พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 143 เงื่อนไขบนแผ่นหิน[รีไรท์]
บทที่ 143 เงื่อนไขบนแผ่นหิน[รีไรท์]
หลิงตู้ฉิงที่กำลังเดินออกมาจากภัตตาคารเหมยเจียง เขาเองไม่คิดเช่นกันว่าการพบกันระหว่างเขากับเหลียงเจี๋ยจะใช้เวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้น
เมื่อเขาเดินออกมาด้านนอกภัตตาคาร ภาพที่เขาเห็นคือ มีโครงกระดูกที่ดูสภาพเหมือนพึ่งโดนเผาสด ๆ ผ่านไปเพียงชั่วไม่กี่อึดใจกองอยู่ด้านข้างกงหนิว
และที่อยู่ไม่ไกลกันมีบรรดาเหล่าผู้เชี่ยวชาญอยู่ประมาณ 7-8 คนที่อยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณยืนจ้องเขม็งไปยังกงหนิวด้วยความเดือดดาล
“เกิดอะไรขึ้น?” หลิงตู้ฉิงถามไปยังกงหนิว
“นายท่าน เมื่อครู่หลังจากที่ท่านเข้าไปด้านในได้สักพัก มีชายคนหนึ่งในกลุ่มคนพวกนี้ต้องการจะพาข้าไปกับเขา ข้าจึงป้องกันตัวปลดปล่อยเปลวเพลิงของข้าคลอกเขาจนเหลือแต่กระดูก…” กงหนิวตอบกลับด้วยน้ำเสียงรู้สึกกังวลกลัวหลิงตู้ฉิงจะตำหนิ
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “งั้นเหรอ งั้นพวกเราไปกันเถอะ”
เมื่อได้รับคำสั่งของหลิงตู้ฉิงแล้ว เสี่ยวเยว่เฟิงจึงนำรถม้าออกมาและผูกมันเข้ากับกงหนิว
ในขณะที่หลิงตู้ฉิงกำลังจะเดินขึ้นรถม้าไปนั้น บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่ยืนจ้องอยู่ต่างตกตะลึงกับกงหนิว
กระทิงตัวนี้พูดได้!?
แต่อาการตกตะลึงนั้นอยู่เพียงแค่ชั่ววูบเดียว จากนั้นเมื่อพวกเขาได้สติ พวกเขาจึงคิดได้ว่าฆาตกรที่พึ่งสังหารนายน้อยพวกเขาไปสด ๆ เมื่อครู่กำลังจะจากไป หัวหน้ากลุ่มของพวกเขาจึงรีบตะโกนขึ้น
“เฮ้ย! นี่พวกแกคิดจะไปไหนกัน ไอ้กระทิงบ้านั่นพึ่งสังหารนายน้อยของพวกเราไป พวกแกจะต้องอยู่ที่นี่ชดใช้ชีวิตของนายน้อยพวกเราด้วยชีวิตพวกแก!” หัวหน้ากลุ่มผู้เชี่ยวชาญตะโกนขึ้น
หลิงตู้ฉิงเหลือบมองด้วยสายตาไม่แยแสและพูดว่า “หากพวกเจ้าอยากจะคิดบัญชีกับข้า พวกเจ้าจงไปบอกกับนายของพวกเจ้าให้มาคิดบัญชีข้าด้วยตัวเองที่ศาลาศักดิ์สิทธิ์!”
เมื่อพูดจบหลิงตู้ฉิงและเสี่ยวเยว่เฟิงจึงขึ้นรถม้าและพุ่งหายขึ้นไปบนฟ้าในทันที
หลังจากเห็นว่ากระทิงที่ฆ่านายน้อยของพวกเขาเองบินจากไป บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่ยืนอยู่ต่างตกตะลึงอีกรอบ
นี่เมื่อครู่พวกเขาพึ่งจะรนหาที่ตายกับกระทิงขอบเขตรวมแสงดารางั้นเหรอ? แล้วไอ้เจ้านายของกระทิงตัวนั้นเป็นใครกัน? ทำไมเขาถึงได้มีกระทิงประหลาดขอบเขตรวมแสงดาราตัวนั้นมาลากรถม้าให้ได้?
