พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 111 สามทางเลือก[รีไรท์]
บทที่ 111 สามทางเลือก[รีไรท์]
กงหนิวมองไปยังหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าหวาดกลัว ในใจเขามีแต่ความเสียใจที่ได้พลาดไปล่วงเกินปีศาจตนนี้
เมื่อเผชิญหน้ากับสามตัวเลือกที่หลิงตู้ฉิงบอก กงหนิวพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ขะ ข้าขอเลือกตัวเลือกแรก”
กงหนิวเองนั้นไม่รู้เช่นกันว่าการปลุกสายเลือดเพื่อให้มาลากรถม้านั้นหมายความว่าอะไร แต่จากเงื่อนไขในตัวเลือกอีกสองข้อที่เหลือนั้น แค่เขาฟังดูก็รู้หากเขาเลือกไปเขาตายแน่ เขาคิดว่าอย่างน้อยการลากรถม้า 100 ปีก็ดีกว่าหมดลมหายใจตอนนี้
“ดีมาก นี่ถือว่าเจ้ายังมีสมองอยู่บ้าง” หลิงตู้ฉิงพูดด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ เข้ามาประทับเลือดเจ้าลงในสัญญาข้าก่อน”
เมื่อกงหนิวลงสัญญาเรียบร้อย หลิงตู้ฉิงจึงนำกระทิงเพลิงปฐพีและหญ้ากลั่นโลหิตโยนเข้าไปในค่ายกลเพื่อหลอมพวกมัน หลังจากหลอมได้สักพัก กระทิงและหญ้าได้หลอมรวมกันจนเหลือเพียงก้อนเลือดขนาดเท่ากำปั้น
“กินมันซะ” หลิงตู้ฉิงส่งก้อนเลือดลอยไปหากงหนิวและสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“เลือดของกะทิงเพลิงปฐพีจะช่วยให้เจ้าปลุกสายเลือดปีศาจกระทิงเพลิงอเวจีในร่างของเจ้าขึ้นมา”
กงหนิวเมื่อได้ยินคำสั่ง เขารีบกลืนก้อนเลือดที่อยู่ตรงหน้าเขาทันที
“เยว่เฟิง เจ้าจงถือหลิงจู้ และบินขึ้นไปคุ้มกันทั่วรอบบริเวณคฤหาสน์จากบนฟ้า ห้ามให้ใครก็ตามเข้ามาในพื้นที่คฤหาสน์ได้ หากใครไม่เชื่อฟัง ข้าอนุญาตให้เจ้าใช้ความรุนแรงกับพวกเขาได้ทันที!” หลิงตู้ฉิงสั่ง
เสี่ยวเยว่เฟิงพยักหน้า นางจึงเดินไปนำหลิงจู้มาจากมี่ไลมาแล้วบินขึ้นฟ้าลอยตัวอยู่เหนือคฤหาสน์ทันที
อันที่จริงเสี่ยวเยว่เฟิงรวมถึงคนอื่น ๆ ที่ได้ยินคำสั่งนี้ ทุกคนล้วนสงสัยว่าหลิงตู้ฉิงกำลังจะทำอะไร ทำไมถึงต้องให้ผู้เชี่ยวขาญขอบเขตนภาขึ้นไปคุ้มกันบนอากาศ และสายเลือดกระทิงปีศาจอะไรนั่น มันคืออะไร? ทุกคนล้วนมองหน้ากันอย่างงุนงง
ในขณะเดียวกัน จู่ ๆ กลิ่นอายพลังวิญญาณอันน่าสะพรึงปะทุขึ้นแพร่ออกจากร่างกงหนิว ที่ด้านหลังของเขาเริ่มมีเงาร่างใหญ่ก่อตัวขึ้น
“ทุกคนมายืนหลบหลังข้า!” หลิงตู้ฉิงตะโกน
เมื่อได้ยินคำสั่ง ทุกคนที่กำลังหวาดกลัวกับกลิ่นอายของกงหนิว พวกเขารีบวิ่งมาหลบหลังหลิงตู้ฉิงทันที
ในตอนนี้ กลิ่นอายพลังวิญญาณอันน่าสะพรึงของกงหนิวเริ่มปะทุรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับเงาที่อยู่ด้านหลังเองก็เริ่มขยายตัวใหญ่ขึ้น กลิ่นอายรุนแรงระดับนี้ส่งผลไปทั่วทั้งเมืองหลวงให้ตกอยู่ในความโกลาหล ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดที่อยู่ในเมืองหลวงเวลานี้พวกเขาเริ่มตื่นตัว พวกเขามองไปยังต้นกำเนิดของพลังวิญญาณชั่วร้ายที่แพร่ออกมา
หลิงตู้ฉิง ตอนนี้กำลังมองการเปลี่ยนแปลงของกงหนิวอย่างใจเย็น เขากำลังรอช่วงเวลาที่เหมาะแก่การลงมือ
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ผู้เชี่ยวชาญระดับสูงที่อยู่ในเมืองหลวงทุกคนเริ่มเคลื่อนไหว พวกเขาเริ่มบินมายังทิศทางของคฤหาสน์สราญรมย์ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดพลังวิญญาณ
“หยุด! พวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้ในรัศมี 5 ลี้” เสี่ยวเยว่เฟิงใช้พลังวิญญาณขยายเสียงตะโกนของนางไปยังเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่กำลังบินเข้ามา
หลิงเจิ้งสงและจ้าวปาเทียนที่อยู่ในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่บินเข้ามา เมื่อพวกเขาเห็นเสี่ยวเยว่เฟิงลอยอยู่เหนือคฤหาสน์พร้อมกับหลิงจู้ที่อยู่ในมือ พวกเขาได้ตะโกนถามออกไป “แม่นางเสี่ยว มีอะไรเกิดขึ้นในคฤหาสน์ ท่านต้องการให้พวกข้าช่วยเหลืออะไรไหม?”
