พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 118 คำชี้แนะที่คลุมเครือ[รีไรท์]
บทที่ 118 คำชี้แนะที่คลุมเครือ[รีไรท์]
เมื่อทั้งสองคนคิดเห็นตรงกัน พวกเขาทั้งสองจึงเดินไปหาหมิงจู้และถามว่า “หมิงจู้ ข้าสังเกตว่าเจ้าค่อนข้างจะสนิทกับครอบครัวของอาจารย์หลิง ข้าอยากรู้ว่าเจ้าพอจะบอกได้ไหมว่าความสัมพันธ์ของเจ้ากับพวกเขาเป็นอะไรกัน?”
“ครูถังคือแม่ของข้า” นางหันกลับมาและมองไปที่หลิงตู้ฉิง จากนั้นมองไปที่หลิงยู่ชาน นางก้มหน้าด้วยความลำบากใจและพูดว่า “ส่วนสำหรับอาจารย์หลิงนั้นเขาเป็น…ว่าที่พ่อตาของข้า…”
“อะไรนะ?” เจียงซิงเฉิงและเหวินเต๋าต่างก็ตกตะลึง
ถังชี่หยุนเป็นแม่ของหมิงจู้ก็น่าตกใจพอแล้ว แต่สิ่งที่น่าตกใจกว่านั้นคือพ่อตาหมิงจู้คือหลิงตู้ฉิง!?
“นี่เจ้า…นี่อาจารย์หลิงยังมีลูกชายอยู่อีกคนที่ยังไม่ได้มาที่นี่งั้นเหรอ?” เหวินเต๋าถามพร้อมกับมองไปยังบรรดาลูก ๆ ของหลิงตู้ฉิงที่กำลังฝึกกันอยู่ เขาไม่คิดว่าจะมีเด็กชายคนไหนในที่นี่ ที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวพอที่จะแต่งงานกับหมิงจู้ได้อย่างเหมาะสม
หมิงจู้ส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ตอนนี้คู่หมั้นของข้าเองก็อยู่ที่นี่ด้วยและคู่หมั้นของข้าก็คือหลิงยู่ชาน ตอนนี้เราหมั้นกันแล้ว แต่ข้ากับเขา เราจะยังไม่แต่งงานกันจนกว่าเขาจะโตเป็นผู้ใหญ่”
หมิงจู้นั้นจงใจที่จะเอ่ยเรื่องนี้ออกมาตรง ๆ เพราะไม่ว่าอย่างไรในไม่ช้าเรื่องนี้ก็ต้องแดงออกมาอยู่ดีและนางนั้นอายเกินกว่าที่จะต้องไล่ตอบคำถามกับคนรู้จักนางทุกคนหากเรื่องนี้รู้ถึงหูทุกคนเข้า ฉะนั้นนางจึงอาศัยปากของเจียงซิงเฉิงและเหวินเต๋าเพื่อกระจายข่าวให้ทุกคนรับรู้
เจียงซิงเฉิงและเหวินเต๋าตกตะลึงอย่างมากกับข่าวของหมิงจู้ นี่นางเป็นคู่หมั้นกับเด็กอย่างนั้นเหรอ?
ในขณะที่พวกเขากำลังงุนงง หลิงตู้ฉิงก็เดินมาหาพวกเขาและยืนมองไปยังเจียงซิงเฉิงและเหวินเต๋า
เมื่อถูกจ้องมองโดยหลิงตู้ฉิง ทั้งเจียงซิงเฉิงและเหวินเต๋าต่างก็รู้สึกประหม่า พวกเขาไม่แน่ใจว่าบทสนทนาเมื่อสักครู่นั้นได้ยินไปถึงหูของหลิงตู้ฉิง และทำให้เขาไม่พอใจหรืออย่างไร
“เอ่อ ท่านอาจารย์หลิง…” เหวินเต๋ากล่าวอย่างระมัดระวัง
หลิงตู้ฉิงมองไปยังเหวินเต๋า และพูดว่า “แม้ว่าเจ้าจะมีความฉลาดอยู่บ้าง แต่เจ้าต้องระวังให้ดี บางครั้งความฉลาดของเจ้า จะนำพาเจ้าไปสู่ทางตันของเส้นทางการบ่มเพาะในไม่ช้าก็เร็ว”
จากนั้นเขาก็หันไปหาเจียงซิงเฉิง และพูดว่า “สำหรับเจ้าแม้ว่าเจ้าจะโง่ แต่เจ้าก็ยอมจำนนไปกับชะตากรรมของเจ้าซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ดีนักแต่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย อย่างไรก็ตามหากเจ้าปล่อยให้คนอื่นผลักดันตัวเองให้ก้าวไปข้างหน้า ความสำเร็จของเจ้าจะมีจำกัด เจ้าควรจะหาเจตจำนงของตัวเจ้าเองเป็นแรงผลักดันให้เจ้า จากนั้นเจ้าอาจจะได้รับความสำเร็จที่เจ้าอาจคาดไม่ถึง”
หลังจากที่หลิงตู้ฉิงพูดจบเขาก็เดินไปตรงหน้านักศึกษาที่กำลังหลอมโอสถ เขาถามว่า “เจ้าชื่ออะไร?”
