เห็นสัตว์ประหลาดน้อยนั่นแล้ว มีเพียงเวลาถึงจะบอกได้ว่าพลังของเขาจะไปได้ไกลเพียงใด เนื่องจากเขามาเพื่อช่วยคนเหล่านี้ มันก็ไม่เสียหายที่จะสร้างบุญคุณ เราอาจกลายเป็นมิตรกันในอนาคต และในกรณีที่เรายืนตรงข้ามกัน เรายังสามารถใช้คนเหล่านี้เป็นตัวประกันเพื่อจัดการกับเขาได้”
เซี่ยเทียนหยางยิ้มแห้งกับเหตุผลของผู้อาวุโส
[ฮึ่ม งั้นเจ้าก็ไม่ได้ช่วยตระกูลเสวี่ยเพราะเข้าแต่เป็นเพราะจั๋วฝาน ใครกันที่เป็นศิษย์หลักของตำหนักกระบี่?]
[ถ้าเรื่องนี้หลุดไป ชื่อเสียงของข้าจะป่นปี้!]
แม้จะลอบก่นด่า เขาก็ยังไปทำงาน เนื่องจากนี่เป็นเป้าหมายเขาแต่แรก
แต่ในที่ที่ไม่มีใครเห็นห่างออกไปครึ่งลี้ โหยวหมิงกำลังนั่งตัวสั่น
ความกลัวของเขาที่มีต่อจั๋วฝานเพิ่มขึ้น จนถึงจุดที่เขาอาจไม่มีวันเอาชนะมารหัวใจนี้ได้
[บัดซบ นี่เป็นครั้งที่สามแล้ว!ข้าไปทำอะไรให้เจ้านัก?ทุกที่ที่ข้าไป เจ้าจะมาฆ่า!ครั้งก่อนเจ้าฆ่าผู้อาวุโสไปสอง ครั้งนี้เจ้ายังฆ่าอาจารย์ข้า]
[น่าขยะแขยงสิ้นดี!]
โหยวหมิงก่นด่าจั๋วฝาน แต่ตอนใบหน้าเย็นชาของจั๋วฝานผุดขึ้นในหัวเขา ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้าน…
หนึ่งเดือนต่อมา ในสวนของจักรพรรดิในนครหลวง
ชายชราสองคนกำลังเล่นหมากรุกใต้ศาลา หนึ่งในนั้นสวมชุดคลุมยาวสีทอง และมีดวงตาสีขุ่น เขาคือจักรพรรดิแห่งเทียนอวี่
ผู้อาวุโสอีกคนมีหนวดเครายาว ผมขาว แผ่กลิ่นอายสง่างาม เมื่อใดก็ตามที่องครักษ์มองมาทางเขา ดวงตาของพวกเขาจะเต็มไปด้วยความเคารพ
ท่ามกลางเสียงนกร้องขับขาน ตัวหมากถูกขยับไปตามจังหวะสงบ
ปัง ปัง ปัง…
ทันใดนั้น เสียงคร่ำครวญก็ทำลายความสงบสุข”ท่านพ่อ เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว”
ก้อนเนื้อกลมหนัก400จิน(200กิโล)ก็กลิ้งมาข้างองค์จักรพรรดิ เขาเขย่าพื้นดินที่เขาเหยียบ และล้มตัวหมากบนกระดาน
จักรพรรดิได้แต่ยิ้มอย่างเศร้าใจให้ชายอีกคนผู้ยิ้มอย่างเข้าใจเช่นกัน
“ฉงเอ๋อร์ ข้าบอกเจ้าให้เผชิญหน้ากับทุกเหตุการณ์อย่างสงบไม่ใช่หรือไร?แล้วเจ้าไม่สังเกตหรือว่าข้ากำลังเล่นหมากกับอาจารย์ซือหม่าอยู่?”
“ขอรับ ขอรับ ข้ารู้ตัวว่าผิดแล้ว”ผู้มาเยือนคืออวี่เหวินฉง เจ้าชายสามแห่งจักรวรรดิ เขามาหาจักรพรรดิและก้มหัวให้ทั้งจักรพรรดิกับชายชราทันที จากนั้นก็ยกแขนเสื้อ ปาดเหงื่อ
“ไหนว่ามาสิมีเรื่องอะไร?”
