พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 117 บทเรียนพิเศษแรกของคณะ[รีไรท์]
บทที่ 117 บทเรียนพิเศษแรกของคณะ[รีไรท์]
หลิงตู้ฉิงที่รู้มาก่อนแล้วว่าวันนี้ถังชี่หยุนจะสอนบทเรียนพิเศษ เขาจึงใช้หลิงจู้เพื่อสร้างกำแพงรูปโดมครอบบริเวณลานบรรยายไว้ทั้งหมดเพื่อกันไม่ให้ใครเข้ามารบกวน ส่งผลให้เสียงจากภายนอกไม่สามารถเล็ดรอดเข้ามารบกวนได้และผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตก็ไม่สามารถเดินผ่านกำแพงนี้เข้ามาได้เช่นกัน
“วันนี้ครูจะสอนบทเรียนของกฎแห่งสายน้ำ” เมื่อพูดจบ ถังชี่หยุนเริ่มใช้พลังจิตของนางผสานกับเสียงบรรยายที่นางเปล่งออกมาจากลำคอ อธิบายความหมายของกฎแห่งสายน้ำ ส่งผลให้บรรยากาศบริเวณทั่วทั้งลานบรรยายเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ทุกคนที่อยู่ในลานบรรยายสามารถมองเห็นภาพมายาของสายน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก พัดผ่านตัวของพวกเขาไปอย่างรุนแรง พวกเขาสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความรุนแรงของสายน้ำที่สามารถทำลายได้ทุกสิ่งที่ขวางหน้า และเมื่อสายน้ำที่เชี่ยวกรากนี้พัดผ่านไป มันได้ทิ้งความมหัศจรรย์ในการกำเนิดชีวิตไว้เบื้องหลังการทำลายอันมโหฬาร
เจียงซิงเฉิงนั้นนั่งฟังชั้นเรียนของถังชี่หยุนมาเป็นเวลา 10 กว่าวันด้วยความหดหู่ แต่วันนี้เมื่อเขาได้ฟังบทเรียนพิเศษของกฎแห่งสายน้ำ เขาถึงกับเข้าสู่สภาวะรู้แจ้ง เขานำหลักการไหลของสายน้ำเข้าผสานรวมกับเพลงกระบี่ประจำตระกูล
ส่วนคนอื่น ๆ ต่างมองเห็นภาพมายาของสายน้ำไหลพัดผ่านตัวพวกเขาด้วยความอัศจรรย์ใจ ตอนนี้พวกเขาได้รู้แล้วว่าการตัดสินใจเข้าคณะเปิดชั่วคราวนี้เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
ในขณะเดียวกันกับที่ถังชี่หยุนเริ่มบรรยายบทเรียนพิเศษ จ้าวปาเทียนที่นั่งอยู่ในห้องทำงานสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังวิญญาณจากทิศทางที่คณะเปิดชั่วคราวตั้งอยู่ แววตาเขาส่องประกายขึ้นมาทันที จากนั้นเขาจึงรีบพุ่งตัวออกจากห้องทำงานไปยังคณะเปิดชั่วคราวอย่างรวดเร็ว
เพียงชั่วพริบตา ร่างของจ้าวปาเทียนก็ร่อนลงด้านหน้าคณะเปิดชั่วคราว
เมื่อมาถึงด้านหน้าลานบรรยาย เขาเห็นภาพอันน่าแปลกใจ เนื่องจากในตอนนี้บริเวณของลานบรรยายทั้งหมดถูกคลุมไว้ด้วยโดมกำแพงวิญญาณขนาดยักษ์สีขาวหม่นที่สามารถมองเห็นภาพภายในได้เพียงราง ๆ เท่านั้น มันถูกสร้างมาครอบบริเวณลานไว้ทั้งหมด
