พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 1024 ไพ่ตาย
“ไม่นึกเลยว่าเผ่าเทพมิติจะมีจักรพรรดิเทพแล้ว!” อสูรเก้าพักตร์อุทานขึ้นกับตัวเอง
สาเหตุที่มันรู้เช่นนี้เป็นเพราะว่ามันคืออสูรขอบเขตจักรพรรดิเทพขั้นสูงสุด ด้วยความแข็งแกร่งของมันต่อให้มันเข้าไปอยู่ในช่องว่างมิติ ซึ่งเป็นถิ่นของเผ่าเทพมิติโดยตรงตัวตนของมันก็ไม่อาจถูกขับออกมาได้อย่างง่ายดายขนาดนี้ อย่างต่ำ ๆ ผู้ที่จะขับมันออกมาได้ต้องเป็นผู้ที่เป็นจักรพรรดิเทพเหมือนกับมันเท่านั้น
มันรู้สึกหนักใจเป็นอย่างมากเมื่อรู้ว่าเผ่าเทพมิติมีจักรพรรดิเทพเช่นนี้ เพราะเมื่อครู่มันเพิ่งจะขู่เผ่าเทพมิติไป จักรพรรดิเทพเผ่าเทพมิติคือตัวตนอันดับต้น ๆ ที่มันไม่อยากจะปัญหาด้วยไม่ว่าจะเป็นในเวลาไหนก็ตาม
อย่างไรก็ตามในเวลานี้มันก็เข้าใจได้แล้วว่าทำไมพวกเผ่าเทพมิติทั้งหลายถึงไม่มีใครรับข้อเสนอของมันเลย
ที่แท้เผ่าเทพมิติตอนนี้ก็รวมกันเป็นหนึ่งแล้ว และด้วยคำสาบานต่อสวรรค์เผ่าเทพมิติจึงไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งของเผ่าอื่น ๆ ได้อีก
เมื่ออสูรเก้าพักตร์นำข่าวนี้กลับไปแจ้ง บรรดาอสูรทั้งหลายต่างก็เงียบลงครุ่นคิดด้วยสีหน้ามืดหม่นไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ
“พวกเจ้าไม่ต้องกังวล!” คุนเป๋งเอ่ยขึ้น “ต่อให้เผ่าเทพมิติจะไม่ช่วยพวกเราก็ไม่เป็นไร อย่าลืมว่าพวกเรายังมีสหายฟูหวง ตอนนี้พวกเรามาเปลี่ยนแผนใหม่รอสหายฟูหวงบ่มเพาะจนมีอำนาจพอจะสยบจักรพรรดิเทพของฝั่งตรงข้ามทั้งหมดก็ได้ ข้าเชื่อว่าผู้ที่มีคุณสมบัติพอที่จะพิสูจน์เต๋าเช่นเขาคงใช้เวลาอีกไม่นานเท่าไหร่หรอก”
อีกด้านหนึ่ง ราชันแห่งมวลมนุษย์ในตอนนี้ได้เดินทางไปถึงตำหนักไร้หทัยเรียบร้อยแล้ว หากเขาสามารถโน้มน้าวให้ตำหนักไร้หทัยเข้าร่วมกับพวกเขาได้มันจะหมายความว่ากองกำลังพันธมิตรมีจักรพรรดิเทพเพิ่มขึ้นอีกถึง 4 คน แถม 1 ใน 4 คนนั้นคือผู้ที่เคยถูกนับได้ว่าเป็นตัวตนที่ไร้เทียมทานของยุคก่อน และยิ่งไปกว่านั้นในยุคนี้หลิงตู้ฉิงแข็งแกร่งกว่าเดิมซะอีก
