พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 148 แลกเปลี่ยนกับอสูร[รีไรท์]
บทที่ 148 แลกเปลี่ยนกับอสูร[รีไรท์]
นักศึกษาสถาบันราชวงศ์ทั้งสองคนเมื่อได้ยินคำขู่ของชายผู้นี้ พวกเขาจึงตอบกลับด้วยอารมณ์โมโห “ทำไมพวกข้าต้องเอาโต๊ะของพวกข้าให้พวกเจ้าด้วย พวกเจ้าไม่รู้เหรอว่าพวกข้าเป็นใคร? พวกข้าเป็นนักศึกษาของสถาบันราชวงศ์เชียวนะ!”
นักศึกษาจากสถาบันราชวงศ์ทั้งสองต่างอยู่ในระดับจุดสูงสุดของขอบเขตควบแน่นลมปราณทั้งคู่ ด้วยความมั่นใจทั้งในระดับของพวกเขาบวกกับชื่อเสียงของสถาบัน พวกเขาจึงตะโกนขู่ออกไปหมายว่าฝ่ายตรงข้ามจะกลัวจนหัวหดเมื่อได้ยินชื่อของสถาบัน
หนึ่งในชายสองคนที่พึ่งเข้ามา พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้า จูเถียเหอ แห่งสำนักแสงดารา พวกเจ้าต้องการมีปัญหากันนักใช่ไหม?”
ระหว่างที่พูด จูเถียเหอได้ปล่อยแรงกดดันของพลังวิญญาณขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 9 ออกมากดดันนักศึกษาทั้งสองไว้
“ข้าเองมาถึงที่นี่ได้ 2 วันแล้ว และได้ยินเรื่องราวความมหัศจรรย์ของสถาบันราชวงศ์มาอยู่บ้าง เขาว่ากันว่าพวกเจ้านั้นล้วนแต่เป็นอัจฉริยะ แต่จากที่ข้าดูแล้วหากพวกเจ้าที่อยู่เพียงแค่ขอบเขตควบแน่นลมปราณถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะ เช่นนั้นข้าที่อยู่ขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 9 นั้นผู้คนไม่ต้องเรียกข้าว่าเป็นปู่ของอัจฉริยะเลยงั้นเหรอ” จูเถียเหอพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
เมื่อได้ยินเช่นนั้นชายหนุ่มที่มากับจูเถียเหอหัวเราะขึ้นและพูดว่า “เอาล่ะ ๆ ช่างพวกเขาเถอะ ถอนพลังของเจ้าปล่อยคนพวกนี้ไปซะ พวกเขาไม่มีค่าพอให้เราใส่ใจหรอก”
จูเถียเหอพยักหน้าและถอนแรงกดดันออกจากนักศึกษาทั้งสองออก และสบถออกมาว่า “เหอะ ไอ้พวกกบในกะลาเอ๊ย ดีที่วันนี้ศิษย์พี่ข้าอารมณ์ดี บอกข้าปล่อยพวกเจ้าไป ไม่เช่นนั้นข้าจะอัดพวกเจ้าให้รู้จักที่ต่ำที่สูงกันบ้าง เอาล่ะไปให้พ้นหน้าข้าได้แล้ว ไป!”
นักศึกษาทั้งสองคนที่รู้สึกได้ว่าแรงกดดันที่จูเถียเหอปล่อยออกมานั้นได้หายไปแล้ว พวกเขาจึงรีบลุกขึ้นและวิ่งหนีจากไป
แต่ก่อนที่พวกเขาจะวิ่งไปถึงบันไดนั้น หญิงสาวหน้าตางดงาม 2 คนได้เดินขึ้นมายังชั้นสองพอดี หนึ่งในนั้นได้พูดว่า “แล้วสำนักแสงดาราของพวกเจ้าสูงส่งมาจากไหนกัน ถึงกล้ามาใช้อำนาจบาตรใหญ่ในอาณาจักรของท่านปู่ข้า? หากพวกเจ้ายังทำตัววางอำนาจข่มขู่ประชาชนของข้าอีก ข้าจะไปบอกท่านปู่ของข้าให้เนรเทศพวกเจ้าออกไปจากอาณาจักร!”