จ้าวปาเทียนที่เห็นภาพเช่นนี้ เขาถึงกับพูดไม่ออก เขาเริ่มรู้สึกร้อนรนอยากเข้าไปภายในโดมนี้เพื่อดูสถานการณ์ด้านในว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะหากมองจากด้านนอกเขาสังเกตเห็นเพียงแค่ภาพบรรดานักศึกษาในคณะ รวมไปถึงหลิงตู้ฉิงและคนของเขานั่งกันอยู่อย่างเลือนรางแถมเสียงการบรรยายบทเรียนของถังชี่หยุนยังเล็ดรอดออกมาได้เพียงแค่เสียงเบา ๆ
และก่อนที่จ้าวปาเทียนจะตะโกนเรียกหลิงตู้ฉิง หลิงตู้ฉิงที่อยู่ด้านในได้วาดนิ้วชี้ไปยังทิศทางที่จ้าวปาเทียนยืนอยู่ ส่งผลให้บริเวณที่ถูกกำแพงพลังวิญญาณปิดกั้นตรงด้านหน้าของจ้าวปาเทียนเกิดเป็นช่องว่างขนาดพอดีกับตัวเขาให้เดินผ่านเข้ามาได้
เมื่อจ้าวปาเทียนเห็นว่าทางเข้าถูกเปิด เขาจึงรีบเดินเข้ามายังด้านในพร้อมกับมองสำรวจภาพมายาที่อยู่รอบกายของเขาด้วยความอัศจรรย์ใจ จากนั้นเขาจึงนั่งลงขัดสมาธิกับพื้นและหลับตาลงทำความเข้าใจกับบทเรียนที่สุดแสนจะพิสดารนี้อย่างเงียบ ๆ
ในช่วงเวลาเดียวกับที่จ้าวปาเทียนเดินเข้าไปด้านในลานบรรยาย บรรดาผู้อาวุโสของสถาบันที่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราก็เริ่มทยอยกันมาที่คณะเปิดชั่วคราว เพื่อตรวจสอบหาสาเหตุความผันผวนของพลังวิญญาณที่แพร่กระจายออกมาจากที่นี่
ตอนนี้ที่ด้านหน้าโดม อาจารย์หลายคนที่มาถึง พวกเขาต่างแสดงสีหน้างุนงงไม่รู้จะทำอย่างไรกับโดมพลังวิญญาณที่อยู่ตรงหน้า
“ผู้อาวุโสจาง ท่านรู้ไหมว่าเราจะเข้าไปได้ยังไง?” หนึ่งในผู้อาวุโสขอบเขตรวมแสงดาราพูดขึ้น
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เมื่อครู่ตอนที่ข้ากำลังจะร่อนลงมา ข้าเห็นท่านอธิการบดีเดินเข้าไปด้านในได้อยู่นะ เราลองตะโกนถามเข้าไปข้างในไหมเผื่อเขาจะนำเราผ่านกำแพงนี้เข้าไปได้เช่นกัน” ผู้อาวุโสจางตอบกลับ
จากนั้นพวกเขาจึงลองตะโกน แต่ผลที่ได้รับกลับมาคือไม่มีเสียงใดตอบกลับและไม่มีช่องว่างใด ๆ เปิดขึ้นเพื่ออนุญาตให้พวกเขาเข้าไป
จากนั้นผู้อาวุโสที่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราอีกคนได้เดินทางมาถึง เมื่อเขาเห็นว่ามีคนมายืนออกันอยู่หน้าโดมประหลาดนี้ เขาจึงถามขึ้น “พวกท่านมายืนทำอะไรกันตรงนี้ ทำไมถึงไม่เข้าไปด้านในกัน?