ในขณะเดียวกัน เมื่อบรรดาผู้เชี่ยวชาญเห็นเหลียงเจี๋ยที่เพิ่งเดินออกมาด้านนอก
พวกเขาจึงรีบกุลีกุจอเข้าไปหานางและคุกเข่าคำนับลงจากนั้นจึงพูดว่า “องค์หญิง ๆ พระองค์ต้องช่วยพวกเราด้วย เมื่อครู่นายน้อยของเราทราบข่าวว่าองค์หญิงมาที่นี่ นายน้อยของเราจึงรีบตามมา ด้วยความตั้งใจของนายน้อยที่ต้องการจะอำนวยความสะดวกให้กับองค์หญิง แต่แล้วเมื่อนายน้อยมาถึงเขากลับถูกสังหารโดยกระทิงที่มากับกลุ่มคนประหลาดที่พึ่งเดินออกมาจากด้านใน พวกกระหม่อมเองนั้นไม่สามารถสู้กับมันได้ องค์หญิงโปรดให้ความเป็นธรรมกับนายน้อยของพวกเราด้วย!”
เมื่อเหลียงเจี๋ยมองไปยังกลุ่มคนเหล่านี้ นางจำได้ทันทีว่าคนพวกนี้เป็นคนของตระกูลเก๋า
เหลียงเจี๋ยมองไปยังพวกเขาและพูดว่า “เรื่องนี้ข้าคงไม่สามารถช่วยอะไรพวกเจ้าได้ พวกเจ้าควรจะรีบกลับไปรายงานเรื่องราวทั้งหมดให้เจ้านายของพวกเจ้าฟังตามความจริง ส่วนเรื่องที่นายพวกเจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไงนั้นข้าขอไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย”
หลังจากพูดจบ นางจึงพาคนของนางทั้งหมดจากไป
นางเองตอนนี้พึ่งจะล้มเหลวกับงานที่ท่านปู่นางมอบให้มาหมาด ๆ นางไม่มีอารมณ์จะมาสนใจยุ่งเรื่องของคนอื่น โดยเฉพาะหากเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหลิงตู้ฉิง!
เมื่อเห็นเหลียงเจี๋ยจากไป บรรดาผู้เชี่ยวชาญจากตระกูลเก๋าจึงได้แต่มองหน้ากันเองอย่างสลด จากนั้นพวกเขาจึงเก็บซากกระดูกของนายน้อยพวกเขาและรีบวิ่งจากไปยังคฤหาสน์ตระกูลเก๋าเพื่อรายงานเรื่องทั้งหมดให้กับเจ้านายของพวกเขาฟัง
ทางด้านของหลิงตู้ฉิง
ในเวลานี้หลิงตู้ฉิงได้กลับมาถึงศาลาศักดิ์สิทธิ์แล้ว เมื่อเห็นว่าเวลายังเหลืออีกมากก่อนจะถึงเวลาพาเด็ก ๆ กลับคฤหาสน์ หลิงตู้ฉิงในเวลานี้จึงเริ่มวางแผนการบ่มเพาะร่างกายของเขาต่อไปอีกขั้น
“หากข้าสามารถหลอมโอสถแก่นธาตุวารีได้อีกสักเม็ดก็คงจะดี เมื่อข้าใช้เพิ่มอีกแค่สักเม็ดเดียว ร่างกายของข้าจะกลายเป็นร่างวารีขั้นต้น ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ดีเด่อะไรสักเท่าไหร่แต่มันก็ยังแข็งแกร่งกว่าร่างกายธรรมดาที่ข้ามีอยู่ในตอนนี้เป็นอย่างมาก แต่ข้าจะทำยังไงดี ตอนนี้วัตถุดิบที่จะใช้หลอมมันก็เหลือไม่พอแล้ว” หลิงตู้ฉิงพึมพำกับตนเอง
เมื่อคิดได้อยู่ครู่หนึ่งหลิงตู้ฉิงจึงเขียนรายการวัตถุดิบที่ใช้หลอมโอสถแก่นธาตุวารีลงในกระดาษและเดินไปยังห้องทำงานของจ้าวปาเทียนที่อยู่ในสถาบัน
“ไอ้ของพวกนี้มันมีอยู่ในสถาบันที่ไหนกัน แม้แต่ข้าเองยังไม่เคยได้ยินชื่อของพวกมันมาก่อนเลยด้วยซ้ำ” จ้าวปาเทียนพูดขึ้นขณะที่กำลังจ้องเขม็งไปที่รายการวัตถุดิบที่หลิงตู้ฉิงพึ่งยืนให้
“หากท่านไม่รู้จัก ท่านก็ลองส่งคนของออกท่านออกไปกระจายข่าวตามหาพวกมันให้หน่อยก็แล้วกัน ข้าต้องการใช้พวกมันอย่างเร่งด่วน” หลิงตู้ฉิงตอบกลับ
จ้าวปาเทียนพูดอย่างระอาใจ “เจ้าและเหมิงเอ๋อกำลังจะแต่งงานกันอยู่เร็ว ๆ นี้แล้ว ทำไมเจ้ายังต้องเรียกข้าห้วน ๆ อยู่อีก ทำไมเจ้าถึงไม่เรียกข้าว่าท่านปู่ซะที!”
หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “การที่ท่านจะให้ข้าเรียกท่านว่าท่านปู่ มันขึ้นอยู่กับท่านไม่ใช่ขึ้นอยู่กับข้า แต่ถ้าจะให้ข้าพูดตรง ๆ มันก็คงจะยากทีเดียวล่ะ”
ด้วยผลจากการบำเพ็ญเต๋าแห่งอารมณ์ หลิงตู้ฉิงมีความสามารถในการสัมผัสอารมณ์และความรู้สึกที่แท้จริงของผู้คนได้
ตั้งแต่ที่เขารู้จักกับจ้าวปาเทียนมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เขายังไม่สามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์ความใกล้ชิดเฉกเช่นครอบครัวที่จ้าวปาเทียนมีให้ต่อเขาเลยแม้แต่น้อย
ความรู้สึกที่หลิงตู้ฉิงสัมผัสได้จากจ้าวปาเทียนในตอนนี้มีเพียงแค่ อารมณ์ของคนนอกที่ต้องการแสวงหาผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน นี่จึงเป็นเหตุผลที่หลิงตู้ฉิงยังไม่มีวันนับจ้าวปาเทียนเป็นคนในครอบครัวเหมือนกับที่เขาปฎิบัติกับหลิงเจิ้งสง
จ้าวปาเทียนได้ยินเช่นนั้นเขาส่ายหัวและพูดขึ้น “งั้นก็แล้วแต่เจ้าก็แล้วกัน เอ๊ะ ว่าแต่เจ้าได้ไปพบกับองค์หญิงเหลียงเจี๋ยมาแล้วรึยัง นางเป็นยังไงบ้าง?”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ข้าได้ไปพบกับนางมาแล้ว และนางไม่มีคุณสมบัติพอจะเป็นบ่าวรับใช้ให้กับข้าก็แค่นั้น เอาล่ะสำหรับเรื่องรายการวัตถุดิบ ข้าวานท่านช่วยหามันให้กับข้าหน่อยก็แล้วกัน”
เมื่อพูดจบหลิงตู้ฉิงก็เดินออกไปจากห้องทันที
จ้าวปาเทียนในเวลานี้เขามองหลังของหลิงตู้ฉิงที่จากไปด้วยสายตากังวล จากนั้นเขาจึงเรียกผู้ช่วยของเข้ามาและให้ไปจัดการเรื่องของวัตถุดิบที่หลิงตู้ฉิงต้องการ
เมื่อสั่งงานกับผู้ช่วยเสร็จ จ้าวปาเทียนจึงใช้คริสตัลสื่อสารติดต่อหาหลิงเจิ้งสงทันทีและเล่าบทสนทนาที่เขาคุยกับหลิงตู้ฉิงให้หลิงเจิ้งสงฟัง
“เฒ่าหลิง ท่านต้องเกลี้ยกล่อมเขาให้ได้ ไม่เช่นนั้นพวกเราจะต้องเดือดร้อนกันหนักแน่!” จ้าวปาเทียนพูดขึ้น
“ข้าจะพยายามก็แล้วกัน” หลิงเจิ้งสงพูดตอบจากนั้นจึงตัดการเชื่อมต่อ
หลังจากหลิงเจิ้งสงตัดการสื่อสารไปแล้ว ในความคิดของเขานั้น เขารู้ว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปเกลี้ยกล่อมหลิงตู้ฉิง ด้วยนิสัยของหลิงตู้ฉิงแล้วหากตัดสินใจอะไรไปแล้วต่อให้คนทั้งโลกมาพูดเกลี้ยกล่อมให้เขาทำโน่นนั่นนี่ เขาไม่มีวันโอนเอนตามไปด้วยแน่นอน
