พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 179 ลองดี
บทที่ 179 ลองดี
ทุกคนรู้สึกว่าได้ว่าตอนนี้ การประลองได้มาถึงจุดจบแล้ว พวกเขาจึงเตรียมที่จะแยกย้ายกันกลับไปยังคณะตัวเอง
แต่หลังจากที่พวกเขาได้ยินคำพูดของฟางเหล่ยถง พวกเขาจึงเริ่มนึกได้ว่ายังเหลือเด็กสาวอีกคนหนึ่งที่พวกเขายังไม่เห็นความสามารถของนาง
ทุกคนมองไปยังหลิงตู้ฉิงและรอดูปฏิกิริยาของเขาว่าจะเอายังไงต่อ
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบว่า “ลูกสาวของข้าคนนี้ วิถีการบ่มเพาะของนางนั้นไม่เหมือนคนอื่น และนางยังไม่สามารถควบคุมพลังของตัวนางเองได้สักเท่าไหร่ ซึ่งมันอาจจะทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นได้ง่าย ๆ และเมื่อเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นมันอาจจะทำให้ผู้ที่เผชิญหน้ากับนางถูกสังหารลงได้อย่างง่ายดาย ฉะนั้นเพื่อเป็นการดีกับทุกคน ข้าจึงยังไม่อนุญาตให้นางเข้าร่วมการประลองในครั้งนี้”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้พวกเขาต่างมองหน้ากันอย่างสงสัย
เด็กผู้หญิงคนนี้มีวิชาบ่มเพาะอะไร ทำไมหลิงตู้ฉิงพูดถึงนางราวกับว่านางอันตรายมากขนาดนั้น?
พวกเขาเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณแถมบางคนยังอยู่ในขอบเขตรวมแสงดารา จะเป็นไปได้ยังไงที่เด็กสาวตัวเล็ก ๆ คนนี้ที่มีระดับการบ่มเพาะแค่ขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 3 จะสามารถทำอันตรายพวกเขาได้?
คำพูดแบบนี้มันจะดูไม่เกินจริงไปหน่อยหรือไง?
ฟางเหล่ยถงหัวเราะและพูดว่า “อาจารย์หลิง ในฐานะที่ข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดารา ข้ามีความมั่นใจเป็นอย่างมากว่าข้าจะรับมือลูกของท่านได้แน่นอน ฉะนั้นท่านจะว่าอะไรไหมหากข้าจะขออาสาเป็นผู้ทดสอบลูกของท่านคนนี้ ข้าคิดว่าบรรดาผู้คนที่อยู่ที่นี่ก็คงอยากจะเห็นวิชาการบ่มเพาะอันลึกลับของลูกท่าน ที่ท่านบอกว่ามันอันตรายนักอันตรายหนาเช่นกัน”
หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วมองไปยังฟางเหล่ยถง และพูดว่า “ข้าจะขอเตือนเจ้าไว้อีกครั้ง พลังของลูกข้าคนนี้ที่จะสำแดงออกมามันไม่ใช่พลังที่เจ้าจะดูถูกได้ หากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมาเจ้าจะตายทันที!”
“ท่านไม่จำเป็นต้องใส่ใจหรอกหากข้าตายขึ้นมาจริง ๆ” ฟางเหล่ยถงหัวเราะ “ไม่ว่าท่านจะคิดยังไงแต่ระดับการบ่มเพาะของข้าเองนั้นอยู่ถึงขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 2 หากข้าตาย นั่นก็หมายความว่าข้ามันไม่เอาไหนเอง”
บรรดาอาจารย์ที่ได้ยินคำพูดยืนยันที่มั่นใจของฟางเหล่ยถง พวกเขาบางคนก็เผยรอยยิ้มล้อเลียนขึ้นมา
ไม่มีใครปักใจเชื่ออยู่แล้ว ว่าเด็กสาวตัวน้อยที่ระดับการบ่มเพาะแค่ขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 3 จะสามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราได้
หรือต่อให้เด็กน้อยคนนี้จะใช้อาวุธวิเศษของพ่อนาง พวกเขาก็ยังมั่นใจว่านางไม่สามารถทำอันตรายอะไรได้กับฟางเหล่ยถง
หลิงตู้ฉิงมองไปยังฟางเหล่ยถงอยู่ชั่วครู่ จากนั้นเขาหันกลับมามองหลิงฟ่างหัวและถามขึ้น “เจ้าอยากจะลองไหม?”
