พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 204 ความผิดหวังของเหลียงเฟ่ยเอ๋อ
บทที่ 204 ความผิดหวังของเหลียงเฟ่ยเอ๋อ
ในที่สุดเหลียงเฟ่ยเอ๋อก็ได้เจอกับบรรดาพ่อแม่และน้อง ๆ ของนางด้วยความคุ้มครองของโม่หยูถังและเสี่ยวเยว่เฟิง
นับตั้งแต่ที่นางไปอยู่กับหลิงตู้ฉิง ซึ่งมันก็เป็นเวลานานมากแล้วที่นางไม่ได้เจอกับพวกเขา ขณะนี้นางจึงนั่งคุยกับพวกเขาอย่างสนุกสนาน
แม่ของนางนั้นดูสบายดี ส่วนพ่อของนาง เหลียงเย่ นั้นเอาแต่ถามนางเกี่ยวกับเรื่องข้อมูลของในคฤหาสน์สราญรมย์
แต่ด้วยการที่มีเสี่ยวเยว่เฟิงยืนประกบอยู่ไม่ห่าง เหลียงเย่จึงไม่กล้าเค้นถามข้อมูลอะไรไปได้มาก
เหลียงเฟ่ยเอ๋อเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเจตนาของพ่อนางนักที่พยายามถามข้อมูลของคฤหาสน์สราญรมย์ เนื่องจากนางได้รับการเตือนมาจากหลิงตู้ฉิงแล้วว่านางจะต้องเจอกับการปฏิบัติเช่นนี้
แต่ว่าหลังจากนางคุยกับพ่อแม่นางไปได้สักพัก ขันทีผู้หนึ่งได้เดินเข้ามาแจ้งกับนางว่าเหลียงซานมีราชโองการมาถึงนางให้นางไปเข้าเฝ้าเขาโดยด่วน
เมื่อได้รับราชโองการเช่นนี้ สีหน้าของเหลียงเฟ่ยเอ๋อเปลี่ยนทันที
นางเองไม่ได้ต้องการที่จะเจอกับปู่นางแม้แต่น้อย แต่ด้วยการถูกคะยั้นคะยอของพ่อและแม่ของนาง นางจึงไม่อาจจะปฏิเสธราชโองการนี้ได้ นางจึงจำใจเดินไปยังตำหนักหทัยไร้พันธะ และยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่นางยอมตกลงเข้าพบกับปู่นางก็คือนางกลัวว่าหากวันนี้นางปฏิเสธที่จะเขาพบเขา นางกลัวว่าการกระทำของนางอาจจะกลายเป็นต้นเหตุให้ความขัดแย้งของหลิงตู้ฉิงกับปู่ของนางเกิดขึ้นเร็วกว่าเดิม
เมื่อเหลียงเฟ่ยเอ๋อตัดสินใจได้เช่นนี้ โม่หยูถังและเสี่ยวเยว่เฟิงที่ได้รับคำสั่งมาจากหลิงตู้ฉิงว่าต้องปกป้องนางจึงเดินตามประกบนางไม่ห่าง
แต่เมื่อพวกเขาเดินมาถึงหน้าตำหนัก เสี่ยวเยว่เฟิงและโม่หยูถังกลับถูกหยุดโดยชายชราชุดคลุมเทา
“องค์จักรพรรดิมีราชโอการเรียกองค์หญิงเข้าเฝ้าแค่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ผู้อื่นที่ไม่ได้รับอนุญาตต้องรออยู่ข้างนอก!” ชายชราชุดเทาผู้ที่ตอนนี้ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูตำหนักตะโกนขึ้น
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เสี่ยวเยว่เฟิงตอบด้วยน้ำเสียงห้วนทันที “ข้าได้รับคำสั่งมาจากนายท่านให้ปกป้องภรรยาของเขาอย่างใกล้ชิด ไม่ว่านางจะไปที่ไหนข้าจะต้องไปที่นั่นด้วยทุกที่”
ส่วนโม่หยูถังที่ยืนอยู่อีกข้างเขาทำเพียงแต่ชำเลืองตามองไปยังชายชราชุดเทาโดยไม่ได้พูดอะไร
ถึงจะได้รับคำตอบอย่างโอหังจากเสี่ยวเยว่เฟิง ชายชราชุดเทาก็ยังตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ซึ่งความกลัวใด ๆ “พวกเจ้าจะต้องกังวลอะไรให้มันมากมาย องค์จักรพรรดิไม่มีวันที่จะทำร้ายองค์หญิงอยู่แล้ว พระองค์ทรงห่วงใยนางมากกว่าใคร ๆ เสียอีก ข้ารู้ว่าพวกเจ้าได้รับคำสั่งมาเพื่อปกป้องนาง แต่ที่นี่มันคือในวังหลวง ไม่มีใครที่หาญกล้าจะมาทำร้ายองค์หญิงที่นี่หรอก”
