พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 1007 ทัณฑ์สวรรค
ผู้คนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ต่างตกตะลึงจนอ้าปากค้างทันที ไอ้มังกรทองตัวนี้มันทะลวงระดับสำเร็จได้ตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วแบบนี้ใครจะเป็นคนรับมือกับหลิงตู้ฉิง? ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทวะราชาไม่สามารถต่อกรอะไรกับหลิงตู้ฉิงได้แน่นอน แล้วแบบนี้พวกเขาต้องทำยังไงต่อ?
สีหน้าของหลิวเต้าหยวนและหลิวชุนมืดหม่นลงในทันที ตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมตำหนักไร้หทัยถึงได้กล้าบุกมาหาพวกเขาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ที่แท้ตำหนักไร้หทัยก็มีจักรพรรดิเทพ 2 คน!
แต่แล้วก่อนที่จะมีใครทันได้พูดอะไร เสี่ยวเฟิงก้าวออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและพูดขึ้นว่า “พวกท่านจับคู่กันไปหมดแล้ว แล้วข้าล่ะจะต้องสู้กับใคร?”
แน่นอนว่าเมื่อพูดจบ เสี่ยวเฟิงปลดปล่อยกลิ่นอายจักรพรรดิเทพของนางออกมาในทันที และรอบนี้มันทำให้ผู้คนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ต่างแสดงสีหน้าโง่งมปนตื่นตระหนกไปตาม ๆ กัน
จักรพรรดิเทพอีกคนหนึ่ง?
ถ้ารวมหลิงตู้ฉิงไปด้วยมันก็เหมือนกับตำหนักไร้หทัยมีจักรพรรดิเทพ 4 คน!
มันไม่เคยมีสำนักหรือเผ่าไหนที่มีจักรพรรดิเทพมากขนาดนี้!
ตั้งแต่บรรพกาล มีเพียงไม่กี่เผ่าหรือสำนักเท่านั้นที่มีจักรพรรดิเทพเกิน 2 คน แต่ตอนนี้ตำหนักไร้หทัยกลับมีถึง 4 คน ซึ่งมันไม่เคยมีในบันทึกมาก่อนว่าเคยมีกองกำลังไหนที่มีจักรพรรดิเทพมากขนาดนี้
ถึงแม้ว่าหลิงตู้ฉิงในตอนนี้จะอยู่ในขอบเขตเทวะราชา แต่ด้วยความสำเร็จในอดีตที่เขามีคุณสมบัติพอที่จะพิสูจน์เต๋า ดังนั้นต่อให้เขาจะมีระดับการบ่มเพาะของเขตเทวะราชา แต่คนทั่วไปล้วนมองว่าเขามีความแข็งแกร่งไม่ต่างอะไรกับขอบเขตจักรพรรดิเทพ
ในเวลานี้ไม่ต้องพูดถึงสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังกลัวกันจนแทบจะหยุดหายใจ บรรดากองกำลังต่าง ๆ ที่กำลังแอบดูสถานการณ์นี้อยู่ก็ตื่นตระหนกกันจนอยู่ไม่เป็นสุขโดยเฉพาะพวกฝ่ายที่เป็นศัตรูของตำหนักไร้หทัย
ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดต่างกำลังคิดหาทางแก้ในกรณีที่ตำหนักไร้หทัยอาจจะมาเยือนพวกเขา
หลิงตู้ฉิงหัวเราะขบขันเมื่อเห้นสีหน้าของผู้คนสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นเขาหันมาพูดกับหลิวเต้าหยวน “เอาล่ะ ตอนนี้ถึงเวลาทำตามสิ่งที่พวกเจ้าต้องการแล้ว พวกเรามาเริ่มรบกันเถอะ!”
