พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 116 ถอนตัว[รีไรท์]
บทที่ 116 ถอนตัว[รีไรท์]
อาจารย์ทั้งหมดจากไปด้วยความไม่พอใจ ส่วนนักเรียนคนอื่น ๆ ก็จากไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยการเยาะเย้ย
ก่อนที่พวกเขาจะจากไปพวกเขายังตะโกนว่า “ฮ่า! คณะเปิดชั่วคราว นี่มันก็แค่สถานที่เลี้ยงเด็กอนุบาลเท่านั้นสินะ”
ที่จริงแล้วไม่ใช่แค่นักศึกษาและอาจารย์คนอื่น ๆ เท่านั้นที่เป็นแบบนี้ แม้แต่ในบรรดานักศึกษาทั้ง 28 คน ที่ตกลงเข้าร่วมคณะเปิดชั่วคราวแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นสภาพการฝึกของลูก ๆ หลิงตู้ฉิงแล้ว 5 คนจาก 28 จึงถอนตัวออกทันที
เมื่อเห็นว่ามีนักศึกษาถอนตัวจากไป หลิงตู้ฉิงซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกรำคาญ ริมฝีปากยังเผยรอยยิ้ม
นักศึกษาที่เหลืออีก 23 คนนั่งงุนงงมองหน้ากันอยู่สักพัก และเมื่อพวกเขาเห็นว่าหลิงตู้ฉิงไม่มีคำสั่งให้พวกเขาทำอะไรต่อ พวกเขาจึงแยกย้ายกันไปฝึกตามวิธีการของพวกเขาเอง
มีเพียง โกวเจี้ยน เจียงซิงเฉิง และ เหวินเต๋า เท่านั้นที่ไม่ขยับตัวไปไหน
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” เจียงซิงเฉิงมองไปยังเหวินเต๋า
เหวินเต๋ายิ้มและพูดว่า “ข้าบอกอาจารย์ว่าข้าจะเข้าร่วมคณะนี้ชั่วคราวเพื่อโน้มน้าวให้เจ้าออกไป”
“พ่อของข้าสั่งให้ข้าอยู่ที่นี่ ข้าไปไหนไม่ได้ เจ้าไม่ต้องเสียแรงหรอกตราบใดที่พ่อข้ายังไม่ถอนคำสั่งข้าก็ไม่กล้าออกไป เจ้าถอนตัวออกไปเถอะอย่าเสียเวลาเปล่าเลย” เจียงซิงเฉิงพูด
“เอาน่า ไม่เป็นไร ไหน ๆ ข้าก็เข้ามาแล้ว ข้าขอดูสถานการณ์ต่ออีกสัก 2-3 วันไปก่อน ถ้าที่นี่มันห่วยจริง ข้าค่อยถอนตัวออกไปก็แล้วกัน” เหวินเต๋าหัวเราะ
เจียงซิงเฉิงตบไหล่เพื่อนสนิทของเขาด้วยแววตาซาบซึ้ง อารมณ์ของเขาดีขึ้นเล็กน้อย อย่างน้อย ๆ เพื่อนสนิทของเขาก็เข้ามาอยู่ด้วย
ในอีกด้านหนึ่ง โกวเจี้ยนที่กำลังมองไปรอบ ๆ พลางคิดสาปแช่งในใจ
ที่นี่มันนรกจริง ๆ มันคือนรกสำหรับข้าเองนี่แหละ!