เนื่องจากชายชราชุดเทาได้รู้ประวัติของโม่หยูถังที่เป็นคนพิการแล้ว และบวกกับตอนนี้จางหมิงเองก็ได้เตรียมพร้อมอยู่ด้านในตำหนัก เขาจึงมีความมั่นใจและไม่มีความเกรงกลัวโม่หยูถังแม้แต่น้อย
เสี่ยวเยว่เฟิงและโม่หยูถังไม่ใส่ใจคำกล่าวอ้างใด ๆ ของชายชราชุดเทา พวกเขาพูดกับเหลียงเฟ่ยเอ๋อทันที “ท่านหญิง ท่านควรจะเข้าใจดีว่าทำไมนายท่านถึงส่งพวกเรามาติดตามท่าน ฉะนั้นพวกเราควรกลับกันได้แล้ว”
เหลียงเฟ่ยเอ๋อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางตะโกนขึ้นเสียงดัง “องค์เสด็จปู่ สามีของหม่อมฉัน ได้รับสั่งให้หม่อมฉันรีบกลับคฤหาสน์ตอนนี้แล้ว ฉะนั้นหม่อมฉันขอถวายบังคมลา ขอให้เสด็จปู่มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน”
นางที่ได้รู้สึกไม่ไว้ใจกับราชวงศ์ของนางอยู่บ้างแล้ว และเมื่อบวกกับที่หลิงตู้ฉิงได้เตือนนางไว้ก่อนหน้าที่นางจะมา นางจึงรู้สึกว่ามันจะเป็นการดีสุดที่นางจะรีบกลับไปให้ได้เร็วที่สุด
ชายชราชุดคลุมเทาขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นว่าเหลียงเฟ่ยเอ๋อกำลังจะจากไปโดยที่ไม่ทันได้ก้าวขาเข้าไปเหยียบในตำหนักด้วยซ้ำ
เขารู้สึกไม่ชอบใจอย่างมาก เขาไม่ชอบใจที่เหลียงเฟ่ยเอ๋อกล้าทำตัวไร้มารยาทแบบนี้ได้ยังไง?
“จางหง ทำไมเจ้าถึงได้ขัดใจหลานสาวข้าและคนของนางแบบนั้นกันล่ะ?” เสียงของเหลียงซานลอยออกมาจากด้านในตำหนัก “ในเมื่อหลานเขยของข้าส่งพวกเขามาคุ้มกันหลานขอข้า เช่นนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาทุกคนเข้ามาด้วยกันนั่นล่ะข้าอนุญาต”
เหลียงซานถึงแม้จะใช้คำพูดอย่างใจเย็น แต่ในใจของเขานั้นอยากจะกูร้องออกมาดัง ๆ ด้วยความโกรธ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมตอนนี้หลานสาวของเขาจึงได้ทำตัวราวกับว่านางไม่ใช่คนในตระกูลเขาได้ขนาดนี้
แต่ไม่ว่าเขาจะโกรธนางในใจถึงขนาดไหน การแสดงออกทางสีหน้าของเขาก็ยังคงดูอบอุ่นเมื่อเหลียงเฟ่ยเอ๋อเดินเข้ามาในตำหนัก
แต่แล้วเมื่อนางเดินเข้ามา ดวงตาของเหลียงซานกลับกลายเป็นเบิกโพลงทันทีด้วยความตกตะลึง เขาสามารถมองเห็นและสัมผัสได้ทันทีว่าร่างกายนางในตอนนี้มันเกิดการเปลี่ยนแปลงไป
จางหมิงที่ยืนอยู่ด้านข้างเหลียงซานในเวลานี้เขาเองก็ตกตะลึงจนตาค้าง
“ฝะ ฝ่าบาทร่างกายของนาง! นางมีร่างกายแก่นแท้ปฐพี!” จางหมิงส่งข้อความทางโทรจิตไปหาเหลียงซานทันที “ฝ่าบาท นี่ท่านทำไมถึงทำแบบนี้! ทำไมท่านถึงยอมยกผู้ถือครองกายาแก่นแท้ปฐพีไปให้กับหลิงตู้ฉิง!? ผู้ที่เป็นจักรพรรดิทั้งหลายต่างก็ต้องการเก็บนางไว้อยู่ข้างกายของตัวเองทั้งนั้น หรือต่อให้จะไม่เก็บนางไว้ แต่ด้วยความสำคัญของผู้ถือครองร่างกายนี้ เราก็สามารถนำนางไปแลกเป็นผลประโยชน์มหาศาลได้จากจักรพรรดิคนอื่น ๆ”
เหลียงซานส่งข้อความทางโทรจิตกลับด้วยน้ำเสียงโมโหเช่นกัน “แล้วข้าจะไปรู้ได้ยังไงว่านางครองร่างกายแก่นแท้ปฐพี ก่อนหน้าที่นางจะแต่งงานกับหลิงตู้ฉิง นางก็ยังเป็นผู้บ่มเพาะธรรมดาอยู่เลย บ้าเอ๊ย แล้วนี่ข้าจะทำยังไงดี!?”