นักศึกษาที่เพิ่งเสร็จสิ้นการหลอมโอสถชุดหนึ่ง โอสถที่เขาหลอมขึ้นนั้นมีจุดด่างดำ ซึ่งสามารถบอกได้ทันทีว่าพวกมันเป็นโอสถที่มีปัญหา
เมื่อได้ยินคำถามของหลิงตู้ฉิง เขาก็รีบพูดว่า “อาจารย์หลิงข้าชื่อ หลูหลิง!”
“หลูหลิง ใช่ไหม เจ้ารู้หรือไม่ว่าโอสถของเจ้าเป็นพิษ?” หลิงตู้ฉิงถาม
หลูหลิงพูดอย่างเสียใจ “อาจารย์หลิงข้ารู้! แต่ข้าไม่เคยใส่สมุนไพรใด ๆ ที่มีคุณสมบัติเป็นพิษลงไปเลย ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมโอสถที่ข้าหลอมจึงมีพิษอยู่ในนั้นเสมอ!”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “วิธีของเจ้าต่างหากที่ทำให้โอสถเป็นพิษ เตาหลอมยาของเจ้าเป็นพิษและร่างกายของเจ้าก็เป็นพิษ ทางเลือกที่ดีที่สุดในเส้นทางการบ่มเพาะของเจ้าไม่ใช่การพยายามหลอมโอสถ แต่เป็นการใช้ยาพิษ”
“หากเจ้าพยายามหลอมโอสถ เจ้าก็จะเป็นเพียงเศษขยะไปตลอดชีวิต แต่ถ้าเจ้าเปลี่ยนเส้นทางของเจ้าเป็นผู้ใช้พิษ อนาคตของเจ้าจะไปได้อีกไกล”
หลังจากที่หลิงตู้ฉิงพูดจบ เขาก็เดินไปหานักเรียนคนถัดไป
หลูหลิงมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยความงุนงง จากนั้นเขามองไปที่เม็ดโอสถในมือของเขา
เตาหลอมยาและร่างกายของเขาเองมีพิษงั้นเหรอ? มันไม่ใช่ปัญหาของสมุนไพรหรือเทคนิคการในการหลอมงั้นเหรอ? ที่ผ่านมาอาจารย์ในคณะโอสถศาสตร์ของเขาพูดเสมอว่าเขาไม่ได้พยายามมากพอและตำหนิว่าเป็นเขาเองที่ขาดความสามารถในการหลอมโอสถ แต่จากที่อาจารย์หลิงกล่าว ถ้าร่างกายของเขาเป็นพิษทำไมคนอื่นถึงไม่ตายเมื่อพวกเขาสัมผัสร่างกายของเขากันล่ะ?
หลูหลิงในตอนนี้พยายามคิดเท่าไหร่ยังไงก็คิดไม่ออกในสิ่งที่หลิงตู้ฉิงชี้แนะ
เขาครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะตัดสินใจในที่สุด
เขาต้องการที่จะลองเสี่ยงเปลี่ยนเส้นทางไปเป็นผู้ใช้พิษ
เมื่อคิดได้ เขาจึงรีบเดินตรงไปที่ห้องสมุดของสถาบันทันทีและเริ่มค้นหาความรู้เกี่ยวกับยาพิษ
ในตอนนี้ หลิงตู้ฉิงเดินมาถึงนักศึกษาหญิงคนสุดท้ายที่กำลังวาดภาพและถามว่า “นี่คือสิ่งที่เจ้าชอบที่สุดเหรอ? เจ้าชื่ออะไร?”