เสี่ยวเยว่เฟิงตอบกลับ “หากนายท่านไม่สามารถรับมือได้ พวกเจ้าก็ไม่สามารถรับมือได้เช่นกัน ถอยออกไป 5 ลี้ทันที ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่สุภาพ!”
บรรดาผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งหลิงเจิ้งสงและจ้าวปาเทียน เมื่อได้ยินเช่นนั้นพวกเขาถอยห่างออกไปเกิน 5 ลี้ทันที
พวกเขาไม่กล้าเมินเฉยกับคำเตือนของเสี่ยวเยว่เฟิง โดยเฉพาะขณะนี้ที่นางถือหลิงจู้อยู่ในมือ ขนาดผู้เชี่ยวชาญขอบเขตควบแน่นลมปราณยังใช้มันสังหารผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราได้ภายในพริบตา นับประสาอะไรกับเสี่ยวเยว่เฟิงที่เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราเป็นคนใช้มัน โอกาสรอดของพวกเขาคงเหลือเป็นศูนย์หากยั่วยุนาง
ในปัจจุบันคนส่วนใหญ่นั้นยังไม่ทราบว่าเสี่ยวเยว่เฟิงเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภา หากพวกเขารู้ข้อมูลนี้ด้วยแล้ว พวกเขาคงกลัวจนหัวหดยิ่งกว่านี้เป็นร้อยเท่า
บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่ถอยออกมาระยะ 5 ลี้ พวกเขาต่างเฝ้ามองไปทางคฤหาสน์อย่างสงสัยว่าภายในนั้นเกิดอะไรขึ้น เนื่องจากในระยะไกลขนาดนี้พวกเขาไม่มีทางเห็นได้เลยว่าด้านในนั้นหลิงตู้ฉิงกำลังทำอะไร
ในคฤหาสน์ หลิงตู้ฉิงที่กำลังมองไปยังกงหนิวที่กำลังปล่อยกลิ่นอายชั่วร้ายรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
จากนั้นหลิงตู้ฉิงเริ่มทำการเปิดใช้ค่ายกลป้องกันของคฤหาสน์ ส่งผลให้อักษร อักขระต่าง ๆ หมุนวนล้อมรอบร่างกายของเขา พลังวิญญาณที่อยู่บริเวณรอบคฤหาสน์เริ่มพุ่งเข้าสู่ร่างกายของหลิงตู้ฉิงเป็นจำนวนมหาศาล ทำให้ระดับบ่มเพาะของเขาทะยานขึ้นไปอย่างรวดเร็วจนทะลวงไปยังขอบเขตประสานทะเลปราณ ไปถึงขอบเขตรวมแสงดาราจนไปจบที่ขอบเขตนภา
เมื่อระดับบ่มเพาะของหลิงตู้ฉิงไปถึงจุดสูงสุดของขอบเขตนภาแล้ว เขาจึงยับยั้งค่ายกลไว้ แล้วลงมือวาดอักขระเวทย์ขึ้นบนอากาศและส่งมันพุ่งเข้าสู่ร่างของกงหนิวในทันที