“ช้าก่อน ๆ สหายเต๋า!” หลิวเต้าหยวนรีบตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตระหนกทันที
หลิวเต้าหยวนรู้ดีว่าในทันทีที่พวกหลิงตู้ฉิงลงมือโจมตีเมื่อไหร่ สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์คงถูกลบออกไปจากโลกแน่นอน และแม้แต่เขาและหลิวชุนก็อาจจะไม่รอด
“หืม? ก็นี่มันเป็นสิ่งที่เจ้าต้องการไม่ใช่เหรอ?” หลิวตู้ฉิงยิ้มและถามกลับ
หลิวเต้าหยวนหัวเราะอย่างกระอักอ่วนทันที จากนั้นเขาประสานมือพูดขึ้นด้วยท่าทางขออภัย “สหายเต๋า…ข้า…ข้าว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดเท่านั้นเอง!”
“นี่เจ้าเห็นว่าข้าโง่เลยใช้ข้ออ้างนี้ หรือว่ามันเป็นเจ้าที่โง่มากจนนึกข้ออ้างที่ดีกว่านี้ไม่ออก?” หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วถามกลับด้วยสีหน้าเย็นชา
เมื่อเห็นว่าจู่ ๆ หลิงตู้ฉิงก็เปลี่ยนอารมณ์อย่างกะทันหัน หลิวเต้าหยวนไม่กล้ายิ้มอีกต่อไป เขารีบพูดเข้าประเด็นทันที “สหายเต๋างั้นพวกเรามาคุยกันตรง ๆ เลยก็แล้วกัน พวกเรายินดีชดใช้ความผิดที่พวกเราก่อ หากท่านต้องการอะไรท่านบอกพวกเรามาได้เลย ข้าเชื่อว่าหากท่านจะทำลายสำนักของข้าจริง ๆ ท่านคงทำไปนานแล้ว ดังนั้นข้าคิดว่าท่านคงมีอะไรอยู่ในใจแล้วถูกต้องไหม?”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ข้อแรกเจ้าจงเรียกศิษย์ของเจ้า จักรพรรดิอักขระออกมาสู้กับข้า ก่อนหน้านี้ที่โลกเบื้องล่างเขาบอกว่าอยากจะสู้กับข้านักหนา ในวันนี้ข้าจะสนองความต้องการของเขาให้”
หลิวเต้าหยวนเงียบลงไปในทันที จักรพรรดิอักขระคือศิษย์เอกของเขา หากเขามอบตัวศิษย์เอกของเขาออกไปแบบนี้เขาจะเสียหน้าเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามในใจของเขาก็รู้ว่าไม่มีทางเลือกอื่น หากเขาไม่ทำตามที่หลิงตู้ฉิงบอกปัญหามันจะยิ่งบานปลายมากกว่าที่เขาจะเสียหน้าหลายร้อยเท่า
หลิวเต้าหยวนยังคงไม่ตอบกลับ เขาอยากจะฟังเงื่อนไขของหลิงตู้ฉิงให้ครบก่อนที่จะตัดสินใจทุกอย่างอีกที
“ข้อที่สอง ข้าอยากได้ศิลาอักขระบรรพกาลของสำนักเจ้าที่พวกเจ้าได้มาจากแม่น้ำมหาดาราเมื่อในอดีต” หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้นต่อ
เมื่อได้ยินข้อสอง สีหน้าของหลิวเต้าหยวนเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดทันที เขารีบท้วงขึ้น “สหายเต๋า คำขอของท่านมันออกจะเกินไปหน่อยรึเปล่า?”