เมื่อได้ยินคำถามนางจึงหยุดวาด นางก้มหน้าและพูดว่า “ข้าชื่อ จูเหยียน ข้าชอบวาดภาพ…แต่พ่อแม่ของข้าบอกว่าการวาดภาพนั้นไม่มีอนาคต พวกเขาต้องการให้ข้าเรียนศิลปะการต่อสู้ แต่ข้าไม่ชอบมันเลย”
“เจ้าชอบวาดภาพนั้นไม่ผิด” หลิงตู้ฉิงพูดต่อ “แต่การวาดภาพธรรมดานั้นไม่เหมาะสำหรับเจ้า เจ้าควรเปลี่ยนเส้นทางไปมุ่งเน้นที่การไปปักลายผ้าแทนการวาดภาพ ถ้าเจ้าคิดวิธีการปักชิ้นงานที่สมบูรณ์ได้เมื่อไหร่ เจ้าจงมาหาข้าอีกที”
จูเหยียนเงยหน้าขึ้นมองหลิงตู้ฉิงด้วยความงุนงง “ปักลายบนผ้าแทนการวาดภาพ?”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตัวประจำ
การชี้แนะแบบนี้สร้างความงุนงงให้กับเหล่านักศึกษาเป็นอย่างมาก บางคนเข้าใจคำพูดของหลิงตู้ฉิงในขณะที่บางคนก็ไม่เข้าใจ
ตัวอย่างเช่น เหวินเต๋า และ เจียงซิงเฉิง ที่ไม่รู้ว่าหลิงตู้ฉิงหมายถึงอะไร
พวกเขามองไปที่หลิงตู้ฉิงที่ทำทีท่าไม่แยแส พวกเขารู้สึกประหม่าเล็กน้อย พวกเขาไม่กล้าถามหลิงตู้ฉิงตรงๆโดยเฉพาะเหวินเต๋า เขารู้สึกว่าคำชี้แนะที่หลิงตู้ฉิงให้กับเขานั้นเหมือนจะเป็นการตำหนิติเตียนเสียมากกว่าดังนั้นเขาจึงไม่กล้าถามออกไปตรงๆ
เหวินเต๋าจึงมองไปที่โม่หยูถังซึ่งนั่งอยู่เงียบ ๆ ในอีกมุมหนึ่งของลาน เมื่อมองไปที่ใบหน้าและแววตาที่ดูอบอุ่นของโม่หยูถัง เขาเลยเข้ามาหาโม่หยูถังและกระซิบถามว่า “อาจารย์โม่ ข้าขอถามอะไรท่านบางอย่างได้ไหม?”
แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา โม่หยูถังจะไม่ได้สอนหรือแนะนำศิลปะการต่อสู้ที่ทรงพลังอะไรให้กับพวกเขาเลย แต่หลังจากที่ได้ฟังบทเรียนพิเศษของถังชี่หยุน ทุกคนจึงเข้าใจได้ว่าคนที่จะมาเป็นอาจารย์ในคณะนี้ได้ พวกเขาทุกคนจะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นหลายวันที่ผ่านมา ในที่สุดทุกคนก็รู้ว่าอันที่จริงแล้วโม่หยูถังเป็นพ่อบ้านของหลิงตู้ฉิง
ในฐานะที่โม่หยูถังเป็นพ่อบ้าน เขาควรจะเข้าใจคำพูดของหลิงตู้ฉิงบ้างล่ะมั้ง?
“เจ้าต้องการรู้อะไร?” โม่หยูถังถาม
เหวินเต๋าเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้าทั้งเรื่องอุบายที่เขาเข้ามาคณะนี้และเรื่องที่หลิงตู้ฉิงให้คำชี้แนะ ก่อนจะถามว่า “อาจารย์โม่ สิ่งที่อาจารย์หลิงพูดมันหมายความว่ายังไง?”
โม่หยูถังจ้องไปยังเหวินเต๋า ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ “อืม เช่นนั้น ข้าขอทวนเรื่องราวของเจ้าให้เจ้าฟังสักหน่อย ก่อนหน้าที่เจ้าจะเข้ามาที่คณะนี้ ในใจเจ้าส่วนใหญ่เอนเอียงอยู่กับคณะเดิมที่เจ้าอยู่ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่แปลกหากมองจากมุมของเจ้า และจากนั้นเมื่อเจ้าเห็นสหายของเจ้าตัดสินใจสวนทางกับผู้อื่น เจ้าจึงเกิดความลังเลและวิเคราะห์สถานการณ์ต่าง ๆโดยอาศัยสหายของเจ้าเป็นที่ตั้ง และต่อมาเจ้าจึงสร้างอุบายตามสหายเจ้าเข้ามาในคณะนี้เพื่อที่จะลองเสี่ยงดวงตามสัญชาตญาณ และโชคกลับอยู่ข้างเจ้าที่ตัดสินใจลองเสี่ยงและผลลัพธ์กลับออกมาดีอย่างคาดไม่ถึง ฉะนั้นข้าจะถามคำถามเจ้าสัก 2-3 ข้อ จากนั้นเจ้าอาจจะเข้าใจอะไรได้มากขึ้นไปอีก”
“คำถามแรกคือถ้าอาจารย์เก่าของเจ้าที่ประจำอยู่ในคณะศาสตร์ยุทธหรือสมาชิกในครอบครัวของเจ้าบังคับให้เจ้าลาออกจากคณะนี้เจ้าจะเลือกอย่างไร?”
