พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 233 วางกับดักล่อ ‘หนู’
บทที่ 233 วางกับดักล่อ ‘หนู’ [ฟรี]
เหตุผลที่หลู่หยุนตี๋รีบจากคฤหาสน์สราญรมย์มายังตระกูลจ้าว เพราะเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของสมบัติวิเศษระดับสวรรค์
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ เขาที่จำเป็นต้องหล่อเลี้ยงสมบัติระดับสวรรค์ของเขาเองในห้วงมหาสมุทรสำนึกของเขา
เมื่อสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ของเขาเติบโตเต็มที่ มันจะสามารถช่วยเขาให้ทะลวงระดับต่อไปได้
แต่ถ้าหากว่าเขาต้องการลดระยะเวลาในการหล่อเลี้ยงสมบัติของเขาเองที่อยู่ในห้วงมหาสมุทรสำนึก เขาจะต้องใช้สมบัติระดับสวรรค์ชิ้นอื่น ๆ ที่สมบูรณ์เต็มที่นำมาหลอมเข้ากับสมบัติของเขาเอง ซึ่งการทำเช่นนั้นจะทำให้เขาลดระยะเวลาการหล่อเลี้ยงได้ถึงหลายร้อยปีหรือหลายพันปี
เมื่อเงื่อนไขถูกกำหนดมาไว้แบบนี้ เขาจึงต้องการสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ตรงหน้าเขามากกว่าใคร
เมื่อมองไปที่หลิงจู้ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโลภ
อย่างไรก็ตามตอนนี้หลิงจู้ได้มีจิตสำนึกของมันเองขึ้นมาแล้ว การที่จะได้มันมานั้นย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย
เขากวาดสายตามองไปที่ทุกคนในตระกูลจ้าว โดยเฉพาะจ้าวเหมิงลู่ที่อยู่ข้างหลิงจู้และพูดอย่างเฉยเมยว่า “ข้า หลู่หยุนตี๋ เป็นผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งที่สุดในทะเลชางหมาง พวกเจ้าจงมอบสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ให้ข้า แล้วข้าจะยอมรับพวกเจ้าทุกคนเป็นศิษย์”
“ส่วนเจ้าควรเป็นเจ้าของสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ใช่ไหม? ข้าสามารถแต่งงานกับเจ้าและเราจะสร้างอนาคตที่รุ่งโรจน์ด้วยกัน เมื่อข้าได้ครองโลกเจ้าจะได้รับชีวิตนิรันดร์รวมถึงตระกูลของเจ้าด้วย”
“และอย่าได้คิดโง่ ๆ ที่หวังจะพึ่งพาการปกป้องจากสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ แม้ว่ามัน จะทรงพลัง แต่ก็ไม่มีทางจะทรงพลังเท่าผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์ ถ้าเจ้าบังคับให้ข้าใช้กำลัง เมื่อข้าทำลายการป้องกันของสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ได้สำเร็จ ผลประโยชน์ทั้งหมดที่ข้าเสนอไปให้เจ้าและคนตระกูลของเจ้าทั้งหมดจะถูกยกเลิกและผู้คนในตระกูลของเจ้าจะต้องตายด้วยน้ำมือข้า”
“แม้ว่าข้าจะเพิ่งทะลวงขอบเขตสวรรค์เมื่อไม่นานมานี้ หากข้ามีเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงข้าก็สามารถฝ่าการป้องกันของสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ของเจ้าได้ ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดของเจ้าคือมอบมันมาและยอมรับเงื่อนไขของข้า”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลู่หยุนตี๋ สีหน้าของทุกคนในตระกูลจ้าวก็เปลี่ยนไป
เมื่อก่อนหน้านี้เพียงครู่เดียวที่พวกเขาเพิ่งรู้สึกผ่อนคลาย เพราะได้รับการปกป้องจากสมบัติวิเศษระดับสวรรค์
แต่แล้วเมื่อจู่ ๆ หลู่หยุนตี๋กลับปรากฏตัวขึ้น ความหวังของพวกเขาก็เหมือนถูกพังทลายลงไปอีกรอบ
ทุกคนในคฤหาสน์ตระกูลจ้าวตอนนี้ต่างรู้สึกหวาดกลัวกันทั้งหมด จากคำพูดที่พวกเขาได้ยิน หลู่หยุนตี๋พูดขึ้นว่าสามารถทำลายการป้องกันของหลิงจู้ที่พวกเขาคิดว่าแข็งแกร่งสุด ๆ แล้วได้ในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง พวกเขาก็รู้ตัวว่าหายนะรอบนี้มันแย่ยิ่งกว่าตอนที่พวกคนของเหลียงซานมาเยือนพวกเขาเมื่อสักครู่เป็นหลายร้อยเท่า
พวกเขาบางคนตอนนี้จึงเริ่มมีความคิดเอาตัวรอด และอยากจะบอกให้จ้าวเหมิงลู่ยอมสละสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ไปซะ เพื่อปกป้องพวกเขา
มีแม้กระทั่งบางคนที่มองไปที่จ้าวเหมิงลู่อย่างน่าเกลียด และยังมองไปที่หลิงจู้ที่อยู่ข้าง ๆ
จ้าวเหมิงลู่ไม่เกรงกลัว นางยิ้มให้หลู่หยุนตี๋และพูดว่า “ถ้าอยากแต่งงานกับข้าก็ขึ้นอยู่กับว่าสามีของข้าอนุญาตรึเปล่า!”
