พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 1023 หาตัวช่วย
เมื่อเห็นว่าจู่ ๆ พวกอสูรยกทัพออกมาโจมตีกองกำลังที่อยู่ใกล้เคียงกับพวกมัน บรรดากองกำลังอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกโง่งมและตกตะลึง ยิ่งไปกว่านั้นเหตุการณ์นี้มันทำให้บรรดากองกำลังอื่น ๆ ต่างได้รู้ว่าแท้จริงแล้วพวกอสูรนั้นแข็งแกร่งกว่าที่พวกเขาทั้งหลายคิดเอาไว้มาก แถมการรุกรานของอสูรในครั้งนี้มันไม่ใช่แค่การฆ่าล้างอย่างเดียวอีกต่างหาก
ในตอนแรกของการรบเผ่าอื่น ๆ ต่างรู้สึกมึนงงเป็นอย่างมากเมื่อได้เห็นว่าอสูรที่รูปร่างเหมือนมนุษย์ แต่มีร่างกายที่เป็นสีขาวเหมือนหยกกลับเป็นผู้นำของเผ่าอสูรทั้งมวล
อย่างไรก็ตาม หลังจากรบกันไปได้นานกว่าหมื่นปี เผ่าอื่น ๆ มากมายก็ถูกพวกอสูรจับมาเข้าพวกจนปัจจุบันเผ่าอสูรได้กลายเป็นเผ่าผสมที่แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง และเป้าหมายของพวกมันชัดเจนมากว่าไม่ได้ต้องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ใด ๆ แต่พวกมันต้องการปกครองเผ่าทั้งมวลต่างหาก
แต่ว่ามันจะมีสักกี่เผ่ากันที่ยอมศิโรราบต่อพวกอสูรง่าย ๆ?
เผ่าจำนวนมากมายต่างต่อต้านพวกอสูรอย่างสุดฤทธิ์ ซึ่งบางเผ่ามีความคิดที่ว่ายอมตายทั้งหมดดีกว่ายอมก้มหัวให้พวกอสูรก็มี
เมื่อเป็นเช่นนี้การฆ่าล้างจึงบังเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และเมื่อมีการฆ่าล้างมันก็ต้องมีการเกิดใหม่
เมื่อจู่ ๆ จำนวนของสิ่งมีชีวิตที่ตายเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล หลิงตู้ฉิง ผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้เฝ้าประตูสังสารวัฏก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วในระหว่างที่มองไปยังเหล่าดวงวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่ค่อย ๆ ไปเกิดใหม่
“ดูเหมือนว่าจะมีใครบางเริ่มพิสูจน์เต๋าของตัวเองแล้วสินะ” หลิงตู้ฉิงพึมพำกับตัวเอง
เมื่อเห็นว่าจำนวนดวงวิญญาณที่ต้องการไปเกิดใหม่จำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างมหาศาล หลิงตู้ฉิงจึงโบกมือไปทางหลุมดำ ส่งผลให้หลุมดำขยายขนาดขึ้นใหญ่กว่าเดิมหลายเท่า
