พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 188 การทดสอบอันงุนงง
บทที่ 188 การทดสอบอันงุนงง
ในขณะที่ศิษย์ของสำนักร้อยพฤกษาเข้าสู่ประตูทดสอบ เขาก็ตระหนักว่าเขาได้เข้ามาในทุ่งกว้างทันที
และที่สำคัญภาพของทุ่งกว้างที่เขาเห็นอยู่ในตอนนี้มันถูกปกคลุมเต็มไปด้วยสมุนไพรวิญญาณระดับสูงอยู่จำนวนมาก แถมส่วนใหญ่ยังเป็นสมุนไพรระดับสวรรค์ขึ้นอยู่เต็มไปหมด อายุของสมุนไพรแต่ละต้นเหล่านี้ล้วนมากกว่าหลักหมื่นปีขึ้นไปทั้งสิ้น
“ทำไมถึงมีสมุนไพรมากมายขนาดนี้? แถมส่วนใหญ่ยังเป็นสมุนไพรระดับสวรรค์? ทั้งหมดมันต้องเป็นภาพมายาแน่ ๆ ทุกอย่างที่ข้าเห็นตอนนี้มันต้องไม่จริง มุกแค่นี้หลอกข้าไม่ได้หรอก!” ศิษย์ของสวนร้อยพฤกษาพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงอย่างหนักแน่น
เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาจึงออกเดินต่อไปข้างหน้าโดยไม่สนใจกับเหล่าสมุนไพรที่อยู่รายล้อมรอบตัวเขา
เมื่อเดินไปได้สักพักใหญ่ และขณะที่เขาเริ่มจะรู้สึกเหนื่อย ทันใดนั้นร่างของโจวจื่อซินก็ปรากฏตัวขึ้นและถามเขาด้วยแววจาประหลาดใจ “ศิษย์พี่ไป๋ฟง เป็นท่านจริง ๆ ด้วย! ข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะมาที่นี่!”
เมื่อไป๋ฟงเห็นโจวจื่อซิน เขาก็ดีใจมาก ในขณะที่เขากำลังจะยื่นมือออกไปหาโจวจื่อซิน เขาก็หยุดตัวเองทันทีและพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเพียงภาพมายา เจ้าไม่สามารถหลอกข้าได้”
“ข้าเนี่ยนะภาพมายา?” โจวจื่อซินพูดด้วยความประหลาดใจ “ที่ข้าเข้ามาในนี้เพราะข้าเห็นว่าเป็นท่านที่เข้ามาทดสอบ และข้าได้รับอนุญาตจากนายท่านแล้วว่าให้ดึงท่านออกจากการทดสอบนี้ได้ ต่อไปนี้ท่านเองจะได้มีสถานะเช่นเดียวกับข้าแล้ว เราสองคนจะได้เป็นนักศึกษาของศาลาศักดิ์สิทธิ์ รีบมากับข้า หากอาศัยเพียงความสามารถของท่าน ท่านไม่สามารถผ่านการทดสอบของนายท่านข้าได้หรอก”
“อย่ามาล่อลวงข้า เจ้าเป็นเพียงภาพมายา!” ไป๋ฟงพูดอย่างหนักแน่น
โจวจื่อซินตำหนิเขาด้วยรอยยิ้ม “ภาพมายาอะไรกัน ถ้าไม่ใช่เพราะท่านปฏิบัติกับข้าอย่างดีในอดีตตอนที่ข้ายังเด็กและให้ยารักษาข้าตอนที่ข้าบาดเจ็บ ไม่งั้นข้าคงไม่สนใจท่าน! รีบจับมือและออกไปกับข้าเร็วเข้า!”
ไป๋ฟงลังเล นี่เป็นภาพมายาจริง ๆ หรือ?
ถ้าเป็นภาพมายานางจะรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?