หญิงสาวที่เอ่ยประโยคนี้ไม่ใช่ใครอื่น นางคือเหลียงเจี๋ย ในฐานะที่นางเป็นองค์หญิง นางย่อมทนกับภาพที่คนนอกมารังแกคนของอาณาจักรนางไม่ได้
จูเถียเหอและศิษย์พี่ของเขา เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ในตอนแรกพวกเขาเตรียมจะเถียงกลับไป แต่เมื่อพวกเขาเห็นหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่ด้านข้างเหลียงเจี๋ย พวกเขาจึงยั้งคำพูดของตัวเองทันที
เนื่องจากว่าหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านข้างเหลียงเจี๋ยนั้น นางคือหลี่จือหลิง อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งสำนักบุปผาจันทรา
ด้วยความแข็งแกร่งของสำนักบุปผาจันทราที่มีมากกว่าสำนักแสงดาราของพวกเขาอย่างคนละชั้น รวมไปถึงบรรดาอัจฉริยะของสำนักบุปผาจันทราแต่ละคนส่วนใหญ่นั้นล้วนแข็งแกร่งมากกว่าพวกเขาทั้งคู่ พวกเขาจึงได้แต่ก้มหน้าเงียบไม่กล้าเถียงอะไรต่อ
หลี่จือหลิง เมื่อเห็นเช่นนั้นนางจึงหัวเราะขึ้นและพูดกับเหลียงเจี๋ยว่า “เอาน่า ๆ เจี๋ยเจี๋ย อย่าไปถือสาพวกเขาเลย เมื่อครู่ข้ากำลังฟังที่เจ้าเล่ากับเกี่ยวกับศาลาศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่นกำลังสนุกอยู่เลย มา ๆ เจ้าเล่าให้ข้าฟังต่ออีกทีสิ”
เหลียงเจี๋ย เมื่อนางได้ยินหลี่จือหลิงรบเร้านางจึงเมินจูเถียเหอและศิษย์พี่ของเขา และหันไปคุยกับหลี่จือหลิงถึงเรื่องของศาลาศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับพากันเดินไปยังห้องรับรองส่วนตัวของภัตตาคารจอกทองคำ
เมื่อได้ยินชื่อของศาลาศักดิ์สิทธิ์ จูเถียเหอขมวดคิ้วด้วยความสงสัยทันที เขาสงสัยว่ามันคือสถานที่อะไรที่สามารถทำให้หลี่จือหลิง เทพธิดาแห่งสำนักบุปผาจันทราให้ความสนใจได้?
ด้วยความสงสัย จูเถียเหอจึงหันไปถามนักศึกษาสถาบันราชวงศ์ที่ยังไม่เดินไปไหน เนื่องจากตะลึงในความงดงามของเหลียงเจี๋ยและหลี่จือหลิงอยู่ให้รู้สึกตัวขึ้น เขาถามขึ้นว่า “เฮ้! พวกเจ้าทั้งสองคนน่ะ พวกเจ้ารู้จักไอ้สถานที่ ที่เรียกว่าศาลาศักดิ์สิทธิ์นี่ไหม?”
