พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 1025 ร่างระดับนิรันดร์กาล
เมื่อได้ยินคำพูดของราชันแห่งมวลมนุษย์ ทุกคนต่างแสดงสีหน้าสับสนกันยกใหญ่
จากคำพูดของราชันแห่งมวลมนุษย์ ร่างเดิมของเจ้าตำหนักไร้หทัยไม่ได้ถูกสวรรค์ทำลายแถมยังคงถูกเก็บเอาไว้อยู่ในสภาพสมบูรณ์งั้นเหรอ?
แต่มันก็เป็นแค่ร่างเปล่า ๆ ไม่ใช่รึไง มันจะมีความแข็งแกร่งถึงสักแค่ไหนกันเชียว?
ต่อให้เมื่อในอดีตเจ้าตำหนักไร้หทัยจะแข็งแกร่งเป็นอย่างมากจนสามารถสยบจักรพรรดิเทพทั้งหลายได้อย่างง่ายดาย แต่ว่าปัจจุบันร่างนี้เป็นเพียงแค่ร่างเปล่า ๆ อย่างมากความแข็งแกร่งของมันก็อาจจะเหนือกว่าจักรพรรดิเทพคนอื่น ๆ ไม่มากนัก ดังนั้นมันจะมีประโยชน์อะไรต่อให้ได้ร่างนี้มาช่วย?
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ จักรพรรดิเทพอัสนีก็เอ่ยถามขึ้น “หรือว่าเจ้าตำหนักไร้หทัยจะเป็นคนควบคุมร่างกายของเขามาช่วยพวกเราสู้?”
หากเป็นเช่นนั้นจริง พวกเขาถึงจะมีความหวังเพิ่มมากขึ้น มีเพียงแค่การให้เจ้าของร่างเดิมบังคับร่างของตนเองเท่านั้นมันถึงจะสามารถปลดปล่อยความแข็งแกร่งออกมาได้อย่างสูงสุด
ราชันแห่งมวลมนุษย์ส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ใช่หรอก ตำหนักไร้หทัยบอกอย่างชัดเจนว่าพวกเขาจะไม่เข้าร่วมการสู้รบนี้แน่นอน สิ่งที่พวกเขาจะช่วยเหลือเรามีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือให้ยืมร่างเดิมของเจ้าตำหนักพวกเขา”
“ถ้าเป็นแบบนั้นมันจะมีประโยชน์อะไร? ร่างนั้นมันจะแข็งแกร่งสักแค่ไหนกัน?” จักรพรรดิเทพเพลิงโลกันต์พ่นลมหายใจ
ราชันแห่งมวลมนุษย์หัวเราะ “ถ้างั้นหากข้าจะบอกพวกท่านว่าแท้จริงแล้วในอดีตเจ้าตำหนักไร้หทัยพิสูจน์เต๋าสำเร็จล่ะ? หากร่างของเขาที่พวกเราจะได้รับยืมมาเป็นร่างระดับนิรันดร์กาลล่ะ พวกท่านจะว่ายังไง?”
“หะ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้บรรดาผู้คนทั้งหลายต่างแสดงสีหน้าโง่งม
หากไอ้คนผู้นั้นพิสูจน์เต๋าได้สำเร็จ ทำไมมันถึงไปเกิดใหม่? การทำแบบนั้นมันจะได้อะไรขึ้นมา?