จักรพรรดิยกตัวหมากและเล่นต่อโดยไม่หันไปมองอวี่เหวินฉง
หลังสูดหายใจลึก อวี่เหวินฉงก็พยายามสงบสติลง จากนั้นก็พูดด้วยใบหน้าจริงจัง”ท่านพ่อ เกิดเรื่องดี ๆ ขึ้นแล้ว ผู้อาวุโสเจ็ดแห่งโหยวหมิงกู่ถูกฆ่าตายเมื่อเดือนก่อน!”
น่ายินดี!
หมากในมือจักรพรรดิไม่มั่นคงและตกลงบนกระดาน ดวงตาของเขาหดลงอย่างรุนแรง และอาจารย์ซือหม่าตรงข้ามก็อดสั่นสะท้านไม่ได้
“ฝีมือใคร?”จักรพรรดิหันไปมองอวี่เหวินฉง ใบหน้าของเขาจริงจัง
หลังกวาดมองและไม่เห็นคนนอก อวี่เหวินฉงก็พูด”มันคือพ่อบ้านตระกูลลั่วที่ข้าพูดถึง จั๋วฝาน เดือนก่อน ไม่รู้ว่าเขาไปคลุ้มคลั่งอะไรในเมืองชิงหมิง ผู้อาวุโสเจ็ดโดนฆ่าตายท่ามกลางสาธารณะ ยิ่งไปกว่านั้น มีข่าวลือหนาหูว่าแม้กระทั่งผู้อาวุโสสองคนที่ตายในเมืองเนตรสายลมก็เป็นฝีมือเขา ศาลาเฉียนหลงแค่เป็นแพะรับปากให้เขา”
“อะไรนะ ผีน้อยฆ่าสามผู้อาวุโสแห่งโหยวหมิงกู่ และหนึ่งในนั้นยังเป็นถึงผู้อาวุโสเจ็ด!’อาจารย์ซือหม่าผงะตอนได้ยินและมองจักรพรรดิตาปริบ ๆ”ฝ่าบาท เรื่องนี้ ข้าควรทำเยี่ยงไร?”
เขาหรี่ตาลง จักรพรรดิดึงรอยยิ้มที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรและหยิบหมากวางบนกระดานต่อ”ถ้ามันเป็นความขุ่นเคืองระหว่างเจ็ดตระกูลใหญ่ ข้าคงต้องปวดหัว แต่สำหรับเรื่องนี้โหยวหวันซานคงไม่มีหน้ามาบ่นกับข้า ปล่อยไป แต่ตระกูลลั่วต้องได้รับการดูแลและอย่าปล่อยให้ใครโจมตีตระกุลลั่ว ไข่มุกของข้ากำลังจะเปล่งแสง ฮ่าๆๆ”
เพี้ย!
จักรพรรดิกระแทกหมากลงบนกระดานอย่างแรง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
อวี่เหวินฉงมองจักรพรรดิอย่างลึกซึ้ง ก้มหัวและขอตัว
คฤหาสน์ของอัครมหาเสนาบดีแห่งนครหลวง
อัครมหาเสนาบดีจูเก่อฉางเฟิงกำลังนั่งบนเก้าอี้ ดวงตาของเขาปิดลงเล็กน้อย ทันใดนั้น เงาดำก็ปรากฏ กระซิบข้างหูเขา
“ว่าไงนะ?”
จูเก่อฉางเฟิงพลันลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ จากนั้นก็หรี่ตา ราวกับกำลังทำบางสิ่งและถอนหายใจ”โอ้ มันดูเหมือนสมดุลของเจ็ดตระกูลใหญ่กำลังจะพัง ตาแก่นั่นควรเตรียมการให้เร็วที่สุด”
ทันทีที่สิ้นเสียง จูเก่อฉางเฟิงก็หลับตาอีกครั้ง
คฤหาสน์จี้ซือ
ชายชราผมขาวรับบันทึกเล่มน้อยจากชายในชุดดำและหลังคลี่ออก เปลือกตาเขาก็สั่นโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็โบกมือให้ชายชุดดำออกไป
เขาค่อย ๆ เดิน ชายชราไปที่จุดสังเกตการณ์ เหม่อมองท้องฟ้า ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเห็นใจ”โลกกำลังวุ่นวาย ประกายไฟเพียงเสี้ยวเดียวสามารถจุดไฟป่าได้!เห้อ มันดูเหมือนโลกนี้ต้องเปลี่ยนเจ้าของ และข้าก็หวังว่ามันจะไม่มากเกินไป”
ในเวลาเดียวกัน ที่บ้านใหญ่ศาลาเฉียนหลง
เจ้าศาลา หลงอี้เฟยกำลังประชุมกับผู้อาวุโสและมีผู้เยาว์สองคนในห้อง มันคือ หลงขุ่ยกับหลงเจี๋ย เจ็ดวันก่อน เพราะผลงานอันโดดเด่นของทั้งคู่ หลงอี้เฟยจึงประกาศว่าพวกเขาสามารถเข้าร่วมการประชุมของผู้อาวุโสได้ ซึ่งทำให้ทั้งสองยินดีมาก
“ปัจจุบัน เสี่ยวเจี๋ยกับเสี่ยวขุ่ย พวกเจ้าสองคนทำได้ดีมาก ข้าคิดว่าพวกเจ้าควรสามารถไปหาผู้อาวุโสใหญ่เพื่อเสริมฐานบ่มเพาะตัวเอง จากนั้นก็ฝึกวิชายุทธ์ลับที่ส่งต่อกันมาโดยตระกูลเราได้”
พอใกล้จบการประชุม หลงอี้เฟยก็มองทั้งสองอย่างลึกซึ้งและยิ้ม หลังได้ยิน ทั้งคู่ก็อดดีใจไม่ได้
แต่ทว่า ผู้อาวุโสสามกลับจริงจัง”เด็กทั้งสองคนถือว่าก้าวหน้า แต่เทียบกับศิษย์อัจฉริยะของอีกหกตระกูล พวกเขาถือได้ว่าเป็นแค่ระดับกลาง ๆ ค่อนบนเท่านั้น”
“ใช่ที่ไหน?ผู้อาวุโสสามอย่าประเมินเราต่ำ เรากำลังจะทะลวงผ่านระดับหลอมกระดูกแล้ว”หลงขุ่ยเชิดหน้าอย่างไม่พอใจ แต่หลงเจี๋ยกลับเม้มปากและยอมรับ”ผู้อาวุโสสามพูดถูก ว่ากันว่าเซี่ยเทียนหยางแห่งตำหนักกระบี่ได้เข้าสู่ระดับหลอมกระดูกตั้งแต่สามปีก่อนแล้ว”
“ดี เสี่ยวเจี๋ยถ่อมตัวและไม่อวดดี เขามีอนาคตสดใส!’
หลงจิ่วพยักหน้าพอใจ และบนไหล่เขาก็มีอีกาดำยืนอยู่ ซึ่งคืออีกากลืนวิญญาณที่จั๋วฝานมอบให้เขา ทันทีที่เขามองมัน ความอบอุ่นก็เอ่อล้นในดวงตาของหลงจิ่ว
“ถ้าผีน้อยอย่างเจ้ามีพรสวรรค์ได้สักครึ่งของน้องจั๋วของข้า ตอนนี้พวกเจ้าคงได้ฝึกวิชายุทธ์ระดับเซียนของตระกูลเราไปแล้ว”
“หึ ลุงจิ่ว ทำไมท่านถึงเอาแต่พูดถึงเขา?”หลงขุ่ยเม้มปากอย่างไม่พอใจ ราวกับไม่อยากได้ยินชื่อจั๋วฝาน”เด็กนั่นอวดดีและไม่อยากเข้าร่วมกับศาลาเฉียนหลงเรา เขาแค่มีพรสวรรค์เล็กน้อย ไม่มีวันประสบความสำเร็จในอนาคตหรอก ไม่ช้าก็เร็ว เราจะแซงเขา”
แต่ทว่า พอสิ้นเสียงนาง เสียงตะโกนก็ดังจากด้านนอกประตูและชายในชุดดำก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน คุกเข่าและส่งจดหมาย”ขออภัยที่มารบกวนครับ มีรายงานเร่งด่วนส่งมาจากด้านหน้าครับ”
ผู้อาวุโสสามรับจดหมาย โบกมือให้ชายคนนั้นออกไป จากนั้นก็เปิดจดหมายและมองมัน ทันใดนั้น รูม่านตาของเขาก็หดลงและจดหมายก็ตกลงพื้น
“เกิดอะไรขึ้น พี่สาม มีเรื่องอันใด?”