นักศึกษาสถาบันราชวงศ์ทั้งสองคนที่ถูกถามขึ้น พวกเขาต่างเลือกที่จะเงียบไม่บอกข้อมูลอะไร เนื่องจากก่อนหน้านี้พวกเขาต่างถูกจูเถียเหอรังแกและดูถูกเอาไว้ มันจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะต้องช่วยเหลือคนที่พวกเขาไม่ชอบขี้หน้า
จูเถียเหอที่เห็นสีหน้าเมินเฉยของนักศึกษาสถาบันราชวงศ์ทั้งสองคน เขาจึงโน้มน้าวขึ้นว่า “ข้ายังไม่รู้จักเมืองหลวงของพวกเจ้าเท่าไหร่ เอาเป็นว่าถ้าพวกเจ้าสองคนยอมมาเป็นคนนำทางและบอกข้อมูลเกี่ยวสถานที่ต่าง ๆ ให้ข้า หลังจากนี้ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าสองคนติดตามพวกข้ากลับไปที่สำนักแสงดาราเพื่อเข้าร่วมกับพวกเรา”
เมื่อได้ยินคำโน้มน้าวของจูเถียเหอ แววตาของนักศึกษาสถาบันราชวงศ์ทั้งสองคนต่างเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น
ในอดีต การที่สำนักเหล่านี้จะเข้าเมืองมาคัดเลือกผู้คนนั้นยากยิ่งนัก และพวกเขาคัดเลือกแต่ผู้มีพรสวรรค์ที่มีความสามารถขั้นสุดยอดถ้าเทียบอัตราส่วนต่อผู้เชี่ยวชาญธรรมดาก็คือหนึ่งในล้านที่จะได้เข้าร่วม ซึ่งหากวัดจากความสามารถของพวกเขา ยังไงชาตินี้พวกเขาคงไม่ถูกรับเลือกแน่นอน
แต่ตอนนี้โอกาสนั้นมาถึงตรงหน้าพวกเขาแล้ว
เมื่อนึกถึงโอกาสที่ดีงามเช่นนี้ พวกเขาจึงกัดฟันยอมเล่าเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับศาลาศักดิ์สิทธิ์ให้กับจูเถียเหอจนหมดเปลือก
ขณะนี้เวลาได้ล่วงเลยมาห่างจากการประมูลของตระกูลมี่เพียง 5 วัน และข่าวโอสถที่ตระกูลมี่จะเปิดประมูลแพร่ไปไวเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด
ในทุก ๆ วันเรือเหาะหรือสมบัติวิเศษที่บินได้หลากหลายชนิดจะเดินทางมาที่เมืองหลวงจำนวนมากขึ้นทุกวัน
นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้คนในอาณาจักรจันทราได้เห็นภาพอันงดงามเช่นนี้ และเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้พวกเขาส่วนใหญ่รู้เป็นครั้งแรกว่ายังมีสำนักมากมายอยู่ที่ทวีปอื่นห่างไกลออกไปอีกมากมาย
สำนักเป็นเหมือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในใจของใคร ๆ หลายคน ในอดีตผู้คนจากสำนักต่าง ๆ ในทวีปเดินทางมาที่สถาบันราชวงศ์เพื่อเฟ้นหาอัจฉริยะเพียงไม่กี่หยิบมือมาเป็นลูกศิษย์ ซึ่งคนธรรมดาส่วนใหญ่ต่างทราบและเคยเห็นตัวตนเฉพาะสำนักที่อยู่ในทวีปเทียนหยวนเท่านั้น พวกเขาไม่เคยเห็นและไม่เคยได้ยินถึงตัวตนของผู้เชี่ยวชาญจากสำนักต่างทวีปมาก่อน
ในที่สุดตอนนี้ทุกคนก็สามารถได้สัมผัสและพบเห็นกับตัวตนระดับสูงจากทวีปอื่นได้
แต่ในช่วงแรกที่สำนักจากต่างทวีปพวกนี้มาถึง บางสำนักมีนิสัยเย่อหยิ่งจองหอง เอาแต่วางอำนาจบาตรใหญ่ไม่สนใจคนของราชสำนัก บางสำนักถึงขั้นจะบุกไปยังตระกูลมี่เพื่อชิงโอสถมาทันทีที่มาถึงเมืองหลวงเลยด้วยซ้ำ
แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ลงมือทำอะไร พวกเขาต่างก็ถูกปรามไว้ด้วยเหลียงซานที่เปิดเผยตัวตนว่าตนเองมาจากสำนักยอดเขาหยกจักรพรรดิ
เมื่อสำนักต่าง ๆ รู้ถึงที่มาของเหลียงซาน พวกเขาจึงเลิกวางอำนาจและอยู่อย่างสงบเสงี่ยมไม่กล้าที่จะทำอะไรผลีผลาม
แต่ก็ยังมีบางสำนักที่เป็นพวกเดนตาย พวกเขาไม่สนใจการดำรงอยู่ของเหลียงซาน พวกเขายังคงวางแผนที่จะบุกเข้าไปปล้นตระกูลมี่ให้ได้ แต่เมื่อพวกเขาได้ยินว่าก่อนหน้านี้ไม่นาน ตระกูลมี่ที่สามารถเรียกสัตว์ประหลาดลึกลับออกมาสังหารผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราได้ง่ายดั่งการตบยุง พวกเขาก็เก็บความคิดที่นอกลู่นอกทางไว้ทันที
ตอนนี้ทุกคนจึงทำได้แต่รอให้การประมูลเริ่มขึ้นเท่านั้น และรอดูสถานการณ์ในงานประมูลก่อนเป็นอันดับแรกก่อนที่จะตัดสินใจลงมือดำเนินแผนการของพวกเขาต่อไปอีกที
ในด้านของตระกูลมี่ หลังจากเหตุการณ์สังหารหมู่ในวันนั้นทุกอย่างก็ดูสงบลงมาก
ภายใต้การสังเกตการณ์จากผู้คนมากมายที่คอยเฝ้าดูอยู่นอกคฤหาสน์ ในที่สุดมี่ตั้วตั้วก็ปรากฏตัวขึ้นและเขาก็มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์สราญรมย์โดยไม่หยี่ระกับสายตาจำนวนมากที่กำลังจับจ้องการกระทำของเขาอยู่
เมื่อมี่ตั้วตั้วมาถึงหน้าคฤหาสน์สราญรมย์ เขาก็เห็นคนมากมายมารวมตัวกันมุงดูที่แผ่นหินสลักรายชื่อของสิ่งของที่หลิงตู้ฉิงต้องการ เขาไม่สนใจคนเหล่านั้นและมุ่งหน้าเข้าไปด้านในทันที
หลังจากที่เขาได้รับรายการวัสดุจากหลิงตู้ฉิงมาแล้ว ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาได้ทำหน้าที่เป็นคนกลางเจรจาให้หลิงตู้ฉิงกับอสูรทมิฬตนนั้นอย่างหนัก จนในที่สุดก็ได้ข้อตกลงเป็นที่น่าพึ่งพอใจของทั้งสองฝ่าย ถึงแม้ว่าการเจรจาในครั้งนี้เขาอาจจะไม่ได้ผลตอบแทนเป็นเงิน แต่การที่เขาทำให้ทั้งสองฝ่ายตกลงการค้ากันได้สำเร็จ เขาก็ยังถือว่าเขาได้รับประโยชน์จากความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากขึ้นของเขาที่มีต่อทั้งสองฝั่ง
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา หลิงตู้ฉิงไม่ได้ไปปรากฎตัวที่ศาลาศักดิ์สิทธิ์เลย เพราะเขาไม่มีอะไรจะทำที่นั่น ประกอบกับว่าเขาจะต้องรอตรวจสอบเหล่าสมบัติประหลาดจากบรรดาคนที่มายืนรอหน้าคฤหาสน์สราญรมย์อยู่ทั้งวัน
นอกเหนือจากมี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ยที่อยู่ที่คฤหาสน์กับหลิงตู้ฉิงแล้ว ทุกวันคนอื่น ๆ ที่เหลือจะไปเรียนที่ศาลาศักดิ์สิทธิ์ตามเดิม โดยการเดินทางนั้นอยู่ภายใต้การคุ้มครองของโม่หยูถังและเสี่ยวเยว่เฟิง