“คำถามที่สอง หากมีสองเส้นทางข้างหน้าเจ้า ซึ่งทางทั้งสองเส้นนี้นำไปสู่สถานที่ที่แตกต่างกัน เส้นทางแรกนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคและอันตราย ความประมาทเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่ความตายแต่สุดปลายทางของมันคือสถานที่ที่สวยงามเหมือนดั่งสวรรค์ ส่วนอีกเส้นทางหนึ่ง เส้นทางนี้มีผู้คนจำนวนมากที่เลือกเดิน มันเป็นเส้นทางที่เรียบง่าย อุปสรรคที่ขวางกั้นนั้นแทบจะไม่มีให้พบเจอ แต่ท้ายที่สุดปลายทางของมันกลับเป็นแค่เพียงพื้นที่รกร้างแห้งแล้ง ทั้งสองเส้นทางนี้หากเจ้าไม่ทราบผลล่วงหน้าเจ้าจะเลือกทางไหน?”
“สถาณการณ์ในอนาคตหลาย ๆ อย่าง จะบังคับให้ทางเลือกที่เจ้าต้องตัดสินใจเลือกพวกมันโดยที่เจ้าไม่สามารถลองถูกลองผิดได้ก่อน และอุบายของเจ้าจะเป็นเพียงแค่สิ่งไร้ค่าต่อทางเลือกบางอย่างโดยสิ้นเชิง เจ้าสามารถรับประกันได้หรือไม่ว่าทุกครั้งที่เลือกเจ้าจะตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง? และเจ้าสามารถรอผลสุดท้ายได้ทุกครั้งหรือไม่?”
เมื่อได้ยินคำพูดของโม่หยูถัง เหวินเต๋าก็เริ่มไตร่ตรอง
ในวันถัดมาเมื่อถังชี่หยุนเริ่มชั้นเรียน วันนี้มีคนเป็นจำนวนมากอยู่ในคณะเปิดชั่วคราวเพื่อเข้าร่วมฟังชั้นเรียนของนาง
บรรดาคนที่เข้าร่วมการฟังในวันนี้ก็คือพวกผู้อาวุโสของสถาบันที่มาแนบหูฟังบทเรียนเมื่อวานนี้
ทุกคนฟังการสอนอย่างเงียบ ๆ ถึงแม้ว่าชั้นเรียนในวันนี้ของถังชี่หยุนจะเป็นแค่บทเรียนธรรมดา ๆ ก็ตาม
หลังจากจบชั้นเรียน จูเหยียนก็หยิบงานถักของนางออกมาและเริ่มลงมือหาวิธีปักลายลงบนมัน
ส่วนหลูหลิงก็หยิบหนังสือความรู้เกี่ยวกับพิษออกมาและเริ่มศึกษาพวกมัน นักศึกษาอีกคนที่ชื่อ ลั่วหาว กำลังทำตามคำแนะนำของหลิงตู้ฉิงและเริ่มวาดภาพ…
ในเวลานี้ทุกคนเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองตามความเข้าใจด้วยคำชี้แนะที่หลิงตู้ฉิงมอบให้เมื่อวาน ยกเว้นแต่เจียงซิงเฉิงและเหวินเต๋า
เจียงซิงเฉิงยังคงครุ่นคิดถึงคำชี้แนะที่ได้รับด้วยความงุนงง ขณะที่เหวินเต๋าจู่ ๆ แววตาเขาส่องประกาย และจากนั้นเขาจึงเดินออกจากคณะเปิดชั่วคราวไป
จุดหมายที่เหวินเต๋ากำลังจะเดินไปนั้นคือที่คณะศาสตร์ยุทธ
จิ๋นห้าวหมิงที่กำลังยืนคุยอยู่กับนักศึกษาคนหนึ่งอยู่ในคณะ เมื่อเห็นเหวินเต๋าเดินเข้ามาหา เขายิ้มปากกว้างและถามขึ้น “เหวินเต๋า เจ้าเป็นยังไงบ้าง? เจ้าโน้มน้าวเจียงซิงเฉิงได้ไหม?”
เหวินเต๋าคุกเข่าลงบนพื้นและพูดว่า “อาจารย์จิ๋น ข้าขอโทษ! จริง ๆ แล้วข้าไม่ได้ไปคณะเปิดชั่วคราวเพื่อโน้มน้าว เจียงซิงเฉิง…”