“แต่ท่านพ่อ ข้ายังควบคุมมันไม่ได้จริง ๆ นะ” หลิงฟ่างหัวตอบด้วยน้ำเสียงกังวล
“ไม่เป็นไรหรอก ต่อให้เจ้าควบคุมมันยังไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แล้วฝั่งตรงข้ามเองก็บอกแล้วว่าเขาไม่กลัวตาย ฉะนั้นเจ้าควรจะลองดูกับเขาสักตั้ง หรือไม่ถ้าหากมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น พ่อจะช่วยเจ้าเอง” หลิงตู้ฉิงตอบพลางยิ้มให้กับลูกสาวของเขา
หลิงฟ่างหัวพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะลองก็ได้ แต่ว่าท่านพ่อ ท่านต้องคอยระวังให้ข้าด้วยนะ ท่านเข้าใจไหม?”
หลิงตู้ฉิงลูบหัวนางพลางพูดว่า “รู้แล้ว ๆ แน่นอน พ่อจะดูเจ้าแบบไม่กระพริบตาเลยทีเดียวเจ้าพอใจไหม”
หลังจากถามความสมัครใจจากหลิงฟ่างหัวเสร็จ หลิงตู้ฉิงได้เงยหน้าขึ้นมองไปยังฟางเหล่ยถง และพูดว่า “เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าไม่กลัวที่จะตาย เช่นนั้นเจ้าก็จงเดินไปที่บริเวณการประลองที่ข้าจัดไว้ แต่ข้าจะเตือนเจ้าอีกครั้ง หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา คือเจ้าตายสถานเดียว!”
ฟางเหล่ยถงยิ้มและตะโกนขึ้นให้ทุกคนได้ยิน “เหล่าอาจารย์ทุกคนที่อยู่ที่นี่ ทุกท่านโปรดเป็นพยาน หากในวันนี้ข้าเกิดตายขึ้นมา มันจะเป็นเพราะข้าเลือกทางเดินนี้เองและข้าจะไม่ถือโทษโกรธใคร แต่ไม่ว่าจะยังไง ข้าคิดว่าอาจารย์หลิงนั้นค่อนข้างที่จะทำตัวตื่นตูมมากไปสักหน่อย…”
จ้าวปาเทียนที่รู้จักนิสัยของหลิงตู้ฉิงดี เขารู้ว่าหลิงตู้ฉิงไม่ใช่คนที่ชอบพูดอะไรเล่น ๆ เขารีบเดินเข้ามาขวางฟางเหล่ยถง “อาจารย์ฟาง ข้าคิดว่าท่านควรเปลี่ยนใจและหยุดแต่เพียงเท่านี้…”
ฟางเหล่ยถงส่ายหัวและพูดว่า “ท่านอธิการบดี ท่านไม่เห็นเหรอว่าตอนนี้ อาจารย์หลิงเขาดูจริงจังเป็นอย่างมาก ถ้าหากว่าข้ากลับคำตอนนี้ มันจะไม่เท่ากับว่าข้ากลายเป็นคนขี้ขลาดงั้นเหรอ และอีกอย่างข้าเองนั้นมั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวข้าเองอยู่พอตัว ฉะนั้นข้าคิดว่ามันจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นกับข้าหรอก”