อันที่จริงการขยายขนาดหลุมดำนี้มันยากกว่าที่เห็นเป็นอย่างมาก หลิงตู้ฉิงจำเป็นต้องใช้พลังของเขามากกว่า 6 ส่วนในการขยายขนาดของมัน แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่น หากเขาไม่ขยายขนาดมัน ดวงวิญญาณก็จะกลับไปเกิดใหม่ไม่ทันและนั่นจะส่งผลให้สมดุลของโลกและสวรรค์เสียหาย
ในเวลานี้ หลิงตู้ฉิงเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมหัวหน้าผู้พิทักษ์ประตูสังสารวัฏถึงไม่ชอบเขา
เมื่อในอดีตเขาเองก็ฆ่าคนไปมากมายเหมือนกัน ซึ่งแน่นอนว่ามันคงจะส่งผลให้ หัวหน้าผู้พิทักษ์ประตูสังสารวัฏต้องลำบากขยายขนาดเส้นทางการไปเกิดใหม่แบบนี้แน่นอน
ในขณะเดียวกันที่โลกเบื้องบนในตอนนี้เพื่อรับมือกับเผ่าอสูร บรรดาเผ่าทั้งหลายต่างก็ร่วมมือกันจัดตั้งกองกำลังพันธมิตรขึ้นมา
ด้วยความแข็งแกร่งของอสูรขณะนี้ หากพวกเขาแยกกันสู้พวกเขาจะไม่มีวันที่จะเอาชนะเผ่าอสูรได้เลย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องร่วมมือกันเท่านั้น
เผ่ามนุษย์ เผ่าฟีนิกซ์ เผ่ามังกร เผ่าอีกาทองคำ อาณาจักรแสงสวรรค์และเผ่าอื่น ๆ อีกมากมายที่ไม่ยินยอมจะตกเป็นเบี้ยล่างของเผ่าอสูรก็ได้มารวมตัวกันในที่สุด ซึ่งมันทำให้กองกำลังพันธมิตรนั้นมีกำลังรบหลักเป็นจักรพรรดิเทพเกิน 60 คน
เมื่อรวมกลุ่มกันได้ครบทั้งหมด กองกำลังพันธมิตรจึงยกทัพมายันกองทัพอสูรอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำโลหิตเทพพระเจ้า
แต่แล้วเมื่อทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน ทั้งสองฝ่ายกลับไม่มีฝั่งไหนที่ลงมือทำอะไรก่อน เพราะในขณะนี้จำนวนของจักรพรรดิเทพที่ทั้งสองฝ่ายมีรวมกันนั้นมีจำนวนถึงหลักร้อยคน ซึ่งถ้าหากรบกันขึ้นมาจริง ๆ โลกเบื้องบนคงพินาศย่อยยับและถ้ามันเป็นแบบนั้นสวรรค์จะต้องเข้ามาแทรกแซงแน่นอน
“พวกเจ้าเผ่าอสูรต้องการยึดครองโลกเบื้องบนทั้งหมดไปเพื่ออะไรกัน?” ราชันแห่งมวลมนุษย์ตะโกนถามขึ้น
ฟูหวงก้าวออกมาและตอบกลับในทันที “สาเหตุที่สงครามต่าง ๆ เกิดขึ้นไม่รู้จักจบจักสิ้นมันเป็นเพราะว่าเผ่าต่าง ๆ ในโลกเบื้องบนนั้นเอาแต่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน แต่ถ้ามีเผ่าสักเผ่าที่รวบรวมทุกเผ่าให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ ปัญหานี้จะหมดไป ทุกคนจะกลายเป็นเหมือนดั่งพี่น้องกัน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแบ่งปันกัน เมื่อเป็นแบบนั้นการต่อสู้ทุกอย่างจะไม่เกิดขึ้นอีก!”