บรรดาคนที่ยืนรออยู่ก่อน พวกเขาทำได้แค่ส่ายหัวและยักไหล่ขึ้นด้วยสีหน้าจนใจ ไม่มีใครสามารถหาทางเข้าไปได้
เมื่อผู้อาวุโสคนใหม่ที่เพิ่งมาถึงเห็นเช่นนั้น เขาจึงลองเดินไปออกหมัดใส่โดมกำแพงพลังวิญญาณ
เมื่อหมัดปะทะเข้ากับกำแพงโดม เสียงดังก้องกังวาลเมื่อพลังวิญญาณสองสายปะทะกันดังขึ้น จากนั้นร่างของผู้อาวุโสผู้ออกหมัดก็ถูกแรงสะท้อนจากพลังวิญญาณที่ถูกส่งออกมาจากกำแพงโดม กระเด็นลอยละลิ่วออกไปทันทีพร้อมกับเสียงร้องอันโหยหวนของผู้อาวุโสผู้นั้น
เสียงอันโหยหวนได้ดังลั่นไปทั่วทั้งสถาบันจนบรรดานักศึกษาและอาจารย์คนอื่น ๆ ถึงกับออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
ส่วนบรรดาคนที่ยืนอยู่หน้ากำแพงโดม เมื่อพวกเขาเห็นสภาพผู้อาวุโสที่ต่อยกำแพงโดมแล้วถูกดีดกลับจนลอยกระเด็นออกไปไกล พวกเขาต่างมองหน้ากันอย่างเหลอหลา
“ดูเหมือนพวกเราจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปกันนะ งั้นพวกเราคงได้แต่เพ่งฟังเสียงจากด้านนอกเท่านั้น ดูเหมือนว่ากำแพงโดมนี่จะไม่สามารถปิดกั้นเสียงจากด้านในได้ทั้งหมด” ผู้อาวุโสจางพูดพลางส่ายหัว จากนั้นเขาจึงเอียงหูเข้าไปแนบกับกำแพงโดมเพื่อฟังเสียงที่เล็ดลอดออกมาอย่างตั้งใจ
เนื่องจากเหตุการณ์ที่ผู้อาวุโสคนที่โดนแรงสะท้อนของกำแพงโดมกระเด็นลอยออกไปดึงดูดความสนใจของคนมากมายในสถาบัน ตอนนี้ทั้งนักศึกษาและอาจารย์จึงต่างพากันออกมาตรวจสอบถึงต้นสายปลายเหตุว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อพวกเขาทุกคนได้วิ่งมาตรวจสอบต้นเหตุถึงที่คณะเปิดชั่วคราว ภาพที่พวกเขาเห็นถึงกับทำให้หลายคนอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
ภาพที่เห็นคือบรรดาผู้อาวุโสที่เป็นตัวตนระดับสูงอันเป็นที่นับน่าถือตาของผู้คนทั่วไป กลับยืนเรียงกันเอาหูแนบกับกำแพงโดมอันแปลกประหลาดอย่างตั้งใจ พวกเขาทำตัวราวกับว่าพวกเขาเป็นกลุ่มตาแก่ที่มีสติไม่สบประกอบยังไงหยั่งงั้นอยู่ที่หน้าคณะเปิดชั่วคราว และเมื่อพวกเขาลองเพ่งสายตาให้ดี ๆ พวกเขาก็ได้เห็นแผ่นหลังอันเลือนลางของชายชราผู้หนึ่งที่อยู่ในโดม ซึ่งรูปร่างคล้ายกับอธิการบดีของสถาบันพวกเขาเองกำลังนั่งบนพื้นอยู่ด้านใน
ตอนนี้ในหัวของพวกเขาทุกคนมีประโยคผุดขึ้นมาคล้ายกันคือ “พวกท่านกำลังทำบ้าอะไรกัน!?”
อาจารย์คนหนึ่งที่เพิ่งมาถึง เมื่อเห็นภาพนี้เขาจึงอดรนทนไม่ได้เดินเข้ามาถามด้วยความสงสัย “ท่านผู้อาวุโสจางไม่ทราบว่าท่านกำลังทำอะไรอยู่งั้นเหรอ?”
ผู้อาวุโสจาง ในเวลานี้กำลังตั้งใจฟังบทเรียนด้านในโดมอย่างใจจดใจจ่อ เขาไม่สนใจเสียงอาจารย์ผู้นั้นที่ถามขึ้น เมื่อแนบหูฟังได้สักพักเขาจึงนั่งลงกับพื้นและเริ่มหลับตาทำสมาธิทบทวนบทเรียนที่ถังชี่หยุนได้ทำการบรรยายไปเมื่อครู่
เมื่อเห็นผู้เฒ่าจางไม่สนใจคำถามของเขา บรรดาผู้คนที่เพิ่งมาถึงจึงไม่กล้าถามอะไรต่อ พวกเขาได้แต่มองไปยังตาแก่ระดับสูงพวกนี้ด้วยความสงสัยว่าพวกเขากำลังฟังอะไรกัน ถึงได้ดูตั้งใจกันขนาดนี้
เมื่อเวลาผ่านไป 1 ชั่วยาม บทเรียนของถังชี่หยุนจึงจบลง หลิงตู้ฉิงจึงคลายกำแพงโดมที่ครอบลานบรรยายไว้ให้สลายออกไป
บรรดาตาแก่ที่นั่งทำสมาธิอยู่ด้านนอก เมื่อสัมผัสได้ว่ากำแพงโดมที่ปิดกั้นพวกเขาได้หายไปแล้ว พวกเขาจึงลืมตาขึ้นและรีบลุกขึ้นเดินไปหาหลิงตู้ฉิง “อาจารย์หลิง พวกเรา…”
หลิงตู้ฉิงเหลือบมองไปยังพวกเขาและพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “พวกท่านไม่ควรรบกวนพวกเราระหว่างที่ชั้นเรียนกำลังดำเนินการสอน!”