เขากู่ร้องอยู่ในใจ เขาไม่อยากจะเชื่อว่าพ่อของเขาจะทำให้เขามีชะตากรรมอันโหดร้ายเช่นนี้
หลังจากก่นด่าพ่อตัวเองอยู่ในใจสักพัก จนอารมณ์นิ่งขึ้นนิดหน่อย เขาจึงลุกขึ้นและเมื่อเห็นว่าหลิงว่านจุนและหลิงยี่เทียนกำลังเล่นหมากรุก โกวเจี้ยนจึงเดินไปดูเด็กทั้งสองเล่นหมากรุกกันแก้เซ็ง
สำหรับเขากิจกรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นในลานตอนนี้ มีเพียงหมากรุกเท่านั้นที่น่าสนใจ เนื่องจากเขาเองก็เป็นหนึ่งในผู้เล่นหมากรุกอันดับต้น ๆ ของนักศึกษาในสถาบัน
หลังจากมองดูการดวลกันของเด็กทั้งสองอยู่เป็นเวลานาน สีหน้าของโกวเจี้ยนตอนนี้เริ่มเคร่งขรึมขึ้น หลังจากนั้นไม่นานโกวเจี้ยนก็นำเก้าอี้มาตั้งข้าง ๆ พวกเขาและนั่งลงมองไปยังกระดาน
หลังจากที่หลิงหว่านจุนและหลิงยี่เทียนเล่นจนจบตาแล้ว โกวเจี้ยนก็ถามอย่างเร่งรีบว่า “ข้าชื่อ โกวเจี้ยน น้องชายสองคนชื่ออะไรกันบ้าง?”
หลิงว่านจุนและหลิงยี่เทียนพูดชื่อของพวกเขา
“ข้าขอถามหน่อยได้ไหมว่าพวกเจ้ากับอาจารย์หลิงเป็น…” โกวเจี้ยนถามขึ้น
“เขาเป็นพ่อของพวกเรา!” จากนั้นหลิงยี่เทียนพูดว่า “พี่เจี้ยน ท่านรู้วิธีเล่นหมากรุกไหม? ท่านอยากจะเล่นกับพวกเรารึเปล่า?”
โกวเจี้ยนยิ้มและพูดว่า “แน่นอน ข้ารู้วิธีเล่นหมากรุก ข้าเล่นเก่งซะด้วยนะ ในคณะเตรียมทหารข้าได้เป็นอันดับ 2 เชียวล่ะ โอ้ ใช่แล้วอาจารย์หลิงสอนวิธีเล่นหมากรุกให้กับพวกเจ้างั้นเหรอ?”
หลิงว่านจุนหัวเราะ “ใช่แล้วท่านพ่อเป็นคนสอนพวกเราเอง! มา ท่านกับพี่ชายของข้าเล่นกันก่อน แล้วจากนั้นเราค่อยสลับกันเล่นนะพี่เจี้ยน!”
“ไม่มีปัญหา!” โกวเจี้ยนหัวเราะ
แม้ว่าเขาจะยิ้ม แต่ในใจโกวเจี้ยนรู้สึกตกใจมาก
เด็กสองคนนี้พึ่งมีอายุเท่าไหร่กันเอง? ทำไมชั้นเชิงการเล่นหมากรุกถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้? แล้วเด็ก ๆ ทั้งสองคนนี้บอกว่าพ่อของพวกเขาสอนมา?
จากนั้นเขาเหลือบมองไปยังหลิงตู้ฉิง เขาพึมพำอยู่ในใจ หรืออาจารย์หลิงคนนี้จะไม่ธรรมดาอย่างที่คนภายนอกเข้าใจ?