ฉะนั้นสิ่งแรกที่หลิงเจิ้งสงทำคือเรียกหลิงเล่อชานเข้ามาหาเพื่อแจ้งข่าวนี้และหารือเรื่องวิธีการรับมือกับจักรพรรดิที่จะเริ่มลงมือจัดการกับตระกูลเขาในเร็ว ๆ นี้
ในอีกด้านหนึ่ง
หลิงตู้ฉิงเวลานี้เมื่อจัดการโยนปัญหาเกี่ยวกับการหาวัตถุดิบให้กับจ้าวปาเทียนแล้ว เขาจึงกลับมายังศาลาศักดิ์เพื่อเริ่มบ่มเพาะร่างกายตนเองต่อ จนถึงช่วงเวลาเลิกคาบเรียนของโม่หยูถัง จากนั้นพวกเขาจึงพากันกลับไปยังคฤหาสน์สราญรมย์
แต่เมื่อพวกเขากลับมาถึงบริเวณหน้าคฤหาสน์ สิ่งที่พวกเขาเห็นคือภาพของแถวยาวเหยียดที่ตั้งรออยู่ด้านหน้าประตู
บรรดาคนเหล่านี้ที่ตั้งแถวรอนั้นมีเพียงจุดประสงค์เดียว นั่นคือรอการมาของหลิงตู้ฉิง
ก่อนหน้านี้ได้มีการปล่อยข่าวออกมาว่าผู้ที่คิดค้นโอสถกำเนิดรากฐานขึ้นก็คือหลิงตู้ฉิง ด้วยข่าวที่ปล่อยมานี้ ส่งผลให้บรรดาผู้คนจึงรีบกรูกันเข้ามารอที่หน้าคฤหาสน์สราญรมย์เพื่อวัดดวงขอแลกเปลี่ยนกับหลิงตู้ฉิง รวมไปถึงพวกที่เคยไปเจรจากับมี่ตั้วตั้วมาแล้วแต่ล้มเหลวพวกเขาเองก็มาที่นี่เช่นกัน
เมื่อบรรดาผู้คนที่ต่างมารอเห็นหลิงตู้ฉิงกลับมาแล้วและกำลังเดินเข้าประตูคฤหาสน์ไป ในใจพวกเขาอยากจะวิ่งเข้าไปหาหลิงตู้ฉิงเป็นอย่างมาก แต่พวกเขากลับไม่กล้า เนื่องจากพวกเขาเห็นบรรดาผู้คนที่เดินตามหลิงตู้ฉิงเข้าไปด้วยนั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่น่าหวาดกลัว
โดยเฉพาะคน ๆ นั้นคือโม่หยูถัง
หลังจากข่าวเรื่องการประลองของโม่หยูถังแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครรู้ว่าโม่หยูถังนั้นอยู่ในระดับไหนของระดับการบ่มเพาะ แต่พวกเขาเองก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามกับตัวตนที่สามารถเอาชนะอาจารย์ของสถาบันราชวงศ์ได้เกือบสองโหล ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ขยับตัวด้วยซ้ำ
โม่หยูถังที่เพิ่งเดินตามหลิงตู้ฉิงเข้าไปในคฤหาสน์นั้นได้สักพัก จู่ ๆ เขาก็เดินออกมาอีกครั้ง พร้อมกับแบกแผ่นหินขนาดใหญ่เท่าตัวคน และส่งยิ้มให้กับบรรดาผู้คนที่ต่อแถวรออยู่และตะโกนขึ้นว่า
“นายท่านของข้า ทราบถึงเหตุผลที่พวกเจ้าทั้งหมดมาที่นี่แล้ว ดังนั้นนายท่านของข้าจึงสั่งให้ข้าแจ้งกับพวกเจ้าถึงเงื่อนไขในการเข้าพบกับเขาว่า หากผู้ใดที่มีสิ่งของตามรายการที่อยู่ในแผ่นหินนี้ นายท่านของข้าจะยอมพบกับคนผู้นั้น และตกลงในเรื่องต่าง ๆ ที่คนผู้นั้นต้องการได้” พูดจบโม่หยู่ถังจึงวางแผ่นหินที่สลักรายชื่อวัตถุดิบแผ่นใหญ่วางลงด้านข้างประตูคฤหาสน์