โจวจื่อซินที่ยังคงเห็นสีหน้าลังเลของไป๋ฟง นางเอื้อมมือของนางเพื่อลากเขาออกเดินทันที
ไป๋ฟงที่ถูกลากโดยโจวจื่อซิน เขาก้าวตามไปข้างหน้าอย่างลังเล
แต่เมื่อเขาก้าวขาตามนางเพียงก้าวเดียวเท่านั้น ภาพรอบ ๆ กายเขาที่ก่อนหน้าเป็นทุ่งกว้างอันเต็มไปด้วยสมุนไพรระดับสวรรค์ก็หายไป กลายเป็นสภาพแวดล้อมอื่นที่ไม่คุ้นตาทันที
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ ไป๋ฟงรีบมองไปรอบกายด้วยความตกตะลึง จากนั้นเขาก็เห็นบรรดากลุ่มคนแปลกหน้าอยู่ 10 กว่าคนอยู่ตรงหน้าเขา
“ขอแสดงความยินดีด้วย นับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป เจ้าได้เข้าร่วมศาลาศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราแล้ว!” กลุ่มคนทั้งหมดแสดงความยินดีกับเขาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
ไป๋ฟง เมื่อได้ยินเช่นนี้เขาดีใจจนแทบกระโดด เขาสามารถเป็นส่วนหนึ่งของศาลาศักดิ์สิทธิ์ได้จริง ๆ เขาสามารถที่จะเข้าร่วมกับสถานที่ที่แม้แต่คนในนิกายก็ไม่กล้าที่จะยั่วยุ
“ขอบคุณอาจารย์ ขอบคุณทุกคน!” ไป๋ฟงพูดด้วยความเคารพ
หลิงตู้ฉิงหัวเราะพลางชี้ไปยังโม่หยูถังและพูดว่า “นี่คือ อาจารย์โม่ โม่หยูถังเขาเป็นคนของสำนักเก้าเทพอสูร และเขายังเป็นพ่อบ้านของข้า ในอนาคตเจ้าสามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ หรือหากมีเรื่องอะไรที่เจ้าสงสัยเจ้าสามารถปรึกษาได้จากเขาโดยตรง และเจ้าคงรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตครึ่งสวรรค์”
ไป๋ฟงตื่นเต้นมาก ความฝันกลายเป็นความจริง ต่อไปนี้เขาจะได้รับคำสอนจากผู้เชี่ยวชาญที่แม้แต่สำนักของเขาก็ไม่กล้ายั่วยุ
จากนั้นเขาก็เริ่มฝึกฝนอย่างหนักภายในศาลาศักดิ์สิทธิ์
การได้ฝึกฝนภายในศาลาศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ไป๋ฟงใช้เวลาเลื่อนระดับการบ่มเพาะของตนเองจากขอบเขตประสานทะเลปราณไปสูขอบเขตสวรรค์โดยใช้เวลาเพียงแค่ 30 ปี
ที่สำคัญต่อมาเขาได้แต่งงานกับโจวจื่อซิน และยังได้รับการแต่งตั้งให้กลายเป็นศิษย์เอกของหลิงตู้ฉิง และยังได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชาอันไร้คู่เปรียบ
อย่างไรก็ตาม วันหนึ่งเขาได้ต่อสู้กับผู้เชี่ยวชาญปริศนาที่แข็งแกร่ง จนได้รับบาดเจ็บสาหัสและเกือบจะเสียชีวิต
จากอาการบาดเจ็บของเขา ความหวังที่เขาจะฟื้นตัวเหมือนเดิมในชั่วชีวิตนั้นช่างริบหรี่ เว้นแต่ว่าเขาจะได้รับโอสถระดับสวรรค์เพื่อใช้ฟื้นฟูร่างกาย
ในเวลานี้เขาจึงนึกขึ้นได้ว่าร่างของภรรยาของเขานั้นสามารถใช้เป็นโอสถอายุวัฒนะระดับสวรรค์ได้ หลังจากไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง เขาจึงฆ่าโจวจื่อซินที่เป็นภรรยาของเขาและกลืนกินนาง
และแน่นอนว่าเมื่อเขาได้กลืนกินโจวจื่อซินไปแล้ว ร่างกายของเขาได้ฟื้นขึ้นมาอย่างเต็มสมรรถภาพ แต่การกระทำของเขาได้กระตุ้นความโกรธเกรี้ยวของสวรรค์ ในที่สุดสายฟ้าแห่งการลงทัณฑ์ได้ฟาดลงมาที่เขา…
เปลี่ยนให้ร่างกายของเขากลายเป็นตอตะโก จนเขาถูกดีดกระเด็นออกมาจากทางทางออกการทดสอบของศาลาศักดิ์สิทธิ์!