เมื่อเห็นว่ามี่ตั้วตั้วมาถึง หลิงตู้ฉิงก็นำเขาเข้าไปคุยกันในคฤหาสน์
หลังจากเข้ามายังห้องรับรองแขก หลิงตู้ฉิงจึงนั่งลงที่เก้าอี้ขนาบข้างด้วยหลิวเฟ่ยเฟ่ย มี่ไลยืนรินน้ำชาให้ทั้งหลิงตู้ฉิงและมี่ตั้วตั้ว เมื่อรินเสร็จนางจึงเดินมานั่งข้างหลิงตู้ฉิง ส่วนมี่ตั้วตั้วนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
มี่ตั้วตั้วยิ้มกับภาพที่ลูกสาวของเขาดูเหมือนว่าเดี๋ยวนี้จะค่อนข้างสนิทสนมกับหลิงตู้ฉิงเป็นอย่างมาก
หลังจากยกชาขึ้นมาจิบ มี่ตั้วตั้วจึงพูดก่อนว่า “ปรมาจารย์หลิง สิ่งของสองรายการในรายชื่อที่ท่านให้ข้าเจรจาแลกเปลี่ยนกับเผ่าอสูรทมิฬสงครามอยู่ที่นี่แล้ว ขอท่านโปรดลองตรวจสอบดู”
เมื่อพูดจบมี่ตั้วตั้วหยิบขวดเล็ก ๆ ใส ๆ ที่บรรจุของเหลวคล้าย ๆ เศษโคลนสีดำออกมาจากแหวนมิติพร้อมกับแท่งโลหะสีดำทมิฬ
“นี่คือเลือดของอสูรทมิฬและเหล็กแห่งความมืด” มี่ตั้วตั้วพูด
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพยักหน้า เขามองไปที่ของทั้งสองก่อนที่จะเก็บพวกมันเข้าไปในแหวนมิติจากนั้นก็ถาม มี่ตั้วตั้วว่า “พวกนั้นต้องการถามอะไรข้าเพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งของเหล่านี้?”
“คำถามแรก ท่านสามารถสร้างอาวุธที่เหมาะสมสำหรับอสูรทมิฬสงครามได้หรือไม่?” มี่ตั้วตั้วถาม
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ข้าทำได้ แต่วัสดุในการสร้างพวกเขาต้องหามาให้ข้าเอง ส่วนระดับคุณภาพของอาวุธที่ได้ออกมานั้นจะขึ้นอยู่กับระดับของวัสดุที่พวกเขาจัดหามาและรวมไปถึงค่าตอบแทนของข้าที่จะได้รับ”
มี่ตั้วตั้วพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “คำถามที่สอง ผู้อาวุโสเผ่าอสูรทมิฬสงครามอยากถามท่านว่า ท่านสามารถสร้างสิ่งที่ดูเหมือนเจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์อีกครั้งได้หรือไม่?”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “การดำรงอยู่ของเจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์นั้นเกิดขึ้นมาจากความบังเอิญและโชคชะตาของท่านล้วน ๆ ข้าเป็นเพียงแค่คนขึ้นรูปมันเท่านั้น ดังนั้นเจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์จึงไม่สามารถสร้างขึ้นได้อีกเป็นชิ้นที่สอง”
“สำหรับมูลค่าคำตอบของคำถามที่สองนี้คงไม่เพียงพอที่จะแลกกับเลือดอสูรทมิฬสงครามขอบเขตนภาในขวดนี้ ฝากท่านบอกกับพวกเขาด้วยว่าข้าขอชดเชยสำหรับคำถามที่สองโดยการสร้างอาวุธที่เหมาะสำหรับเผ่าอสูรทมิฬของพวกเขาให้โดยไม่คิดค่าจ้าง แต่วัสดุยังคงต้องให้พวกเขาหามาให้กับข้าเองเช่นเดิม”