เมื่อวางแผ่นหินเสร็จ โม่หยูถังจึงหันไปยังผู้คนที่ต่อแถวและพูดต่อ “และด้วยความใจกว้างของนายข้า เขายังให้ข้าแจ้งอีกว่าต่อให้ใครก็ตามที่เคยเป็นศัตรูหรือเคยขัดแย้งกับเขา ขอเพียงมีวัตถุดิบที่อยู่ในรายชื่อนี้ ทุกคนก็สามารถมีสิทธิ์เข้าพบนายท่านของข้าได้เช่นกัน ยกเว้นเสียแต่กลุ่มหอการค้าต่าง ๆ ที่เคยปฏิเสธการทำการค้ากับนายท่าน หากหอการค้าเหล่านั้นต้องการได้รับสิทธิ์เข้าพบ อันดับแรกจะต้องไปทำการปิดตัวหอการค้าของตัวเองซะและหาวัตถุดิบมาให้ได้ ไม่เช่นนั้นต่อให้มีวัตถุดิบมา นายข้าจะไม่มีทางให้เข้าพบแน่นอน”
“อ๋อ และอีกอย่างหนึ่ง นายท่านของข้ายังบอกมาอีกว่า หากพวกเจ้าคนไหนที่คิดว่ามั่นใจในระดับการบ่มเพาะของตนเอง พวกเจ้าสามารถเข้ามาลองของในคฤหาสน์ได้ ตราบใดที่พวกเจ้าสามารถแย่งชิงโอสถไปจากนายท่านของข้าได้ นายท่านของข้าจะไม่ติดใจเอาความจากพวกเจ้าแน่นอน” หลังจากพูดจนยืดยาวจบ โม่หยูถังจึงเดินหันหลังกลับไปและปิดประตูคฤหาสน์ใส่หน้าบรรดาคนที่มาต่อแถวรอ
คำประกาศของโม่หยูถังทำให้ทุกคนที่ต่อแถวยืนอึ้ง
ก่อนหน้าที่ผู้คนเหล่านี้จะมาที่คฤหาสน์สราญรมย์ พวกเขาเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ทั้งสิ่งของล้ำค่า ทั้งเงื่อนไขการทำการค้าร่วมกันอันสวยหรู แต่เมื่อเจอเงื่อนไขที่โม่หยูถังกล่าวเมื่อสักครู่ แผนต่าง ๆ ที่พวกเขาวางไว้อยู่เป็นดิบดีจึงพังครืนลงอย่างไม่เป็นท่า
แต่ยังไงซะ พวกเขาบางส่วนเองก็วางใจได้ขึ้นบ้างจากเงื่อนไขที่หลิงตู้ฉิงได้ประกาศออกมา หากพวกเขาสามารถหาวัตถุดิบตามที่หลิงตู้ฉิงต้องการได้พวกเขาเองยังมีโอกาสที่จะได้เข้าพบ
ส่วนคนที่มาจากหอการค้าต่าง ๆ ที่เคยปฏิเสธการทำการค้ากับหลิงตู้ฉิง พวกเขาต่างจ้องไปยังประตูคฤหาสน์ด้วยสายตาชิงชัง เนื่องจากเงื่อนไขที่หลิงตู้ฉิงได้แจ้งให้พวกเขาปิดหอการค้าของพวกเขาลงนั้นล้ำเส้นจนเกินไป พวกเขาจึงพากันล้มเลิกความคิดที่จะติดต่อกับหลิงตู้ฉิง
และผู้คนอีกบางส่วนที่มองไปยังประตูคฤหาสน์ด้วยสายตาเหยียดหยาม คนเหล่านี้ต่างส่งสัญญาณให้กัน เพื่อเป็นอันรู้ว่าในเมื่อหลิงตู้ฉิงไม่ต้องการเจรจากับพวกเขาดี ๆ พวกเขาก็ต้องใช้วิธีการปล้นชิงโอสถเหล่านั้นมาด้วยตนเอง พวกเขาจึงพากันจับกลุ่มเดินจากไปเพื่อหารือถึงแผนการบุกคฤหาสน์สราญรมย์