ไป๋ฟงที่ถูกดีดกระเด็นออกมาจากทางออกการทดสอบ เขานอนหอบอยู่บนพื้น โดยศิษย์ที่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราของสวนร้อยพฤกษารีบบินไปที่ด้านข้างของไป๋ฟง และป้อนโอสถให้เขาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของไป๋ฟง
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปที่แววตาที่ไร้ชีวิตชีวาของไป๋ฟง ศิษย์ของสำนักสวนร้อยพฤกษาผู้นั้นก็ส่ายหัวด้วยความจนใจ เนื่องจากสภาพเช่นนี้ ไป๋ฟงในตอนนี้ได้กลายเป็นคนพิการไปเรียบร้อยแล้ว
ก่อนหน้านี้ที่ไป๋ฟงจะถูกขับออกจากการทดสอบ ภายในศาลาศักดิ์สิทธิ์โจวจื่อซินพูดกับหลิงตู้ฉิงว่า “นายท่าน ชายผู้นั้นคือศิษย์จากสวนร้อยพฤกษา ชื่อ ไป๋ฟง ข้ากับเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและในอดีตเขาก็ปฏิบัติกับข้าเป็นอย่างดี”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ถ้าเขาสามารถผ่านการทดสอบเข้าศาลาศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราได้ เจ้าก็จงไปทักทายเขาสักหน่อย แต่ถ้าเขาไม่ผ่านการทดสอบเข้าศาลาศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ เจ้าจะต้องระวังเขาไว้ให้ดี”
โจวจื่อซินยิ้มและพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้วนายท่าน ข้าจะปฏิบัติตามคำสั่งทุกอย่างที่นายท่านบอก…”
ในขณะที่โจวจื่อซินยังพูดไม่ทันจบประโยค แสงจากฟ้าผ่าก็สว่างวาบภายในอาณาเขตการทดสอบ และไป๋ฟงก็ถูกส่งตัวกระเด็นออกไปช่องทางออกอย่างรุนแรง
หลิงตู้ฉิงยิ้มมุมปาก และมองไปที่โจวจื่อซินโดยไม่ได้พูดอะไร
“เอ่อ…นายท่าน ต่อไปนี้ข้าคงจะไม่ไปพบเขาอีกแล้วแน่นอน…” โจวจื่อซินพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ในเวลานี้นอกศาลาศักดิ์สิทธิ์ หลายคนได้รู้ว่าการทดสอบนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด
อาจารย์หลายคนพูดว่าการเข้าทดสอบนี้ถึงแม้จะมีอันตรายแต่มันก็ยังเป็นโอกาสก้าวหน้าของพวกเขาในเวลาเดียวกัน จะเข้าร่วมการทดสอบหรือไม่ขึ้นอยู่กับการเลือกของตัวเอง
เพื่อให้ได้รับโอกาสนี้หลายคนยังคงทำใจกล้าก่อนจะเข้าไปในประตูทดสอบ
เด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินอย่างเด็ดเดี่ยวตรงไปยังประตูทางเข้าการทดสอบ และหลังจากเขาเข้าไปเป็นเวลานานคนที่อยู่ด้านนอกก็เริ่มสงสัย
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก โม่หยูถังได้เดินออกมาพร้อมกับหานหวู่เค่อ และประกาศว่า “นักศึกษาคนแรกที่เข้าศาลาศักดิ์สิทธิ์ได้คือ หานหวู่เค่อ!”
ขณะที่หานหวู่เค่อเดินออกมาพร้อมกับโม่หยูถัง เขาไม่สามารถกลั้นความตื่นเต้นบนใบหน้าได้
แม้แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่าเขาจะได้เข้าสู่ศาลาศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ
เมื่อมีคนที่ผ่านการทดสอบ คนอื่น ๆ ก็พากันรุมเข้ามาถามว่า “หานหวู่เค่อ เจ้าเห็นอะไร?”
แม้แต่อาจารย์ของหานหวู่เค่อก็ถามว่า “หวู่เค่อ เจ้าเห็นอะไร บอกเพื่อน ๆ ของเจ้าสิ พวกเขาจะได้เตรียมตัวถูก”
หานหวู่เค่อส่ายหัวและพูดว่า “ท่านอาจารย์ถึงข้าจะบอกไป แต่ข้าเกรงว่ามันจะไม่มีประโยชน์กับคนอื่นหรอก ข้าเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าผ่านการทดสอบมาได้อย่างไร ข้าเพียงแค่เข้าไปในประตูและเห็นศัตรูของข้า ดังนั้นข้าจึงไล่ตามศัตรูไป หลังจากไล่ไปสักพักข้าก็ปรากฏตัวขึ้นด้านในศาลาศักดิ์สิทธิ์ก็แค่นั้น…”
เหล่าผู้คนที่ได้ยินเช่นนี้ต่างตกตะลึง พวกเขาเริ่มเดากันไปว่าพวกเขาอาจจะต้องไล่ล่าอะไรบางอย่างถึงจะผ่านการทดสอบ?