หากได้รับการช่วยเหลือจากหลิงตู้ฉิงจริง ๆ การจัดการกับพวกอสูรมันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ต้วนฉิงมองไปที่ราชันแห่งมวลมนุษย์และเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจว่าท่านมาที่นี่เพราะอะไร แต่ข้าคงต้องขอประกาศเอาไว้เลยว่าตำหนักไร้หทัยจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งนี้เด็ดขาด เมื่อในอดีตอาจารย์ของข้าสร้างบ่วงกรรมและพันธะเอาไว้มากมาย ซึ่งตอนนี้เขาก็พยายามที่จะชดใช้ปลดเปลื้องพันธะเหล่านั้นอยู่ ขืนเรายังคงเข้าร่วมกับความขัดแย้งนี้มันจะยิ่งเป็นการสร้างบ่วงกรรมมากขึ้นไปอีก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ราชันแห่งมวลมนุษย์ขมวดคิ้วและพูดขึ้นว่า “แต่ถ้าพวกอสูรเอาชนะกองกำลังพันธมิตรได้ ในอนาคตต่อไปจะไม่มีใครที่อยู่ได้อย่างเป็นสุขอีกเลยถึงแม้ว่าจะเป็นตำหนักไร้หทัยก็ตาม พวกอสูรมันก็คงไม่ปล่อยตำหนักไร้หทัยเอาไว้เฉย ๆ แน่นอน”
ต้วนฉิงส่ายหัวและพูดว่า “พวกอสูรมันไม่ได้โง่ขนาดที่จะมาโจมตีที่นี่หรอก ทุกสิ่งทุกอย่างมันเห็นได้ชัดอยู่แล้วจากการที่พวกมันเลือกที่จะโจมตีทิศทางอื่นไม่โจมตีมาทางฝั่งตำหนักไร้หทัย พวกอสูรอาศัยอยู่ในภูมิภาคทิศตะวันตกเฉียงใต้ ส่วนตำหนักไร้หทัยของข้าอยู่ในทิศตะวันตกเฉียงเหนือ พวกมันกับพวกข้านั้นไม่ได้อยู่ห่างไกลกันมากนักเลย แต่พวกมันกลับไม่โจมตีมาทางนี้แม้แต่น้อย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกมันไม่มีความคิดที่จะมาโจมตีที่นี่และเมื่อตอนนี้มันยังไม่โจมตี อนาคตต่อไปพวกมันก็ไม่มีทางโจมตีเหมือนกัน”
ราชันแห่งมวลมนุษย์ถอนหายใจ จากนั้นเขาพูดขึ้นด้วยสีหน้าจนใจว่า “งั้นเอาเป็นว่าเจ้าช่วยไปเรียกอาจารย์ของเจ้ามาให้ข้าสักหน่อยจะได้ไหม ข้าขอลองคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวสักหน่อย”
ถึงแม้ว่าต้วนฉิงจะปฏิเสธอย่างแน่วแน่ แต่ราชันแห่งมวลมนุษย์ก็ยังไม่อยากลดละความพยายาม ในใจของเขาคิดว่าอย่างน้อย ๆ ก็ต้องคุยกับหลิงตู้ฉิงโดยตรงก่อนอีกสักรอบ
“ท่านอาจารย์ตอนนี้ทำธุระอยู่ในยมโลก” ต้วนฉิงตอบกลับทันที
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ราชันแห่งมวลมนุษย์ถอนหายใจหนักกว่าเดิม
“เฮ้อ…แล้วข้าจะทำยังไงต่อไปดี?” ราชันแห่งมวลมนุษย์แสดงสีหน้าหม่นหมองเป็นอย่างมาก
เขารู้ว่าในตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับเขา หากเขาเจรจาสำเร็จมันจะหมายความว่าเผ่าอสูรจะหมดความได้เปรียบไปในทันที แต่ถ้าเขาล้มเหลวนั่นหมายความว่าโอกาสที่กองกำลังพันธมิตรจะพ่ายแพ้นั้นมีมากกว่า 6 ส่วน
แต่ตอนนี้มันดูเหมือนว่าไม่มีความหวังเลยที่จะเจรจาให้ตำหนักไร้หทัยมาเข้าร่วมได้ แล้วแบบนี้เขาต้องทำอย่างไรต่อไปดี?