“ท่านแน่ใจงั้นเหรอ?” จักรพรรดินีฟีนิกซ์ถามราชันแห่งมวลมนุษย์ด้วยสีหน้าจริงจัง
ราชันแห่งมวลมนุษย์ถอนหายใจ “ข้าจะไม่แน่ใจได้ยังไง ข้าเห็นร่างนั้นมากับตา! ถึงแม้ว่าข้าจะไม่เคยเห็นผู้ที่พิสูจน์เต๋าสำเร็จมาก่อนในชีวิตของข้า แต่ข้าก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ข้าไม่อาจเทียบเทียมได้จากร่างกายนั่นอย่างชัดเจน มันเป็นกลิ่นอายที่ไม่มีจักรพรรดิเทพคนใดจะมีได้แน่นอน ดังนั้นการที่พวกเราได้ยืมร่างนั้นมาโดยแลกกับการที่พวกเราติดค้างหนี้บุญคุณกับตำหนักไร้หทัยย่อมเป็นราคาที่สมเหตุสมผล”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ บรรดาผู้คนที่ไม่เห็นด้วยก่อนหน้านี้ต่างเปลี่ยนการตัดสินใจกันทันที
ไม่เหมือนกับผู้พิสูจน์เต๋าที่อาจจะแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิเทพอยู่ครึ่งขั้น ผู้ที่พิสูจน์เต๋าสำเร็จหรือผู้ที่เป็นนิรันดร์กาลนั้นแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิเทพราวสามัญชนเผชิญกับเทพบนสรวงสวรรค์
พวกเขาเป็นตัวตนคนละระดับชั้นกันอย่างสิ้นเชิง ผู้ที่เป็นนิรันดร์กาลคือผู้ที่ไม่มีวันตายอย่างแท้จริง
ดังนั้นประโยชน์ที่พวกเขาจะได้จากการยืมร่างของหลิงตู้ฉิงมานั้นจึงไม่ได้มีเพียงแค่เอาปราบพวกอสูรเท่านั้น พวกเขายังสามารถเอาร่างของหลิงตู้ฉิงมาศึกษาหาความลับของตัวตนระดับนิรันดร์กาล เพื่อที่ในอนาคตพวกเขาอาจะใช้มันเป็นข้อมูลอ้างอิงในการพิสูจน์เต๋าของตนเอง
เมื่อคิดได้เช่นนี้ คนอื่น ๆ จึงพยักหน้ากันอย่างพร้อมเพรียงและพูดว่า “พวกเราตกลงในเงื่อนไขของตำหนักไร้หทัย พวกเรายอมติดหนี้บุญคุณตำหนักไร้หทัยโดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ”
“เอาล่ะพวกเราตกลงแล้ว ราชันมนุษย์ท่านรีบไปยืมร่างนั้นมาเร็ว!”
“ถูกต้อง ๆ หลังจากยืมมาพวกเรายังไม่ต้องโจมตีพวกอสูรก็ได้ พวกเรามาร่วมกันศึกษาร่างของเขาก่อนจะดีกว่า!”
“……”
เมื่อเห็นท่าทีกระตือรือร้นของคนอื่น ๆ เช่นนี้ ราชันแห่งมวลมนุษย์หัวเราะและพูดว่า “ในเมื่อทุกท่านเห็นตรงกันเช่นนี้ งั้นอันดับแรกพวกเรามาร่างสัญญากฎสวรรค์ในความร่วมมือของพวกเรากันก่อนดีกว่า!”
จากนั้นสัญญากฎสวรรค์ก็ถูกร่างขึ้นโดยราชันแห่งมวลมนุษย์ทันที ซึ่งมันคือสัญญากฎสวรรค์ที่ทุกคนตกลงว่าจะยอมรับเงื้อนไขการติดหนี้บุญคุณตำหนักไร้หทัยโดยไม่มีข้อแม้
จากนั้นเมื่อทุกคนลงชื่อกันเสร็จเรียบร้อย ราชันแห่งมวลมนุษย์ก็ไปเดินทางไปที่ตำหนักไร้หทัยอีกครั้ง
“พวกเขาทุกคนยอมรับข้อตกลงของเจ้า และนี่คือสัญญากฎสวรรค์ ข้าร่างขึ้นให้พวกเขาทำตามข้อตกลงที่เจ้าบอก เอาล่ะตอนนี้เจ้าคงพอใจแล้วใช่ไหม?” ราชันแห่งมวลมนุษย์พูดกับต้วนฉิง
ต้วนฉิงตรวจสอบสัญญากฎสวรรค์ จากนั้นเขาเก็บมันไปและพยักหน้าให้กับราชันแห่งมวลมนุษย์ “อืม ทุกอย่างเป็นไปตามที่ข้าต้องการ ว่าแต่ตอนนี้ตัวเจ้าเองพร้อมรึเปล่า?”
“พร้อม? หมายความว่ายังไง?” ราชันแห่งมวลมนุษย์ถามกลับด้วยสีหน้างุนงง
ต้วนฉิงหัวเราะและพูดว่า “เจ้าคิดว่าการเคลื่อนย้ายร่างของอาจารย์ข้ามันเป็นเรื่องง่ายงั้นเหรอ? ร่างของอาจารย์ข้าไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถถูกเคลื่อนย้ายได้ด้วยการขนไปขนมาหรอกนะ ทางเดียวที่จะเคลื่อนย้ายร่างกายของอาจารย์ข้าได้คือเจ้าต้องแบ่งดวงวิญญาณของเจ้าออกมาครึ่งหนึ่ง และส่งดวงวิญญาณของเจ้าเข้าไปบังคับร่างกายของอาจารย์ข้า จากนั้นเจ้าถึงจะสามารถบังคับร่างกายของอาจารย์ข้าไปไหนต่อไหนได้ รวมไปถึงเจ้ายังจะสามารถใช้พลังส่วนหนึ่งของอาจารย์ข้าได้ด้วย อันที่จริงถึงแม้ว่าเรื่องการแบ่งดวงวิญญาณมันจะดูโหดร้าย แต่ถ้าเจ้าลองคิดเรื่องที่เจ้าสามารถได้สัมผัสความรู้สึกของการเป็นตัวตนระดับนิรันดร์กาลด้วยตัวเอง ข้าคิดว่ามันคุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม!”