ในระหว่างที่ฟูหวงตอบกลับ เขาก็ปลดปล่อยแรงกดดันไปยังบรรดาจักรพรรดิเทพฝั่งตรงข้ามไปด้วย
ทางด้านของกองกำลังพันธมิตร จริง ๆ พวกเขาต่างก็รู้อยู่แก่ใจดีว่าการรบครั้งนี้มันเกี่ยวพันกับการพิสูจน์เต๋าของพวกเผ่าอสูร แต่พวกเขาก็ยังจำเป็นต้องถามเพื่อหาคำตอบว่าการพิสูจน์เต๋าครั้งนี้มันเกี่ยวข้องกับอะไร
แน่นอนว่าต่อให้แนวคิดของฟูหวงจะดูดี แต่พวกเขาก็ยังยอมรับไม่ได้กับการที่ต้องมาก้มหัวให้กับพวกเผ่าอสูร ดังนั้นไม่ว่าแนวความคิดจะดีแค่ไหน พวกเขาก็จะต่อต้านฟูหวงด้วยทุกวิถีทางที่พวกเขาทำได้
จากนั้นเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างจ้องหน้ากันอยู่พักใหญ่ ๆ และไม่มีฝั่งไหนที่เริ่มก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงพากันแยกย้ายไปตั้งค่ายอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำเพื่อวางแผนกันใหม่ว่าจะเอายังไงต่อ
“ราชันย์มนุษย์ ไม่ใช่ว่าเจ้าสนิทกับพวกตำหนักไร้หทัยไม่ใช่เหรอ? ทำไมเจ้าถึงไม่ไปชวนพวกตำหนักไร้หทัยให้มาเริ่มมือกับพวกเราล่ะ?” ตี๋ชิง ผู้นำเผ่าอีกาทองคำเอ่ยถามขึ้น
ตามที่ทุกคนเข้าใจ หลิงตู้ฉิงคือผู้ที่เคยผ่านการพิสูจน์เต๋ามาก่อน และตอนนี้เมื่อเขามาเกิดใหม่ ซึ่งถึงแม้ว่าจะอยู่ในขอบเขตเทวะราชา แต่เขาก็มีความแข็งแกร่งมากพอที่จะสังหารจักรพรรดิเทพได้
หากพวกเขาชวนหลิงตู้ฉิงมาร่วมมือได้สำเร็จ และให้หลิงตู้ฉิงจัดการกับฟูหวง พวกอสูรจักรพรรดิเทพตัวอื่น ๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สักเท่าไหร่
ราชันแห่งมวลมนุษย์ส่ายหัวด้วยสีหน้าจนใจ “ข้าคิดว่าเขาคงไม่มายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยแน่นอน”
อันที่จริงเขาเองก็เคยได้ยินหลิงตู้ฉิงพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งในตอนนั้นหลิงตู้ฉิงก็ดูเหมือนกับว่าไม่คิดจะเข้ามายุ่งเกี่ยวเลย และยิ่งตอนนี้มันยิ่งเห็นได้อย่างชัดเจน เพราะแม้แต่คนของตำหนักไร้หทัยคนอื่น ๆ ยังไม่มาเข้าร่วมกับพวกเขาสักคน
“ท่านลองไปคุยกับเขาสักหน่อยไม่ได้เหรอ?” จักรพรรดิเทพเหมันต์เอ่ยขึ้นเสริม
ราชันแห่งมวลมนุษย์ถอนหายใจ จากนั้นเขาพูดว่า “เฮ้อ…ก็ได้ ข้าจะลองไปคุยกับเขาให้ก็ได้ แต่พวกท่านก็อย่าได้หวังกันมากเกินไปก็แล้วกัน เพราะถ้าหากเขาตั้งใจว่าจะไม่มา พวกท่านก็คงจะรู้ดีว่ามันไม่มีอะไรที่จะสามารถเปลี่ยนใจเขาได้”
อีกด้านหนึ่ง ทางด้านของฝั่งอสูรก็กำลังปรึกษากันอยู่เช่นกัน
“ไม่มีทางที่ไอ้พวกนั้นมันจะยอมถอยให้พวกเราแน่นอน ทำไมพวกเราถึงไม่บุกโจมตีพวกมันให้จบ ๆ กันไป!” คุนเป๋งเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา
ฟูหวงส่ายหัวและพูดว่า “นี่คืออุปสรรคที่ข้าจำเป็นต้องแก้ไขมันให้ดี หากข้าไม่สามารถแก้ไขมันได้อย่างสันติ และทำให้มหาสงครามปะทุขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนโลกเบื้องบนจะพังพินาศทั้งหมด”
บรรดาอสูรต่างพยักหน้าเข้าใจในคำพูดของฟูหวง แต่พวกมันก็ยังคงรู้สึกขุ่นเคืองพวกกองกำลังพันธมิตรอยู่ในใจ พวกมันอุตส่าห์ทำเพื่อส่วนรวมยับยั้งสงครามต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทำไมไอ้พวกหัวดื้อนั่นถึงไม่ยอมรับความหวังดีของพวกมันแบบนี้?