เมื่อเห็นสีหน้าที่หม่นหมองของราชันแห่งมวลมนุษย์ ต้วนฉิงเอ่ยขึ้นเสนอทางเลือกใหม่ให้กับเขา “อันที่จริงหากเจ้าสามารถพูดให้ทุกเผ่าที่เข้าร่วมกับเจ้าตกลงยอมทำตามเงื่อนไขหนึ่งข้อของตำหนักไร้หทัยได้ ข้าจะมอบบางสิ่งบางอย่างที่สามารถช่วยเหลือพวกเจ้าได้แน่นอนเป็นการตอบแทน”
“ข้อตกลงอะไร?” ราชันแห่งมวลมนุษย์รีบถามกลับทันที
ต้วนฉิงยิ้มและตอบกลับ “เงื่อนไขก็ง่าย ๆ ทุก ๆ เผ่าจะต้องยอมรับว่าติดหนี้บุญคุณของตำหนักไร้หทัย ตราบใดที่ทุกเผ่าตกลงในข้อตกลงนี้ ข้าจะช่วยพวกเจ้าทั้งหมด ซึ่งข้ารับประกันได้เลยว่าสิ่งที่ข้ามีมันจะช่วยทำให้พวกเจ้าเอาชนะพวกอสูรได้แน่นอน”
ราชันแห่งมวลมนุษย์มองไปที่ต้วนฉิงด้วยสีหน้าโง่งม เขาไม่แปลกใจเท่าไหร่ในเรื่องข้อตกลง แต่สิ่งที่ทำให้เขานึกไม่ถึงเลยก็คือว่าต้วนฉิงจะกล้าพูดอะไรที่มันโอหังขนาดนี้
เอาชนะพวกอสูรได้แน่นอน? อะไรถึงทำให้มั่นใจได้ขนาดนั้น?
“เจ้าต้องเผยอะไรให้ข้ารู้บ้างเพื่อที่ข้าจะได้เอาไปโน้มน้าวคนอื่น ๆ!” ราชันแห่งมวลมนุษย์พูดขึ้น
แน่นอนว่าการทำให้ทุกเผ่ายอมรับว่าตนเองติดหนี้บุญคุณตำหนักไร้หทัยไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นเขาจึงต้องมีบางสิ่งที่มีน้ำหนักมากพอไปโน้มน้าวคนอื่น ๆ
ต้วนฉิงยิ้ม จากนั้นเขาเดินนำราชันแห่งมวลมนุษย์พาไปดูอะไรบางอย่างที่อยู่ส่วนลึกในตำหนัก
เมื่อได้เห็นสิ่งที่ต้วนฉิงพาไปดูแล้ว ราชันแห่งมวลมนุษย์สูดหายใจลึกด้วยอาการตกตะลึงจนแทบจะหยุดหายใจ จากนั้นเขารีบบินกลับไปที่แม่น้ำโลหิตเทพพระเจ้าเพื่อโน้มน้าวคนอื่น ๆ ทันที
เมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินเงื่อนไขของต้วนฉิง พวกเขาทั้งหลายต่างก็แสดงสีหน้าเดือดดาลไม่พอใจกันเป็นอย่างมาก
“ไอ้พวกตำหนักไร้หทัยมันจะเกินไปหน่อยไหม? ต่อให้พวกมันจะมีจักรพรรรดิเทพ 4 คน แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจำเป็นต้องไปติดหนี้บุญคุณกับพวกมันขนาดนั้น!”
“ถูกต้อง ข้าว่าพวกเราใช้โอกาสนี้บุกเข้าไปที่ตำหนักไร้หทัยกันดีกว่าไหม? พวกเราบุกเข้าไปจับตัวไอ้พวกตำหนักไร้หทัยทั้งหมด จากนั้นก็ส่งตัวพวกมันให้กับพวกอสูรซะมันคงจะเป็นเรื่องน่าตลกพิลึก”
“ถ้าพวกเราจะทำอะไรแบบนั้น แล้วตอนนี้พวกเราจะต่อสู้กับพวกอสูรไปเพื่ออะไร?”