จางหมิงตอบกลับ “ไม่เป็นไรฝ่าบาท ตอนนี้มันยังไม่สายเกินแก้ หากฝ่าบาทมอบนางให้กับองค์เหนือหัว ฝ่าบาทจะได้รับการสนับสนุนจากองค์เหนือหัวแน่นอน และเมื่อถึงเวลานั้น แผนการของเราที่จะยึดครองทั้งอาณาเขตทะเลชางหมางจะง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก”
เหลียงซานถอนหายใจและพูดว่า “น่าเสียดายจริง ๆ ที่นางกลับเป็นหลานสาวของข้า ไม่อย่างนั้นหากนางเป็นคนนอกแล้วล่ะก็ข้าจะเก็บนางไว้อยู่ข้างกายของข้าเอาไว้เอง แต่ในเมื่อตอนนี้ข้าคงไม่มีทางเลือกมากนักข้าคงต้องส่งนางให้กับอาจารย์ของข้าแทน”
“เป็นเช่นนั้นจะดีที่สุดฝ่าบาท!” จางหมิงหัวเราะ “ฝ่าบาทต่อไปนี้ความฝันของเราที่จะได้ครอบครองอาณาเขตทะเลชางหมางก็คงไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว”
ในขณะที่พวกเขาทั้งสองคุยกันจนจบ เหลียงเฟ่ยเอ๋อก็ได้เดินมาถึงตรงหน้าของเหลียงซาน และถวายความเคารพเขาเรียบร้อยแล้ว
หลังจากที่ได้รับการอนุญาตให้นั่งลงจากเหลียงซาน เมื่อเหลียงเฟ่ยเอ๋อคุยกับเหลียงซานไปได้สักพัก เหลียงซานก็ได้กล่าวขึ้นว่า “เฟ่ยเอ๋อ เจ้าเองก็ได้จากไปอยู่กับสามีเจ้ามานานแล้ว และช่วงหลังมานี้ย่าของเจ้าบ่นถึงเจ้าอยู่บ่อยครั้ง ในเมื่อไหน ๆ เจ้าก็กลับมาเยี่ยมเยียนพ่อกับแม่เจ้าแล้ว เจ้าก็ควรจะอยู่ค้างที่นี่อีกสักคืนเพื่ออยู่เป็นเพื่อนย่าของเจ้า เอาล่ะเจ้าจงไปหาย่าของเจ้าที่ตำหนักของนางได้แล้ว”
เหลียงเฟ่ยเอ๋อรู้สึกใจหายทันที เนื่องจากในที่สุดสิ่งที่นางไม่อยากให้เกิดขึ้นก็เกิดขึ้นได้จนได้
นางส่ายหัวและตอบกลับอย่างรวดเร็ว “เสด็จปู่ ข้าต้องขออภัยด้วยจริง ๆ สามีของข้าได้กำชับเอาไว้ก่อนหน้าที่จะมาแล้วว่าต้องให้ข้ารีบกลับไป ห้ามไม่ให้ข้าอยู่ค้างที่นี่ ฉะนั้นไว้คราวหน้าที่ข้ากลับมาใหม่ ข้าค่อยไปเข้าเฝ้าเสด็จย่าอีกครั้งก็แล้วกัน”
หลังจากพูดจบเหลียงเฟ่ยเอ๋อลุกขึ้นและเตรียมจากไปทันที
อันที่จริง ฃนางรู้สึกเสียใจอยู่ข้างในลึก ๆ เนื่องจากสายใยความสัมพันธ์สุดท้ายที่นางเหลือไว้ให้ราชวงศ์ของนางมันได้ถูกทำลายลงไปเรียบร้อย
หลังจากนี้นางตั้งใจไว้แล้วว่านางจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกแน่นอน
นางเข้าใจได้แล้วว่าในสายตาของปู่นาง ตัวนางนั้นเป็นเพียงแค่ ‘เครื่องมือ’ เท่านั้น นอกจากนั้นเขาไม่ได้เห็นค่านางเป็นอะไรเลย
“นังเด็กน้อย เจ้านี่ชักจะกำแหงใหญ่แล้วนะ!” เหลียงซานตะโกนลั่น “นอกเหนือจากที่ข้าเป็นปู่ของเจ้าแล้ว ข้ายังเป็นจักรพรรดิของอาณาจักรจันทราที่เจ้าและสามีของเจ้าใช้ซุกหัวนอนอยู่นะเจ้ารู้บ้างไหม!? เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ขัดคำสั่งของข้า? ต่อให้เจ้าจะถูกตบแต่งออกจากวังไปแล้ว แต่เจ้าก็ยังเป็นคนของข้าอยู่ดี เจ้ารู้ใช่ไหมว่าโทษของการขัดราชโองการของข้าจะมีโทษสถานใด!?”