“นี่ท่าน…” สีหน้าของจ้าวปาเทียนตอนนี้ดูมืดหม่นเป็นอย่างมาก
แต่ก่อนที่จ้าวปาเทียนจะได้พูดอะไรต่อ ฟางเหล่ยถงก็ได้เดินผ่านตัวเขาไปเรียบร้อยแล้ว และมุ่งหน้าไปยังบริเวณลานประลองที่หลิงตู้ฉิงจัดไว้เป็นพิเศษ ซึ่งต่างจากบริเวณอื่น ๆ
เมื่อเห็นท่าทีของฟางเหล่ยถงที่ไม่แยแสกับคำเตือนของเขา จ้าวปาเทียนจึงไม่ต้องการที่จะพูดอะไรต่อ เขาถอยไปด้านข้างและรอดูหายนะที่กำลังจะเกิดกับอาจารย์ผู้โง่เขลาผู้นี้
ขณะนี้สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่การทดสอบหลิงฟ่างหัวที่กำลังจะเกิดขึ้น ทุกคนต่างตื่นเต้นที่กำลังจะได้เห็นพลังของเด็กสาวที่ถึงขนาดหลิงตู้ฉิงยังต้องออกมาเตือนให้ทุกคนระวัง
แต่หลังจากที่ฟางเหล่ยถงได้เดินเข้าไปยังบริเวณลานประลองที่หลิงตู้ฉิงจัดไว้เป็นพิเศษ ทุกคนก็ต้องงุนงงเนื่องจาก จู่ ๆ บริเวณลานประลองที่ฟางเหล่ยถงเดินเข้าไปนั้นกลับมีกำแพงพลังวิญญาณทึบแสงปรากฎขึ้นขวางการมองเห็นของพวกเขาทั้งสี่ด้าน
“อาจารย์หลิง นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมพวกเราถึงมองเข้าไปไม่เห็นด้านใน?” บรรดาอาจารย์ต่างรีบตะโกนถามกันอย่างอื้ออึง
อันที่จริงพวกเขาเองก็รู้ดีว่ากำแพงวิญญาณนี้เป็นฝีมือของหลิงตู้ฉิงที่สร้างขึ้นมาปกปิดพื้นที่ประลองไว้ แต่พวกเขาก็ยังอดที่จะถามไม่ได้
หลิงตู้ฉิงเมื่อได้ยินคำถามเช่นนี้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันทีและตอบกลับ “ข้าได้บอกพวกเจ้าไปแล้ว ว่าลูกของข้าคนนี้วิชาการบ่มเพาะของนางนั้นไม่เหมือนกับคนอื่น และนางยังไม่สามารถควบคุมพลังของมันได้ กำแพงนี้ถูกสร้างมาก็เพื่อไม่ให้พลังของนางทำให้พวกเจ้าเดือดร้อนและอีกอย่างหนึ่งก็คือ ข้าไม่ต้องการให้พวกเจ้าเห็นว่าพลังของนางคืออะไร!”
“และอย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ว่าพวกเจ้าบางคนมีเจตนาแอบแฝง ฉะนั้นนั่งรอผลอย่างเงียบ ๆ อย่าพูดให้มันมากนัก หรือไม่ถ้าหากพวกเจ้าบางคนอยากจะเห็นจริง ๆ งั้นล่ะก็ พวกเจ้าเดินเข้าไปด้านในพื้นที่การประลองและสัมผัสด้วยตัวเองได้เลย แต่อย่าได้มาถามข้าอีกว่าหากเข้าไปแล้วเจ้าจะรอดออกมาได้รึเปล่า!”