พ่อของเขาต้องรู้อะไรบางอย่างมาแน่ ๆ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ถูกบังคับให้เข้าร่วมคณะนี้แน่นอน
โกวเจี้ยนเริ่มเล่นหมากรุกกับเด็กทั้งสองในขณะที่ในหัวสมองเขามีความคิดว้าวุ่นอยู่เป็นจำนวนมาก
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก นักศึกษาที่เหลืออยู่ถอนตัวจากไปอีก 5 คนเพราะพวกเขาได้ทราบเรื่องอาจารย์ที่ดูแลการสอนศิลปะการต่อสู้ให้พวกเขานั้นคือพ่อบ้านของหลิงตู้ฉิง ซึ่งเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่สามารถบ่มเพาะได้
ดังนั้นจาก 23 คน ตอนนี้มีเพียง 18 คนยังคงอยู่
จ้าวเหมิงลู่ เมื่อนางเห็นเช่นนี้ นางจึงเริ่มกังวล นางกลัวว่าจะมีคนถอนตัวมากเกินไป ซึ่งส่งผลให้หลิงตู้ฉิงเสียหน้าและประกอบด้วยกับนางเองก็เป็นห่วงปู่ของนางที่ลงแรงไปอย่างมากกับคณะใหม่นี้จะหมดความพยายามไปอย่างสูญเปล่า นางจึงตัดสินใจลองไปปรึกษาปู่ของนางอีกครั้งเพื่อช่วยกันหาทางแก้ไขปัญหานี้
“ข้าขอตัวสักครู่ ข้ามีเรื่องจะปรึกษากับปู่ของข้าหน่อย” จ้าวเหมิงลู่พูดกับหลิงตู้ฉิง จากนั้นนางก็ลุกขึ้นและรีบเดินไปที่ห้องทำงานของจ้าวปาเทียน
ตอนนี้ไม่ว่าใครที่อยู่บริเวณใกล้กับห้องทำงานของจ้าวปาเทียน พวกเขาสามารถได้ยินเสียงในห้องทำงานนั้นได้อย่างชัดเจนว่ากำลังมีคนโต้เถียงกันดังลั่นภายในห้อง หลายคนที่อยู่ในห้องตำหนิจ้าวปาเทียนที่ปล่อยให้หลานเขยของเขาสร้างปัญหาและยังอ้างว่าหลิงตู้ฉิงทำให้ภาพลักษณ์ของสถาบันเสื่อมเสีย
เมื่อเห็นจ้าวเหมิงลู่เข้ามา คณบดีของคณะศาสตร์ยุทธ จิ๋นห้าวหมิงรีบพูดว่า “เหมิงลู่ เพื่อเห็นแก่หน้าปู่ของเจ้า เจ้าช่วยรีบไปบอกกับคู่หมั้นของเจ้าได้ไหม อย่าปล่อยให้เขาทำลายอนาคตของลูกศิษย์สถาบันเราแบบนี้ นี่ข้าพึ่งได้รับข่าวมาว่าคู่หมั้นของเจ้าจะให้คนธรรมดาที่ไม่สามารถบ่มเพาะได้ มาเป็นอาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้ให้กับนักศึกษาในคณะ เขาทำแบบนี้ได้ยังไง หากเรื่องนี้หลุดออกไปชื่อเสียงของสถาบันราชวงศ์เราจะต้องพังพินาศเจ้าเข้าใจไหม!?”
ท่าทางของจิ๋นห้าวหมิง ทำให้จ้าวเหมิงลู่อึดอัดมาก มันทำให้นางไม่กล้าเอ่ยในสิ่งที่นางต้องการจะพูดในตอนแรกที่เดินเข้ามา
จ้าวเหมิงลู่รวบรวมสติอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางจึงพูดขึ้นว่า “ท่านคณบดีจิ๋น คู่หมั้นข้า เขาได้ลั่นวาจาไว้แล้ว หากนักศึกษาคนไหนต้องการที่จะถอนตัว พวกเขาสามารถจากไปได้เลย ฉะนั้นหากพวกเขาไม่พอใจ พวกเขาก็สามารถเลือกได้ด้วยตัวเอง คู่หมั้นของข้าไม่ได้บังคับใครให้มาอยู่ในคณะของเขาสักคน!” จ้าวเหมิงลู่พูดเสียงแข็ง “และอันที่จริงเขาเป็นคนบอกกับข้าเองว่ามีคนมากเกินไปด้วยซ้ำ ถ้าท่านไม่สบายใจมากจริง ๆ เช่นนั้นท่านก็ไปโน้มน้าวให้พวกเขาออกไปด้วยตนเองได้เลย!”
จ้าวปาเทียนกล่าวเสริมต่ออีกว่า “ข้าไม่ได้พูดไปแล้วเหรอว่าจะปล่อยให้เด็ก ๆ เลือกกันเอง ถ้าพวกเขาต้องการอยู่พวกเขาก็อยู่ แต่ถ้าเขาต้องการจะถอนตัวจะไม่มีใครห้ามพวกเขาได้”
“ยิ่งไปกว่านั้นข้าได้ตกลงกับพวกท่านไปแล้วนี่ ว่าข้าจะใช้สมบัติระดับวิญญาณของข้าเป็นหลักประกันในการจัดตั้งคณะเปิดชั่วคราว ถ้าคณะนี้ไร้ประโยชน์จริง ๆ พวกท่านก็สามารถนำสมบัติระดับวิญญาณชิ้นนั้นของข้าไปได้เลย เอาล่ะ วันนี้ข้าจะไม่เถียงอะไรกับพวกท่านอีกแล้ว พวกท่านเชิญกลับไปเถอะ ข้ายังมีธุระที่ต้องจัดการอีกมาก เชิญ!”