หลงจิ่วแปลกใจ และรีบหยิบจดหมายขึ้นมา เขาไม่เคยเห็นผู้อาวุโสสามทำท่าแบบนี้มาก่อน แต่เมื่อเขาเห็นเนื้อหา รูม่านตาของเขาก็หดลงอย่างแรงและน้ำตาก็ไหลริน
“เด็กดี พี่จิ่วเป็นหนี้เจ้าอีกแล้ว”
“มีอะไร?”หลงอี้เฟยขมวดคิ้ว และเหมือนทุกคน ใบหน้าของเขาสับสน เขาคว้าจดหมายมาทันทีและมองมัน
จากนั้นเขาก็เลิกคิ้วและกรีดร้องออกมา”ผู้อาวุโสเจ็ดแห่งโหยวหมิงกู่โดนจั๋วฝานฆ่าตายในเมืองชิงหมิง?”
“ว่าไงนะ?”
ทุกคนตกใจ
ใครบ้างที่ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของผู้อาวุโสเจ็ดแห่งโหยวหมิงกู่?ว่ากันว่าเขาเป็นคนที่เจ็ดตระกูลใหญ่เกลียดสุด โดยเฉพาะหลงจิ่ว เหตุผลว่าทำไมเนตรทองสายฟ้าม่วงของเขาถึงโดนชิงไปก็เป็นเพราะแผนของโหยวกุ่ยฉี
แต่บุคคลที่น่ากลัวเช่นนี้กลับตายในเงื้อมมือของจั๋วฝาน ซึ่งทำให้ทุกคนตกใจ โดยเฉพาะหลงเจี๋ยกับหลงขุ่ย ทั้งคู่ย่อมเคยได้ยินชื่อของโหยวกุ่ยฉี บุคคลที่ทำให้ผู้อาวุโสศาลาเฉียนหลงยำเกรง
แต่แม้กระทั่งตัวตนเช่นนี้ก็ยังตายในมือจั๋วฝาน
ในชั่วพริบตา ทั้งคู่ก็รู้ได้ว่าช่องว่างระหว่างจั๋วฝานกับพวกเขาห่างออกไปอีกไกลแล้ว
“ฮ่าๆๆ..ดี!”หลงอี้เฟยหัวเราะและมองผู้อาวุโสทั้งหมด”มันดูเหมือนทางเลือกของศาลาเฉียนหลงจะถูก เด็กนี่สมกับเป็นมังกร ผู้ช่วยของตระกูลควรเพิ่ม และในเวลาเดียวกัน ส่งคนไปคุ้มกันตระกูลลั่วเพิ่ม ทุกคนคงจะไม่คัดค้านมันกันอีก”
พอได้ยิน ผู้อาวุโสทุกคนก็พยักหน้าพร้อมกัน แม้กระทั่งคนที่คัดค้านการเป็นพันธมิตรระหว่างศาลาเฉียนหลงกับจั๋วฝานก็ไม่บ่นอีก
ใครใช้ให้จั๋วฝานฆ่าโหยวกุ่ยฉี?นี่คือสิ่งที่ไม่มีใครในห้องสามารถทำได้
ในเวลาเดียวกันนั้น ทุกตระกูลในแผ่นดินต่างได้รับข่าวเหมือนกัน นอกจากจะตกใจ พวกเขายังยินดี และในเวลาเดียวกันนั้น ชื่อของจั๋วฝานก็เป็นที่รู้จักไปทั่ว
หลังศึกนี้ จั๋วฝานกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วจักรวรรดิ