บรรดาอาจารย์คณะอื่นที่ได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ของหลิงตู้ฉิง พวกเขาจึงได้แต่นั่งเงียบไม่กล้าปริปากอะไรออกมาแม้แต่ครึ่งคำ
“นี่เจ้าสงสัยว่า หนึ่งในบรรดาอาจารย์พวกนี้ถูกส่งตัวมาให้มาสืบข่าวของเจ้างั้นเหรอ?” จ้าวปาเทียนรีบใช้โทรจิตส่งข้อความไปหาหลิงตู้ฉิงด้วยความสงสัยทันที
หลิงตู้ฉิงที่ยังอยู่ในขอบเขตควบแน่นลมปราณ ซึ่งยังไม่สามารถส่งข้อความทางโทรจิตได้เขาทำได้แต่พยักหน้าหนึ่งครั้งเป็นการตอบจ้าวปาเทียน
และในขณะนี้ ภายในพื้นที่ประลองที่ถูกปิดกั้นโดยกำแพงวิญญาณ ฟางเหล่ยถงจ้องไปยังหลิงฟ่างหัวด้วยแวววตาสนใจและพูดขึ้น “แม่หนูน้อย หากข้าโจมตีเจ้าก่อนมันก็คงจะเป็นการรังแกเจ้าเกินไป มา ๆ ใช้พลังทั้งหมดที่เจ้ามี โจมตีเข้ามายังตัวข้าก่อนได้เลย ข้าจะยืนเฉย ๆ อยู่ตรงนี้นี่แหละ!”
ฟางเหล่ยถงต้องการที่เห็นว่าความสามารถของหลิงฟ่างหัวนั้นคืออะไรกันแน่
เนื่องจากลูกของหลิงตู้ฉิงคนอื่น ๆ นั้น ฟางเหล่ยถงได้เห็นความสามารถของพวกเขาทั้งหมดแล้ว ซึ่งเด็ก ๆ เหล่านั้นล้วนเก่งกาจและเหมาะสมกับคำว่าอัจฉริยะ แต่ความสามารถของพวกเขาก็ยังพอที่จะมองออกได้บ้าง
แต่หลิงฟ่างหัวเป็นคนเดียวที่เขายังไม่เห็น ฉะนั้นเขาจำเป็นต้องพิสูจน์มันให้ได้เพื่อที่จะนำข้อมูลนี้ไปใช้ประโยชน์ในอนาคต ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ลดตัวลงมาวุ่นวายกับเด็กน้อยที่ระดับการบ่มเพาะยังอยู่ในขอบเขตหลอมรวมลมปราณแน่นอน
หลิงฟ่างหัวเหลือบมองไปยังฟางเหล่ยถง และพูดว่า “ท่านลุง ความสามารถของข้านั้น มันเกี่ยวข้องกับของที่พ่อของข้าสร้างเอาไว้ให้ ฉะนั้นข้าจะแสดงมันให้ท่านดูเดี๋ยวนี้ล่ะ!”
เมื่อพูดจบ หลิงฟ่างหัวได้หยิบประตูที่หลิงตู้ฉิงสร้างให้นางออกมาตั้งไว้ตรงหน้านางทันที
มันคือกรอบประตูที่กรอบของมันเหมือนถูกสร้างขึ้นด้วยผลึกสะท้อนแสงเจ็ดสีและประดับประดาไปด้วยอัญมณีหลายชนิดอย่างสวยงาม
ฟางเหล่ยถงเมื่อได้เห็นประตูนี้ แว๊บแรกในความคิดของเขาก็คือ นี่คือสมบัติวิเศษระดับสูงงั้นเหรอ?
ถ้าหากมันเป็นสมบัติวิเศษระดับสูง เขาจำเป็นต้องระวังมันไว้ให้ดี!