บรรดาผู้อาวุโสเมื่อได้ยินเช่นนั้นพวกเขาต่างรีบพยักหน้ารับ และพูดว่า “อาจารย์หลิง พวกเราขออภัยด้วยจริง ๆ แต่จะเป็นไปได้ไหมที่ในอนาคตพวกเราจะขอเข้าร่วมฟังชั้นเรียนของคณะท่านด้วย?”
จ้าวปาเทียน เมื่อเห็นท่าทีลังเลของหลิงตู้ฉิงเขาจึงพูดเสริมขึ้น “พวกเขาเป็นสหายเก่าแก่ของข้าเอง พวกเขาทั้งหมดล้วนมีอัธยาศัยที่ดีและยังสร้างคุณูปการไว้ให้กับทางสถาบันมากมาย อย่างน้อย ๆ ก็เห็นแก่หน้าข้า เจ้าช่วยให้โอกาสพวกเขาสักหน่อยในการเข้าฟังชั้นเรียนของคณะเจ้าในรอบหน้า”
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งหลิงตู้ฉิงจึงพยักหน้าและพูดว่า “เอาอย่างนั้นก็ได้”
“ขอบคุณอาจารย์หลิง ขอบคุณท่านอธิการบดีจ้าว!” เมื่อได้ยินคำอนุญาตของหลิงตู้ฉิงบรรดาอาจารย์เฒ่าต่างขอบคุณกันยกใหญ่ จากนั้นจึงพากันเดินจากไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เมื่อจ้าวปาเทียนเห็นว่าบรรดาผู้อาวุโสในสถาบันต่างพากันจากไปจนหมด เขาหันไปมองดูนักศึกษาของสถาบันทั้ง 11 คนที่ตอนนี้กำลังนั่งหลับตาเข้าสู่สภาวะรู้แจ้ง เขาได้แต่คิดเสียดายอยู่ในใจ หากมีนักศึกษาที่มีโอกาสได้เข้าเรียนในคณะของหลิงตู้ฉิงมากกว่านี้ก็คงจะดีกว่านี้จริง ๆ
หลังจากฟังบทเรียนพิเศษของถังชี่หยุนเป็นครั้งแรก นักศึกษาของสถาบันทั้ง 11 คนต่างนั่งหลับตาเข้าสู้สภาวะหยั่งรู้เพื่อซึมซับและทำความเข้าใจในความเข้าใจใหม่ที่พวกพึ่งได้รับ
ส่วนบรรดาลูก ๆ ของหลิงตู้ฉิง ตอนนี้พวกเขาได้เริ่มแยกย้ายกันไปฝึกตามปกติแล้ว
หมิงจู้ ในตอนนี้นางมองไปยังใบหน้าอันซีดเซียวของแม่ของนางด้วยความเป็นห่วง ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าทำไมที่ผ่านมานางถึงไม่เคยเห็นแม่ของนางสอนบทเรียนแบบนี้มาก่อน
“ทำไมเจ้าถึงยังไม่ไปฝึกฝนวิชากระบี่ของเจ้าอีก” ถังชี่หยุนเหลือบมองไปยังหมิงจู้ “เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรกับแม่หรอก อาการอ่อนล้าแบบนี้แม่สามารถฟื้นฟูมันได้ด้วยการฝึกฝนเคล็ดวิชาหลอมผลึกจิตและวิชาวิญญาณคืนสภาพ ที่ท่านหลิงถ่ายทอดให้แม่ เดี๋ยวแม่ก็หายเป็นปกติได้ในเวลาไม่นาน”
หมิงจู้พยักหน้า จากนั้นนางจึงเดินจากไปและเริ่มฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่ที่หลิงตู้ฉิงสอนให้นาง