อาจารย์คนอื่น ๆ ขมวดคิ้ว พวกเขารู้สึกว่าเรื่องแย่ ๆ แบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นในสถาบันอันดับ 1 ของอาณาจักรเลยจริง ๆ แต่เมื่อพวกเขาเห็นท่าทีไม่อ่อนข้อของจ้าวปาเทียนและจ้าวเหมิงลู่ บรรดาคณบดีและอาจารย์จึงพูดอะไรไม่ออก พวกเขาจึงจำใจกระทืบเท้าตัวเองออกไปจากห้อง
หลังจากที่ทุกคนออกไปท่าทางที่สงบของจ้าวปาเทียนก็หายไป เขารีบถามจ้าวเหมิงลู่ “เหมิงเอ๋อ สรุปแล้วคู่หมั้นของเจ้ากำลังทำอะไรอยู่ แล้วทำไมเขาต้องเอาคนธรรมดามาเป็นอาจารย์ในคณะด้วย หากเขาไม่สามารถหาอาจารย์เก่ง ๆ มาสอนในคณะได้ ทำไมเขาถึงไม่มาขอความช่วยเหลือจากปู่กัน?”
จ้าวเหมิงลู่กล่าวอย่างจริงจังว่า “ท่านปู่ท่านไม่ไว้ใจหลานเขยของท่านหรือ?”
“ถ้าข้าไม่เชื่อเขา ข้าจะปล่อยให้เขาสร้างเรื่องวุ่นวายได้ถึงขนาดนี้เหรอ?” จ้าวปาเทียนพูดอย่างรวดเร็ว “แต่ตอนนี้ข้าอยากรู้ว่า ตอนนี้เขาตั้งใจจะทำอะไรกันแน่!”
เมื่อจ้าวเหมิงลู่นึกถึงพ่อบ้านโม่ที่ปู่ของนางกำลังข้องใจ นางจึงยิ้มและพูดว่า “ท่านปู่ ข้าจะบอกความลับอะไรบางอย่างให้ท่านฟัง เส้นลมปราณของพ่อบ้านโม่และจุดตันเถียนของเขาพิการ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาดูเหมือนคนธรรมดา แต่ข้าเองก็ไม่แน่ใจนักว่าเมื่อก่อนพ่อบ้านโม่มีพลังแค่ไหน แต่เท่าที่ข้าสังเกตแม้แต่กงหยูที่เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณมานาน เมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อบ้านโม่เขายังต้องให้ความเคารพกับพ่อบ้านคนนี้อยู่หลายส่วนเลยทีเดียว”
จ้าวปาเทียนตกตะลึง พ่อบ้านที่ดูธรรมดาคนนั้น กลับมีเรื่องราวความลับซับซ้อนซ่อนอยู่เช่นนั้นเองหรอกเหรอ?
จ้าวปาเทียนเคยลอบตรวจสอบระดับการบ่มเพาะของกงหยูเช่นกัน เขาสามารถบอกได้เลยว่ากลิ่นอายขอบเขตประสานทะเลปราณของกงหยูนั้นหนาแน่นกว่าของผู้เชี่ยวชาญปกติทั่วไปเป็นอย่างมาก แล้วตัวตนแบบไหนกันที่สามารถทำให้ผู้เชี่ยวชาญที่ลึกลับอย่างกงหยูปฏิบัติตัวด้วยความเคารพได้?