ขณะนี้ ฟางเหล่ยถงสำรวจระดับการบ่มเพาะของตัวเพื่อความแน่ใจอีกครั้งหนึ่ง และเขาก็พบว่าระดับการบ่มเพาะของเขาไม่ได้ถูกสะกดเอาไว้ มันยังคงอยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 2
เมื่อตรวจสอบตัวเองจนพร้อมแล้ว ฟางเหล่ยถงจึงพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจว่า “เจ้าจงปลดปล่อยพลังของเจ้ามาให้เต็มที่ได้เลย ไม่ต้องกังวลกับความปลอดภัยของข้า ข้าแข็งแกร่งกว่าอาจารย์คนก่อนที่เจอกับพี่น้องของเจ้ามาก”
หลิงฟ่างหัวพยักหน้า จากนั้นนางผลักกรอบประตูให้ประตูเล็งไปทางฟางเหล่ยถง และนางจึงเริ่มโคจรพลังวิญญาณของนางเข้าไปในมันอยู่หลายครั้ง แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่านางจะพยายามแค่ไหนประตูนั้นไม่ได้ตอบสนองเลย
ฟางเหล่ยถงจ้องไปยังใบหน้าของหลิงฟ่างหัวที่กำลังหน้าดำหน้าแดงด้วยความพยายามใช้ประตูของนางแต่ไม่เป็นผล เขาจึงถามขึ้น “นี่เจ้าใช้มันไม่ได้งั้นเหรอ?”
หลิงฟ่างหัวเมื่อได้ยินคำถามเช่นนี้ นางไม่ตอบอะไร นางเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาลองส่งพลังวิญญาณของนางเข้าไปในประตูเรื่อย ๆ เพื่อหวังจะให้มันใช้งานได้
เมื่อเห็นว่าความพยายามไม่เป็นผล หลิงฟ่างหัวจึงยืนคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางจึงกัดนิ้วตัวเองและลองสาดเลือดของนางไปยังอัญมณีสีดำเม็ดโตที่ถูกประทับไว้ด้านบนสุดของกรอบประตู
หลังจากอัญมณีเม็ดนั้นได้ถูกเลือดของนางสาดใส่ มันเกิดปฏิกิริยาขึ้นทันที หลิงฟ่างหัวเมื่อเห็นเช่นนั้นนางจึงลองโคจรพลังวิญญาณของนางใส่เข้าไปในประตูอีกครั้งหนึ่งทันที
เมื่อรอบนี้นางใส่พลังวิญญาณของนางไปจนหมดร่างของนาง พลังงานลึกลับที่รูปร่างเหมือนเส้นใยที่บางกว่าเส้นผมสองเส้นจู่ ๆ ได้พุ่งออกมาจากอัญมณีเม็ดที่นางสาดเลือดใส่
และเป้าหมายของเส้นพลังงานลึกลับทั้งสองเส้นนี้นั้นไม่ใช่ใครอื่น นอกซะจากจะเป็น ฟางเหล่ยถง !
“ในที่สุดข้าก็ใช้มันได้สักที! เอ๊ะ! ไม่ดีแล้ว ท่านลุงท่านรีบหลบมันเร็ว ไม่งั้นท่านได้ตายแน่ ๆ” หลิงฟ่างหัวตะโกนขึ้นดังลั่น
ฟางเหล่ยถงมองไปยังหลิงฟ่าหัวด้วยสายตาขบขัน เขารู้สึกตลกที่เด็กสาวคนนี้ถึงขนาดใช้เลือดของตัวเองแถมยังใช้พลังวิญญาณจนหมด เพื่อเรียกการโจมตีของเล็กกว่าเส้นผมมาใส่เขา
“แม่หนูน้อย ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าข้าแข็งแกร่งมาก ต่อให้ข้าไม่ขยับไปไหน เจ้าก็ทำอะไรข้าไม่ได้หร….”
ก่อนที่ฟางเหล่ยถงจะได้ทันพูดจนจบประโยค พลังวิญญาณที่คล้ายกับเส้นใยบาง ๆ สองเส้นนั้นได้วาดตัดผ่านร่างกายส่วนเอวของเขา ผู้ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราที่แม้แต่จะใช้อาวุธวิเศษระดับปฐพีมาฟันยังแทบไม่ระคายผิว ให้แยกเป็นสองท่อนได้อย่างง่ายดาย…