“……”
จู่ ๆ สีหน้าของราชันแห่งมวลมนุษย์เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมและตะโกนว่า “หากพวกท่านคนไหนที่มีความต้องการจะทำเช่นนั้น ข้าขอเชิญให้ไปเข้าร่วมกับพวกอสูรได้เลย! ข้ารู้ว่าพวกท่านแทบทั้งหมดล้วนมีความขัดแย้งกับตำหนักไร้หทัยกันแทบทั้งนั้น แต่ทำไมพวกท่านถึงไม่คิดถึงสถานการณ์ของส่วนรวมตอนนี้บ้าง? เอาเป็นว่าหากพวกท่านคนไหนที่ดึงดันคิดถึงแต่ความแค้นส่วนตัวเป็นหลัก ข้าขอเชิญให้ถอนตัวออกไปจากกองกำลังพันธมิตรเดี๋ยวนี้ ข้าไม่ต้องการที่จะให้พวกท่านมีส่วนร่วมอีกต่อไป!”
“เหอะ! ในเมื่อเจ้าคิดว่าตัวเองแน่นักงั้นข้าไปก็ได้ แล้วก็อย่ามาว่าข้าก็แล้วกันหากข้าไปเข้าร่วมกับพวกอสูร!” จักรพรรดิเทพอัสนีตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าเดือดดาล
“เชิญเลย!” ราชันแห่งมวลมนุษย์ผายมือ “ข้ายินดีที่จะเจอเจ้าในสนามรบ!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จักรพรรดิเทพอัสนีดีดตัวลุกจากที่นั่งอย่างหุนหันด้วยสีหน้าเดือดดาล เขาตั้งใจว่าหลังจากนี้จะไปเข้าร่วมกับพวกอสูรในทันที
แต่แล้วก่อนที่เขาจะทันได้จากไป จักรพรรดิเทพเพลิงโลกันตร์รั้งตัวเขาเอาไว้และพูดว่า “สหายอัสนี ทำไมวันนี้ท่านใจร้อนมากกว่าข้าซะอย่างนั้น? นี่ท่านดูไม่ออกเหรอว่าราชันมนุษย์กำลังลองใจพวกเราอยู่! ท่านไม่เห็นสีหน้าเขาเหรอว่าตอนนี้เขามั่นใจว่าจะชนะมากขนาดไหน? ราชันมนุษย์ หากท่านต้องการจะให้พวกเราตกลงรับกับเงื่อนไขของตำหนักไร้หทัย ท่านควรจะเปิดเผยข้อมูลให้พวกเรารู้มากกว่านี้จริงไหม?”
“อย่าอ้างแค่ว่าด้วยจักรพรรดิเทพ 4 คนของตำหนักไร้หทัยจะทำให้พวกเราชนะได้ เพราะว่าข้าไม่เชื่อแบบนั้นแน่นอน หรือต่อให้เจ้าตำหนักไร้หทัยจะกลับมาแข็งแกร่งเหมือนเดิม ข้าก็ไม่เชื่อเหมือนกันว่าพวกเราจะชนะได้อย่าหมดจด”
ราชันแห่งมวลมนุษย์ยิ้มและถามกลับว่า “ข้าขอถามพวกท่านกลับสักหน่อย พวกท่านคิดว่าในอดีตเจ้าตำหนักไร้หทัยพิสูจน์เต๋าสำเร็จหรือไม่สำเร็จ?”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ ทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยความงุนงง
ไม่ใช่ว่าไอ้คนผู้นั้นมันไปเกิดใหม่ไม่ใช่เหรอ? แค่นี้มันก็เห็นได้อย่างชัดเจนแล้วไม่ใช่รึไงว่าคำตอบมันคืออะไร?
ราชันแห่งมวลมนุษย์ยิ้มอย่างมีเลศนัย และพูดว่า “ต่อให้เขาจะทำไม่สำเร็จ พวกท่านไม่สงสัยบ้างเหรอว่าตอนนี้ร่างของเขาอยู่ที่ไหน?”