“เฮ้อ ที่แท้พ่อบ้านคนนี้ก็เป็นอดีตราชสีห์เฒ่านี่เอง” จ้าวปาเทียนส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น “ถ้าเดาไม่ผิดในอดีตอย่างน้อยเขาคงเป็นผู้เชี่ยวขอบเขตรวมแสงดาราแน่นอน ปู่ล่ะเสียดายโอกาสของพวกนักศึกษาที่ถอนตัวออกไปจริง ๆ เมื่อพวกเขาได้รู้ถึงความจริงข้อนี้เมื่อไหร่น้ำตาของพวกเขาคงได้ไหลออกมาเป็นสายเลือดแน่ และว่าแต่เหมิงเอ๋อ เจ้าอธิบายให้ปู่ฟังได้ไหมว่าทำไมบทเรียนของถังชี่หยุนถึงไม่เหมือนบทเรียนที่เฮ่อเจี้ยนปิงเคยเล่าให้ปู่ฟัง”
จ้าวเหมิงลู่ถอนหายใจ “ท่านปู่ ครูถังนางไม่สามารถสอนบทเรียนพิเศษได้บ่อย ๆ แบบที่ศิษย์ของท่านเห็นตอนที่อยู่ในเมืองฟีนิกซ์ได้หรอก บทเรียนเช่นนั้นหากนางสอนติดต่อกันเป็นเวลานานมันจะส่งผลเสียต่อร่างกายของนาง ฉะนั้นนางจึงสอนบทเรียนพิเศษได้เพียงแค่เดือนละครั้งเท่านั้น”
เมื่อจ้าวปาเทียนได้ยินเช่นนั้นเขาจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ
เวลาผ่านไปอีก 5 วัน
วันนี้คือวันที่ 5 ที่คณะเปิดชั่วคราวก่อตั้งขึ้น จำนวนของนักศึกษาในตอนนี้ลดลงเหลือเพียง 11 คน คนที่ออกไปต่างถูกโน้มน้าวโดยผู้ปกครองหรือไม่ก็อาจารย์ของพวกเขาเอง
โกวเจี้ยน ในวันนี้เขาเข้าใจความตั้งใจของพ่อเขาแล้ว ทุกวันที่ผ่านมาเขาเอาแต่เล่นหมากรุกกับหลิงยี่เทียนและหลิงว่านจุน
ยิ่งเขาเล่นเขาก็ยิ่งเข้าใจถึงความมหัศจรรย์ของหลิงตู้ฉิงที่สามารถสอนให้เด็กทั้งสองคนนี้กลายเป็นอัจฉริยะในด้านการวางกลยุทธผ่านการวางหมาก แต่ที่โกวเจี้ยนไม่แน่ใจนักคือเขาไม่รู้ว่าเด็กทั้งสองคนนี้รู้ไหมว่าวิธีที่พวกเขาเล่นหมากอยู่ในตอนนี้มันคือการฝึกวางกลยุทธ์ทางการศึก ที่สามารถนำมาใช้ได้จริงในสนามรบ และที่สำคัญกลยุทธ์ที่พวกเขาใช้นั้นเหนือกว่าสิ่งที่โกวเจี้ยนเคยร่ำเรียนมาราวฟ้ากับเหว ตอนนี้โกวเจี้ยนรู้สึกยินดีที่สุดที่ได้เข้าเรียนในคณะนี้
ส่วนเหวินเต๋าและเจียงซิงเฉิง ในตอนนี้พวกเขายังไม่ได้ถอนตัวออกไปไหน วัน ๆ พวกเขาเอาแต่นั่งมองเด็ก ๆ ที่ฝึกกันอยู่โดยไม่ทำอะไร
และถังชี่หยุน นางสอนบทเรียนธรรมดาอยู่ทุกวันโดยที่ไม่ได้เปลี่ยนหัวข้อแต่อย่างใด ส่วนการสอนของโม่หยูถังที่ผ่านมาแทบจะเรียกไม่ได้ว่าเป็นการสอนเพราะส่วนมากเขาเอาแต่เล่าเรื่องราวประวัติของวีรบุรุษคนนั้นคนนี่ให้นักศึกษาฟังแต่เพียงอย่างเดียว
ในพริบตาเวลาได้ผ่านเลยไปอีก 9 วัน และในที่สุดบทเรียนพิเศษที่ทุกคนเฝ้าคอยก็มาถึง