ตลอดระยะเวลาที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ก่อตั้งมา ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่แม่น้ำมหาดาราเปิดออกสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์จะส่งคนเข้าไปหาสมบัติข้างในนั้นเสมอ และสมบัติล้ำค่าที่สุดที่พวกเขาได้รับมาจากแม่น้ำมหาดาราก็คือ ศิลาอักขระบรรพกาล
กว่าที่พวกเขาจะได้รับศิลาอักขระบรรพกาลมาสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์จ่ายราคาไปอย่างมหาศาลด้วยชีวิตของศิษย์สำนักหลายคน และสาเหตุที่หลิวชุนทะลวงระดับกลายเป็นจักรพรรดิเทพได้ส่วนใหญ่ก็มาจากอำนาจของศิลาอักขระบรรพกาล หรือถ้าจะให้พูดอีกอย่างก็คือสมบัติชิ้นนี้คือ สมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์
“หากเจ้าต้องการอย่างอื่นข้าคงยอมให้เจ้าได้ แต่ถ้าเจ้าต้องการศิลาอักขระบรรพกาล ข้าคงยอมให้เจ้าไม่ได้!” หลิวเต้าหยวนตวาดขึ้นด้วยสีหน้าดุดัน “อันที่จริงสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของข้านับได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งที่คอยค้ำจุนโลก ข้าไม่เชื่อว่าสวรรค์จะอนุญาตให้เจ้าทำลายสำนักของข้าได้ง่าย ๆ มา! พวกเราลองมาสู้กันสักตั้ง ถึงแม้ว่าพวกเจ้าจะเหนือกว่าแต่ข้าก็มั่นใจว่าพวกเจ้าเองก็ต้องสูญเสียกันบ้าง!”
หลิงตู้ฉิงถอนหายใจและพูดกับหลิวเต้าหยวน “ที่โลกเบื้องล่างก็มีเต๋าแห่งอักขระดำรงอยู่แถมข้ายังเป็นคนคอยสนับสนุนเต๋าแห่งอักขระอยู่อีกต่างหาก ด้วยการสนับสนุนของข้าต่อให้ตอนนี้โลกเบื้องบนจะไม่มีสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์มันก็ไม่มีผลอะไร เพราะในยุคถัดไปข้าเชื่อว่าข้าสามารถทำให้เต๋าแห่งอักขระกลับมารุ่งเรืองได้เหมือนเดิมแน่นอน เอาล่ะในเมื่อเจ้าไม่ยินยอม งั้นข้าก็คงเหลือแค่ทางเลือกเดียวคือลบพวกเจ้าให้หายไป”
ในทันทีที่หลิงตู้ฉิงพูดจบ ต้วนฉิง จิ้นหลงและเสี่ยวเฟิง ลงมือโจมตีพร้อมกันเข้าใส่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ทันที
หลิวเต้าหยวนและหลิวชุนต่างรีบโคจรพลังจนถึงจุดสูงสุดต้านทานการโจมตีของต้วนฉิงและจิ๋นหลง ส่วนคนอื่น ๆ ที่เหลือของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ต่างรีบอัญเชิญศิลาอักขระบรรพกาลออกมา หวังจะใช้อำนาจของมันในการต้านทานการโจมตีของเสี่ยวเฟิง
แต่แล้วเมื่อพลังของทุกคนในสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์รวมเข้าไปที่ศิลาอักขระบรรพกาลและศิลาเริ่มจะเปล่งแสงหลากสีออกมา ท้องฟ้าเหนือสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์กลับแปรปรวนภายในพริบตามีสายฟ้าสีแดงมากมายปรากฏขึ้นทั่วหมู่เมฆสีดำทมิฬ
เสียงฟ้าร้องมันดังกึกก้องไปไกลกว่าแสนลี้ และนี่คือสัญญาณของทัณฑ์สวรรค์ของโลกเบื้องบน!
หลิวเต้าหยวนหัวเราะอย่างสะใจและพูดว่า “ข้าว่าแล้วไงสวรรค์ย่อมไม่อนุญาตให้พวกข้าถูกทำลาย! สำนักของข้าทำคุณประโยชน์ให้กับโลกและสวรรค์มากมาย มันจะเป็นไปได้ยังไงที่สวรรค์จะไม่ช่วยเหลือสำนักของข้า!”
“เจ้านี่มันโง่จริง ๆ!” หลิงตู้ฉิงส่ายหัวด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ
หลังจากนั้นแค่เพียงอึดใจเดียว สายฟ้าสีแดงเส้นโตผ่าลงมาจากท้องฟ้าอย่างรุนแรงแต่เป้าหมายของสายฟ้าไม่ใช่หลิงตู้ฉิง แต่เป็นผู้คนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังเปิดใช้งานศิลาอักขระบรรพกาล!