หลังจากชั่งใจกันอยู่สักพัก บางคนก็ก้าวเข้าสู่ประตูทดสอบอีกครั้ง
ไม่นานต่อมาเด็กชายรูปร่างอ้วนก็เป็นผู้ที่สามารถผ่านการทดสอบเข้าศาลาศักดิ์สิทธิ์ได้อีกคน
เมื่อมองไปที่เด็กอ้วนที่ชื่อ เก๋าหยู อาจารย์ทุกคนก็ตกใจ
ไอ้เด็กอ้วนนี้ไม่ใช่ตัวขี้เกียจที่ชอบกินและนอนทั้งวันเหรอ? อายุของเขาก็ปาเข้าไป 17 หรือ 18 ปีเข้าไปแล้ว ส่วนระดับการบ่มเพาะของเขายังอยู่ในขอบเขตควบแน่นลมปราณระดับแรกเท่านั้นเอง
“เก๋าหยู เจ้าผ่านการทดสอบเข้าศาลาศักดิ์สิทธิ์แล้วจริง ๆ งั้นเหรอ?” อาจารย์ของเขายังคงไม่เชื่อ
เก๋าหยูเองก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มันเหลือเชื่อเหมือนกัน เขาตอบว่า “ใช่แล้วอาจารย์ ข้าผ่านการทดสอบแล้ว”
“แล้วเจ้าผ่านการทดสอบได้ยังไง?” อาจารย์ของเขาถามอย่างรีบร้อน
นอกจากความอยากรู้อยากเห็นของอาจารย์เขาเองแล้ว บรรดาคนอื่น ๆ ต่างก็เงี่ยหูรอฟังด้วยความสงสัยเช่นกัน เพราะนี่คือผู้ที่สามารถผ่านการทดสอบได้เป็นลำดับสอง
เก๋าหยูพูดอย่างเขินอายว่า “หลังจากที่ข้าเข้าไปในประตูข้าก็เห็นอาหารน่าอร่อย มากมาย พวกมันดูน่าอร่อยมากจนข้าไม่กล้าแตะต้องมันเลย จากนั้นข้าก็คุกเข่าลงบนพื้นและตะโกนว่า ‘อาจารย์! ช่วยให้ข้าผ่านการทดสอบเข้าสู่ศาลาศักดิ์สิทธิ์ที!’ แล้วข้าก็ได้เข้าไป”
เมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็เริ่มน้ำตาซึม คนแบบนี้ผ่านการทดสอบได้จริงงั้นเหรอ?
แต่หลาย ๆ คนที่ได้ฟังเรื่องนี้ พวกเขาก็ดูเหมือนจะได้รับแรงบันดาลใจ พวกเขาต่างพากันวิ่งไปที่ประตูทดสอบ
และจากนั้นไม่นาน พวกคนที่พึ่งเข้าไปเมื่อสักครู่ก็ถูกดีดกระเด็นออกมาจากทางออกอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าอับอาย
“พวกเจ้าทุกคน…?” หลายคนที่เห็นภาพนี้ต่างอุทานออกมาด้วยความงุนงง
“วิธีของเจ้าอ้วนนั่นมันใช้ไม่ได้!” คนที่เหมือนจะถูกโยนออกมาจากประตูพูดด้วยน้ำเสียงที่บึ้งตึง
จากนั้นบุคคลที่สามที่ผ่านการทดสอบก็ได้ปรากฎขึ้น คนที่ผ่านได้เป็นคนที่สามนั้นเป็นเด็กสาวที่อาจจะอายุเพียง 8 หรือ 9 ขวบ
และหลังจากที่นางเล่าประสบการณ์ด้านในการทดสอบของนางจบ บรรดาผู้คนที่ได้ยินนั้นน้ำตาของพวกเขาแทบจะไหลออกมาเป็นสายเลือด เนื่องจากว่าประสบการณ์ด้านในการทดสอบที่นางเล่านั้นคือ นางไม่เห็นอะไรเลยเมื่อนางเข้าไปในประตู และจากนั้นจู่ ๆ นางก็ได้ปรากฎตัวภายในศาลาศักดิ์สิทธิ์ทันที
ทุกคนที่ได้ยินเช่นนี้ ในหัวพวกเขาจึงมีแต่คำถาม นี่คือการทดสอบแบบไหนกันแน่? แล้วเกณฑ์การทดสอบมันคืออะไรกัน?