เมื่ออักขระเวทย์พุ่งเข้าปะทะกับร่างของกงหนิว ร่างเงาดำขนาดใหญ่ที่ก่อรูปขึ้นจึงหดเล็กลงกลับเข้าไปในร่างของกงหนิวจนหมดสิ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อกระบวนการจบสิ้น ภาพอันน่าตื่นตะลึงได้ปรากฎขึ้นต่อหน้าทุกคนในลานคฤหาสน์
ร่างของกงหนิวที่ดูดซึมเงายักษ์เข้าไปจนหมดเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง กลุ่มพลังดำมืดขนาดใหญ่เริ่มแพร่กระจายออกจากร่างเขาอีกรอบ
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก หลิงตู้ฉิงจึงโบกมือสลายอักขระเวทย์ที่ส่งไปหากงหนิวให้สลายออกไป และในเวลาเดียวกันกลุ่มพลังสีดำเองก็กระจายสลายออกไปด้วยเช่นกัน
จากนั้นภาพที่ทุกคนเห็นคือ ร่างกระทิงขนาดใหญ่ตัวสีดำทมิฬ ซึ่งมีเปลวเพลิงสีเขียวลุกโชนรอบกาย ขนาดของมันสูงราว 3 เมตรยาว 5 เมตร ยืนตระหง่านอยู่ที่เดียวกับที่กงหนิวเคยยืนอยู่
เมื่อหลิงตู้ฉิงเห็นภาพนี้ เขายิ้มด้วยความพึงพอใจ จากนั้นจึงหยิบเก้าอี้ออกมาจากแหวนมิติและนั่งลงด้วยสีหน้าซีดเซียวเล็กน้อย ระดับบ่มเพาะที่เคยอยู่จุดสูงสุดของขอบเขตนภาของเขาก็เริ่มลดลงเรื่อย ๆ จนเหลือระดับเดิมที่เขาเคยอยู่คือจุดสูงสุดขอบเขตควบแน่นลมปราณ
“ต่อไปนี้หน้าที่ของเจ้าคือลากรถม้าให้ข้าเป็นเวลา 100 ปี หลังจากร้อยปีผ่านไป ข้าจะคืนอิสระให้เจ้าอีกครั้งหนึ่ง” หลิงตู้ฉิงเอ่ยไปยังกงหนิวที่ตอนนี้อยู่ในร่างกระทิงปีศาจ
กงหนิวพยักหัวของเขาและตอบกลับ “ขอบคุณนายท่านที่เมตตา!”
“เอาล่ะ เจ้ากลับมาได้แล้ว” หลิงตู้ฉิงเงยหน้าสั่งเสี่ยวเยว่เฟิง
เมื่อเสี่ยวเยว่เฟิงได้ยินคำสั่ง นางจึงบินกลับลงมาและส่งคืนหลิงจู้ให้กับมี่ไล จากนั้นจึงกลับมายืนข้างหลิงตู้ฉิงตามเดิม
นางมองไปยังกงหนิวที่กลายเป็นกระทิงด้วยความประหลาดใจ นางได้แต่สงสัยว่าวิชาพิสดารอะไรที่ทำให้คนกลายร่างเป็นกระทิงได้
หลิงตู้ฉิงที่นั่งพักจนสีหน้าเริ่มดีขึ้นได้พูดว่า “เยว่เฟิง ต่อไปนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้พลังของเจ้าในการขับเคลื่อนรถม้าอีกต่อไป เจ้าจงใช้กงหนิวในการลากรถม้าแทน เจ้าเข้าใจไหม?”