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก บรรดานักศึกษาทั้ง 11 คนก็เริ่มลืมตาขึ้นจากสภาวะหยั่งรู้ พวกเขามองตากันด้วยความตื่นเต้น หลังจากตื่นเต้นอยู่ครู่หนึ่งพวกเขาจึงเริ่มนำสิ่งที่พวกเขาพึ่งรู้แจ้งเมื่อสักครู่เข้ามาปรับใช้และหลอมรวมลงในศาสตร์ที่ตนเองเชี่ยวชาญ
เหลือก็แต่พียง เจียงซิงเฉิง ที่ไม่รีบร้อนในการฝึกฝน เขาพูดกับเหวินเต๋าสหายสนิทของเขา “เจ้านี่โชคดีจริง ๆ เลยที่ยังไม่ถอนตัวออกไปซะก่อน”
เหวินเต๋าแสดงสีหน้ากระอักกระอ่วนและพูดว่า “อันที่จริงข้าไม่ได้โชคดีหรอก”
“เจ้าหมายความว่าไง?” เจียงซิงเฉิง ประหลาดใจ
“อันที่จริงข้ารู้สึกสงสัยตั้งแต่แรกอยู่แล้วจากที่ตอนแรกเจ้าเล่ามาว่าพ่อของเจ้าบังคับให้เจ้าเข้าเรียนที่คณะนี้ มันทำให้ข้าเดาว่าพ่อเจ้าต้องรู้อะไรมาบางอย่างเขาเลยบังคับให้เจ้าเข้ามาที่คณะนี้ ดังนั้นข้าเลยใช้อุบายตามเจ้าเข้ามาไงล่ะ อย่าลืมสิว่าพ่อของเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราเชียวนะ เขาย่อมรู้อะไรมากกว่าพวกเราอยู่แล้ว” เหวินเต๋าหัวเราะ
เจียงซิงเฉิงพูดอย่างรวดเร็ว “เฮ้ย ถ้างั้นอันที่จริงแล้วเจ้าก็ไม่ได้เข้ามาในคณะนี้เพื่อโน้มน้าวข้าให้ออกไปตั้งแต่แรกงั้นเหรอ?”
เหวินเต๋ายิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ก็อย่างที่ข้าบอก ข้าแค่ออกอุบายว่าจะเข้ามาคณะนี้เพื่อโน้มน้าวเจ้าให้ออกไป หากคณะนี้ดีจริงตามที่ข้าคาดไว้ข้าก็อยู่ยาวและหากคณะนี้มันไม่ดีจริง ข้าจะอ้างว่าข้าโน้มน้าวเจ้าไม่สำเร็จและจากนั้นข้าก็ถอนตัว แค่นี้ข้าก็มีข้ออ้างดี ๆ เพื่อกลับไปยังคณะเดิมได้โดยไม่เสียหน้ายังไงล่ะ”
“เจ้านี่มันเจ้าเล่ห์จริง ๆ!” เจียงซิงเฉิงส่ายหัว “เฮ้อ ก่อนหน้านี้ข้าก็โกรธพ่อข้าแทบตาย หารู้ไม่ว่าเป็นข้าเองนี่ล่ะที่มันโง่เขลาจริง ๆ ไม่เห็นในความหวังดีของเขา”
“ช่างมันเถอะน่า ตอนนี้ข้าคิดว่าเราควรหาใครสักคนที่พอจะรู้เรื่องของอาจารย์หลิงเพื่อสอบถามเรื่องราวของเขาสักหน่อยดีกว่า” เหวินเต๋ามองไปยังบรรดาคนที่อยู่รอบ ๆ ตัวเขาและพูดว่า “ข้าสังเกตเห็นสมาชิกในครอบครัวของอาจารย์หลิงค่อนข้างสนิทกันกับ หมิงจู้ ข้าคิดว่านางจะต้องรู้อะไรบางอย่างแน่ ๆ ทำไมเราไม่ไปลองถามนางกันดูว่านางพอจะรู้อะไรบ้างดีไหม?”