ราชันแห่งมวลมนุษย์ขมวดคิ้วมองไปที่ต้วนฉิงด้วยสีหน้าไม่พอใจสักเท่าไหร่นัก เขารู้สึกได้ทันทีว่าเรื่องนี้มันมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเอาซะเลย
“เจ้าไม่ต้องมามองข้าแบบนี้ นี่เป็นทางเดียวที่เจ้าจะสามารถเคลื่อนย้ายร่างอาจารย์ของข้าได้ หรือถ้าหากเจ้าไม่เชื่อ เจ้าจะลองใช้วิธีอื่น ๆ ที่เจ้าคิดออกดูก็ได้ จงรู้เอาไว้ว่าข้าไม่ได้บังคับให้เจ้าทำเช่นนี้ เจ้าเป็นคนมาขอความช่วยเหลือจากข้าเอง ดังนั้นหากเจ้ายอมรับมันได้ก็จงยอมรับไป แต่ถ้าหากยอมรับไม่ได้ เจ้าจะจากไปก็ได้ข้าไม่ได้ว่าอะไร” ต้วนฉิงตอบกลับด้วยสีหน้าไม่แยแส
เมื่อเห็นท่าทีที่ไม่แยแสของต้วนฉิง ราชันแห่งมวลมนุษย์ก็ได้แต่ถอนหายใจและพูดว่า “ถึงแม้ว่าข้าจะมั่นใจอยู่บ้างว่านี่มันต้องเป็นแผนอะไรบางอย่างของเจ้ากับอาจารย์เจ้าแน่ ๆ แต่ประโยชน์ที่ข้าจะได้รับตอบแทนมันก็เกินต้านไหวจริง ๆ”
สามารถจัดการกับพวกอสูรได้แถมยังได้สัมผัสอำนาจระดับนิรันดร์กาลโดยตรง ราชันแห่งมวลมนุษย์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับเพราะถ้าหากเขาพลาดโอกาสนี้ไป เขาจะไม่มีวันได้เผชิญกับโอกาสดี ๆ แบบนี้อีกแน่นอนตลอดกาล
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ราชันแห่งมวลมนุษย์แบ่งดวงวิญญาณของเขาออกไปครึ่งหนึ่งทันที จากนั้นเขาส่งดวงวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งของตัวเองเข้าไปในร่างของหลิงตู้ฉิงตามคำแนะนำของต้วนฉิง
ในทันทีที่ดวงวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งของตนเองเข้าไปในร่างของหลิงตู้ฉิง ร่างหลักของราชันแห่งมวลมนุษย์ก็เผยรอยยิ้มจนใจและพูดว่า “ตอนนี้ข้าชักไม่แน่ใจแล้วว่าทั้งหมดนี้มันคุ้มค่ารึเปล่า!”
ตอนนี้เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าในทันทีที่ดวงวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งของเขาเข้าไปในร่างของหลิงตู้ฉิง ดวงวิญญาณครึ่งนั้นของเขามันสลายหายไปในทันทีเหลือเอาไว้เพียงเศษเสี้ยวเล็ก ๆ ที่เอาไว้ใช้ควบคุมร่างกายของหลิงตู้ฉิงเท่านั้น
ต้องรู้เอาไว้ว่าการสูญเสียดวงวิญญาณของตัวเองไปถึงครึ่งหนึ่งเช่นนี้สำหรับจักรพรรดิเทพนั้นนับว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก
ต้วนฉิงยิ้มอย่างไร้อารมณ์ และพูดขึ้นว่า “เอาล่ะตอนนี้เจ้าก็สามารถสัมผัสได้ถึงอำนาจอันไร้เทียมทานของอาจารย์ข้าแล้ว!”
ทางด้านของราชันแห่งมวลมนุษย์พยักหน้าและไม่ใส่ใจกับสิ่งที่เขาเพิ่งเสียไปอีก เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไร เขาเริ่มเชื่อมต่อกับเศษเสี้ยวดวงวิญญาณของเขาที่ยังหลงเหลืออยู่ในร่างกายของหลิงตู้ฉิง และจากนั้นก็เริ่มตรวจสอบสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในร่างของตัวตนระดับนิรันดร์กาล
แค่เพียงชั่วครู่เดียวที่เขาได้ตรวจสอบอำนาจที่สถิตอยู่ในร่างของหลิงตู้ฉิง ร่างหลักของราชันแห่งมวลมนุษย์ก็สั่นเทาและสีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น