“รับทราบนายท่าน” เสี่ยวเยว่เฟิงพยักหน้า
จากนั้นหลิงตู้ฉิงจึงหันกลับมาหากงหนิวและพูดขึ้น “กงหนิว ตอนนี้ตระกูลของเจ้าน่าจะกำลังวุ่นวายอยู่ ข้าอนุญาตให้เจ้ากลับไปยังตระกูลเพื่อสะสางเรื่องราวต่าง ๆ ให้เสร็จสิ้น และจากนั้นจงรีบกลับมาหาข้าทันที”
“ขอบคุณนายท่าน!” กงหนิวพูดด้วยน้ำเสียงเคารพ จากนั้นเขาจึงพุ่งบินออกไปทางทิศที่เรือนตระกูลเขาตั้งอยู่ด้วยความเร็วที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดารายังเทียบไม่ติด
“หายไปแล้ว?” ผู้คนที่เห็นกงหนิวหายไปเพียงชั่วพริบตา อุทานออกมาด้วยอาการตกตะลึง
เสี่ยวเยว่เฟิงและโม่หยูถังต่างมองหน้ากันและส่ายหัว วันนี้พวกเขาได้เห็นความพิสดารของนายท่านอีกแล้ว
ในตอนนี้ หลิงเจิ้งสงและจ้าวปาเทียนพร้อมกับชายวัยกลางคนแต่งกายด้วยชุดสีทองอร่ามปักลายมังกรพันรอบตัว เมื่อพวกเขาเห็นว่าเสี่ยวเยว่เฟิงได้บินกลับเข้าไปในคฤหาสน์แล้ว พวกเขาจึงบินตามเข้ามาในคฤหาสน์สราญรมย์เพื่อตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
หลิงตู้ฉิงที่เห็นร่างของทั้งสาม บินร่อนลงมายังลานคฤหาสน์ของเขา หลิงตู้ฉิงพึมพำกับตัวเอง “วุ่นวายจริง ๆ”
ในขณะนี้จ้าวปาเทียน หลิงเจิ้งสง และชายแปลกหน้าที่ใส่ชุดสีทอง พวกเขาร่อนลงมายืนตรงหน้าหลิงตู้ฉิง
จ้าวปาเทียนและหลิงเจิ้งสง จึงแนะนำชายที่อยู่ในชุดทองลายมังกรกับหลิงตู้ฉิง “นี่คือองค์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรจันทรา…”
หลิงตู้ฉิงมองไปยังพวกเขาทั้งสามและส่ายหัว จากนั้นจึงพูดแทรกกับทั้งสามว่า “เชิญนั่งเถอะ”
ในขณะที่หลิงตู้ฉิงพูด ท่าทีที่เขาแสดงออกนั้นคล้ายพูดอยู่กับสามัญชนธรรมดา เขาไม่แม้แต่จะลุกขึ้นเชิญ เขายังคงนั่งบนเก้าอี้อย่างสงบ
แต่ในขณะที่คนอื่น ๆ ในลาน ได้ยินว่าเป็นจักรพรรดิพวกเขาทั้งหมดคุกเข่าลงทันทีรวมทั้งมี่ไล หลิวเฟ่ยเฟ่ยและแม้แต่ถังชี่หยุนเองก็ยังคุกเข่าลง รวมไปถึงทหารอีก 750 นาย ทุกคนต่างคุกเข่า
อย่างไรก็ตามมีบางคนที่นิ่งเฉยไม่คุกเข่าลงเช่นกัน
หนึ่งในนั้นคือเสี่ยวเยว่เฟิง ด้วยขอบเขตนภาของนาง นางไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะให้ความเคารพกับจักรพรรดิของอาณาจักรอันกระจ้อยร่อยแห่งนี้
ส่วนกงหยูเขาเหลือบมองไปยังหลิงเจิ้งสงอยู่แวบหนึ่งด้วยความลังเล ก่อนที่จะไปยืนอยู่ด้านหลังหลิงตู้ฉิง
ถัดมาคือโม่หยูถังและเด็ก ๆ เมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงไม่ขยับพวกเขาก็ไม่มีใครขยับเช่นกัน
ยกเว้นหลิงยู่ชานและหลิงว่านถิง ทั้งสองคนเดินออกไปนำเก้าอี้ออกมาสามตัวจากในคฤหาสน์เพื่อให้ หลิงเจิ้งสง จ้าวปาเทียน และจักรพรรดิอาณาจักรจันทรา เหลียงซาน
“ลุกขึ้น!” เหลียงซาน จักรพรรดิแห่งอาณาจักรจันทราพูด
เขาขมวดคิ้วมองหน้าบรรดาคนที่ไม่ได้คุกเข่าให้กับเขา พลางเดินไปที่เก้าอี้อย่างเงียบ ๆ และนั่งลง
เหลียงซานมองออกว่าคนที่สามารถมีผู้ติดตามเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาได้ สถานะเบื้องหลังของอีกฝ่ายย่อมต้องมีที่มาไม่ธรรมดา เขาจึงเก็บความรู้สึกไม่พอใจเอาไว้ภายใน ไม่พูดอะไรออกมา
เมื่อมองไปที่หลิงตู้ฉิงที่ยังสงบ หลิงเจิ้งสงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล ไม่กี่วันที่ผ่านมาหลานชายปลอมของเขาคนนี้พึ่งบอกเจตนาของเขาว่าอยากจะยืมตราหยกจักรพรรดิ หากวันนี้เขาเอ่ยเรื่องยืมตราหยกอีกรอบ เขาคิดว่าวันนี้เหตุการณ์ทุกอย่างคงจบไม่สวยแน่นอน
แต่ยังโชคดีที่ หลิงตู้ฉิงไม่ได้เปิดปากเพื่อขอยืมตราหยกจักรพรรดิ แต่ถามอย่างเรียบง่าย “พวกท่านมาทำอะไรกันที่นี่?”