“งั้นเอาแบบนี้ไหม?” อสูรเก้าพักตร์เอ่ยขึ้น “พวกเราลองไปติดต่อเผ่าเทพมิติและว่าจ้างพวกนั้นให้มาช่วยพาพวกเราเดินทางผ่านรอยแยกมิติไปที่ด้านหลังค่ายของพวกนั้น และจากนั้นพวกเราลอบโจมตีพวกมันจากด้านหลังและเมื่อถึงเวลาที่พวกเราล้อมไอ้พวกฝั่งตรงข้ามได้หมด พวกเราก็กดดันให้พวกมันยอมจำนน ซึ่งถ้าหากว่าพวกมันแพ้ไปแบบนั้น พวกมันน่าจะยอมรับการอยู่ใต้คำสั่งของพวกเราได้ง่ายขึ้น”
บรรดาอสูรตนอื่น ๆ ที่ได้ยินแผนนี้ต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยเพราะวิธีการนี้ดูง่ายที่สุด
และยิ่งไปกว่านั้นพวกเผ่าเทพมิติอาศัยกันอยู่อย่างกระจัดกระจายไม่มีผู้นำคอยบงการ ดังนั้นการที่พวกมันจะว่าจ้างมาได้นั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่ได้ยากสักเท่าไหร่หากจ่ายราคามากพอ
หลังจากคุยกันเสร็จ อสูรเก้าพักตร์ก็หอบทรัพย์สมบัติมากมายเข้าไปในช่องว่างมิติเพื่อตามหาเผ่าเทพมิติสักตนเพื่อว่าจ้าง
ความตั้งใจของมันนั้นไม่ได้ต้องเป็นคนของเผ่าเทพมิติที่แข็งแกร่งอะไรมากมาย แค่ขอบเขตราชาศักดิ์สิทธิ์ก็เพียงพอแล้วที่จะส่งพวกมันทุกตนไปยังด้านหลังค่ายของกองกำลังพันธมิตร
แต่แล้วสิ่งที่อสูรเก้าพักตร์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ไม่ว่ามันจะไปว่าจ้างเผ่าเทพมิติคนไหนมันกลับถูกปฏิเสธไปทุกครั้ง จนท้ายที่สุดมันก็ทนไม่ไหวตะโกนเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าบึ้งตึง “พวกข้าอุตส่าห์เสนอค่าจ้างให้เจ้ามากมายขนาดนี้ ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมรับ? เจ้าเข้าใจรึเปล่าว่าการทำแบบนี้มันถือว่าไม่ให้เกียรติพวกข้าเผ่าอสูร หากเมื่อไหร่ที่พวกข้าได้เป็นใหญ่ เจ้าไม่กลัวหรือไงว่าพวกข้าจะมาสร้างความลำบากให้กับเจ้า?”
“ก่อนหน้านี้พวกข้าทั้งหมดได้สาบานเอาไว้ต่อสวรรค์แล้วว่าพวกข้าจะไม่ยุ่งกับความขัดแย้งของเผ่าอื่น ๆ ทั้งหมดอีกต่อไป เอาล่ะตอนนี้ข้าขอส่งเจ้าออกไปก็แล้วกัน!”
เมื่อสิ้นเสียงพูด ร่างของอสูรเก้าพักตร์ก็ถูกเคลื่อนย้ายออกจากช่องว่างมิติทันที ซึ่งหลังจากถูกขับออกมาจากช่องว่างมิติ สีหน้าของอสูรเก้าพักตร์ก็เปลี่ยนเป็นตกตะลึง ไม่คิดว่าตัวเองจะถูกขับออกจากช่องว่างมิติได้ง่ายดายขนาดนี้