“ทหาร! จงนำนังเด็กสามหาวนี่ออกไปจับขังไว้รอการลงทัณฑ์จากข้า!”
ในเมื่อเหลียงซานรู้ว่าตัวเองใช้ไม้อ่อนไม่ได้ผล เขาจึงใช้ไม้แข็งในการจัดการกับเหลียงเฟ่ยเอ๋อทันที
เขาต้องการที่จะนำตัวนางไปมอบให้กับอาจารย์ของเขาเพื่อแลกกับความช่วยเหลือในการยึดครองอาณาเขตทะเลชางหมาง
และยังมีอีกเหตุผลที่เขาทำเช่นนี้ เหตุผลนั้นก็คือเขาต้องการล่อให้หลิงตู้ฉิงปรากฏกายออกมา
ซึ่งหากตกลงกันได้เขาอาจจะยอมมอบเหลียงเฟ่ยเอ๋อกลับไปให้กับหลิงตู้ฉิง เพื่อแลกกับให้หลิงตู้ฉิงมอบผู้ครองสายเลือดพฤกษาสวรรค์ให้เขา และหลิงตู้ฉิงจะต้องยอมเชื่อฟังคำสั่งของเขาและยอมที่จะร่วมมือช่วยเหลือเขาในการยึดครองอาณาเขตทะเลชางหมาง ไม่เช่นนั้นเขาจะนำนางไปมอบให้กับอาจารย์ของเขาแน่นอน
เมื่อได้ยินคำสั่งของเหลียงซาน จางหงจึงพูดกระตุ้นขึ้นเช่นกัน “องค์หญิงเฟ่ยเอ๋อ โปรดมากับข้า!”
เสี่ยวเยว่เฟิงกับโม่หยูถังต่างมองหน้ากันพลางส่ายหัว จากนั้นเสี่ยวเยว่จึงพุ่งตัวเข้ามาด้านข้างและใช้แขนโอบเหลียงเฟ่ยเอ๋อเอาไว้แน่นพร้อมกับพูดว่า “ท่านหญิงดูเหมือนว่าจะได้เวลาที่เราต้องกลับกันแล้ว”
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ จางหงตะโกนใส่พวกเขาด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “พวกเจ้าบังอาจขัดคำสั่งขององค์จักรพรรดิ พวกเจ้าต้องการที่จะกบฏงั้นเหรอ?”
หลังจากพูดจบ จางหงรีบพุ่งตัวเข้ามาขวางหน้าเสี่ยวเยว่เฟิงไว้ และโคจรพลังวิญญาณของเขาที่อยู่ในขอบเขตนภาระดับ 7 ทันที
เสี่ยวเยว่เฟิง นางเองเริ่มขมวดคิ้วจากนั้นนางก็เริ่มโคจรพลังวิญญาณของนางเองเช่นกัน ซึ่งอยู่ในขอบเขตนภาระดับ 6
โม่หยูถังมองไปยังเหลียงซาน และถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าจะเอาแบบนี้จริง ๆ?”
เหลียงซานได้ยินคำถามของโม่หยูถังแต่เขาไม่ตอบกลับ จางหมิงยิ้มและพูดว่า “ตาเฒ่าเอ๊ย ตอนนี้เจ้าไม่สามารถขู่พวกข้าได้อีกต่อไปแล้ว ข้าได้สืบประวัติของเจ้ามาเรียบร้อยแล้ว เจ้ามันก็แค่ตาแก่ที่พิการ วันนี้ข้าจะแสดงให้กับทุกคนเห็นว่าที่นี่อาณาจักรจันทรา องค์ฝ่าบาทของข้านั้นใหญ่ที่สุด!”
โม่หยูถัง เมื่อได้ยินเช่นนี้เขาชะงักไปครู่หนึ่งจากนั้นจึงเผยรอยยยิ้มออกมา เขาส่ายหัวและพูดว่า “มิน่าล่ะ ข้าก็ว่าอยู่ ว่าทำไมวันนี้พวกเจ้าถึงช่างดูกล้าหาญจนผิดปกติ ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้นี่เอง เฮ้อ แต่น่าเสียดาย…”
น่าเสียดาย ในขณะที่โม่หยูถังยังพูดไม่ทันจบประโยค กระทิงยักษ์ที่ลากรถม้าเข้ามาด้วยความเร็วยิ่งยวด ก็ได้มาถึงหน้าตำหนักที่พวกเขาอยู่พอดี