“นอกจากนี้ข้าอยากจะเตือนท่านให้ระวังตัวมากกว่าเดิม ถึงแม้ว่าท่านจะมั่นใจว่าคนในทวีปเทียนหยวนจะทำอะไรท่านไม่ได้ด้วยการปกป้องของเจดีย์ แต่เวลานี้คนจากทวีปอื่น ๆ ได้หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสายและพวกเขาบางคนมีระดับการบ่มเพาะที่ค่อนข้างสูง ซึ่งในเวลานี้เจดีย์ของท่านอาจจะยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะรับมือกับพวกเขาได้ทั้งหมด”
“และยังมีอีกเรื่องคือ ข้าอยากย้ำกับท่านอีกครั้งว่าสูตรของโอสถกำเนิดรากฐานไม่ใช่สูตรยาที่มีความซับซ้อนอะไรมากมายนัก หากนักหลอมโอสถที่อยู่ในระดับปรมาจารย์ได้เห็นเม็ดโอสถเข้า พวกเขาก็สามารถแกะสูตรของมันออกมาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก และเมื่อสูตรของมันถูกเผยแพร่ออกไปเป็นวงกว้าง ท่านจะพบกับปัญหาการขายที่ไม่ตรงตามที่ใจท่านหวัง”
มี่ตั้วตั้วพยักหน้า “ข้าได้ปรึกษาเรื่องโอสถกับอาจารย์หวงเรียบร้อยแล้ว และข้าเองก็ได้คำนวณไว้เช่นกัน กว่าที่จะถึงเวลาที่คนอื่นคิดค้นสูตรโอสถได้สำเร็จ ข้าก็คงจะทำกำไรจากมันจนมีเหรียญทองกองเท่าภูเขาไปแล้ว จากนั้นข้าจะขยายหอการค้ามี่ตั้วตั้วให้ยิ่งใหญ่กว่าหอการค้าอื่น ๆ ด้วยกำไรที่ทำได้จากโอสถกำเนิดรากฐาน และในเวลาเดียวกันข้าจะใช้เงินซื้อทรัพยากรต่าง ๆ ให้กับอาจารย์หวงในการพัฒนาเต๋าโอสถของเขาและบ่มเพาะระดับพลังของเขาเองให้สูงขึ้น”
“เมื่อถึงเวลาที่แผนทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ อาจารย์หวงจะสามารถหลอมโอสถคุณภาพสูงอื่น ๆ ได้อีกและตระกูลมี่ของข้าจะยังคงมีที่ยืนในอนาคต นอกจากนี้เมื่อไหร่ที่ตระกูลมี่ร่ำรวยเพิ่มขึ้นจนมากพอ เวลานั้นข้าจะมาขอร้องท่านอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ช่วยหลอมอาวุธที่สามารถทำให้ข้าไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวใครอีกก็ตามในโลกนี้”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ท่านวางแผนล่วงหน้าเตรียมตัวไว้เช่นนี้ก็ดีแล้ว ส่วนเรื่องอาวุธ ตอนนี้ข้าสามารถหลอมให้ท่านได้หากท่านมีวัสดุอยู่กับตัว ถึงแม้ว่ามันจะไม่ดีเท่าเจดีย์ที่ท่านมีแต่มันก็อาจจะช่วยท่านได้เช่นกันในยามคับขัน”
ในฐานะที่เขาเป็นผู้นำของตระกูลค้าขาย จึงเป็นเรื่องแน่นอนที่มี่ตั้วตั้วจะพกพาวัสดุขั้นสูงจำนวนมากติดตัวอยู่ด้วย
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิง เขาก็รีบหยิบวัสดุขั้นสูงออกมาทันทีด้วยอาการตื่นเต้น
ในเวลาไม่ถึง 1 ก้านธูป โล่ห์ระดับวิญญาณขั้นสูงได้ถูกสร้างขึ้น หลิงตู้ฉิงส่งมอบมันให้กับมี่ตั้วตั้ว
เมื่อมี่ตั้วตั้วเก็บโล่ห์ของเขาและกำลังจะจากไป
ทันใดนั้นประตูคฤหาสน์ก็เปิดออกอย่างแรงและชายวัยกลางคนที่เต็มไปด้วยรังสีแห่งการฆ่าฟันก็เดินเข้ามา