หากหลู่หยุนตี๋ต้องการเวลาครึ่งชั่วโมงในการฝ่าการป้องกันของหลิงจู้ นางก็ไม่มีอะไรต้องกังวล ครึ่งชั่วโมงตามความเข้าใจของนาง หลิงตู้ฉิงคงจัดการกับสถานการณ์ทางฝั่งของเขาได้หมดแล้ว และเมื่อถึงเวลานั้น หลิงตู้ฉิงจะต้องมาที่นี่และจัดการกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ผู้นี้ได้แน่นอน
“สามีของเจ้า?” ดวงตาของหลู่หยุนตี๋หดตัว
จ้าวเหมิงลู่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เจ้าคงเพิ่งจะมาที่อาณาจักรจันทราล่ะสิ เจ้าถึงไม่รู้ว่าสามีของข้าคือคณบดีของศาลาศักดิ์สิทธิ์และยังเป็นเจ้าของคฤหาสน์สราญรมย์ ถ้าหากเจ้าต้องการสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ของสามีข้า มันก็ขึ้นอยู่ว่าเจ้ามีน้ำยาพอจะแย่งมันไปจากข้าไหมก็เท่านั้น!”
หลู่หยุนตี๋หรี่ตา สถานการณ์ที่คฤหาสน์สราญรมย์เผชิญอยู่ตอนนี้จัดได้ว่าร้ายแรงเป็นอย่างมาก แต่แล้วหลิงตู้ฉิงกลับเอาสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ชิ้นเดียวที่เขามีอยู่ในคฤหาสน์สราญรมย์มามอบให้กับภรรยาของเขาเพื่อเอามาใช้ปกป้องที่นี่เนี่ยนะ?
นี่หลิงตู้ฉิงได้รับการสนับสนุนหรือมีไม้เด็ดขนาดไหนกันถึงได้ทำอะไรที่ดูเสี่ยงเช่นนี้?
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าหลิงตู้ฉิงจะได้รับการสนับสนุนหรือจะมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน ในตอนนี้เขาก็ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เป้าหมายของเขาคือการได้รับสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ตรงหน้าเขาเท่านั้น เพราะนี่มันเป็นทางลัดสำหรับเขาในการเข้าสู่ขอบเขตสวรรค์ระดับต่อไปและยังเป็นการรับประกันว่าเส้นทางการบ่มเพาะของเขาในอนาคตจะเป็นไปอย่างราบรื่น
“ฮึ่ม! ในเมื่อเจ้าพูดไม่รู้ฟังเช่นนี้ ข้าก็จะไม่สุภาพอีกแล้ว” หลู่หยุนตี๋พูดอย่างเย็นชา
เขาโคจรพลังวิญญาณทันที และเรียกสายฟ้าฟาดไปที่หลิงจู้
เมื่อสัมผัสได้ถึงอันตราย หลิงจู้จึงปล่อยเส้นใยของมันออกมาอีก 5 เส้น และส่งเส้นใยเหล่านั้นให้กลายร่างออกเป็นแส้ ฟาดออกไปปะทะกับสายฟ้าที่ผ่าลงมาโดยฝีมือของหลู่หยุนตี๋
หลิงจู้ นั้นถึงมันจะมีจิตสำนึกในตัวของมัน แต่มันก็ไม่ได้ฉลาดมากจนถึงขนาดที่จะมีความคิดริเริ่มการโจมตีด้วยตัวเอง และบวกกับมันได้รับคำสั่งมาให้ปกป้องผู้คนจากตระกูลจ้าวเพียงเท่านั้น มันจึงเอาแต่ตอบโต้การโจมตีทุกอย่างที่ถูกส่งมาจากหลู่หยุนตี๋
เมื่อเห็นว่าหลิงจู้สามารถปัดป้องการโจมตีได้ทั้งหมด จ้าวเหมิงลู่ก็มีความสุขในใจเล็กน้อย
ในสถานการณ์ปัจจุบัน นางต้องรอความช่วยเหลือจากหลิงตู้ฉิงเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อนางนึกถึงหลิงตู้ฉิงที่กำลังถูกผู้คนมากมายรุมโจมตีอยู่ที่คฤหาสน์สราญรมย์ นางก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาเช่นกัน
ในเวลานี้สถานการณ์ในคฤหาสน์สราญรมย์นั้นเริ่มเลวร้ายลงเป็นอย่างมากกับฝั่งของผู้บุกรุก
เมื่อผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ปรากฏตัวขึ้นสถานการณ์ที่วุ่นวายได้บรรเทาลงไปเล็กน้อย แต่แล้วต่อมาจู่ ๆ ผู้เชี่ยวชาญขอบสวรรค์ผู้นั้นที่ทำให้บรรดาพวกผู้บุกรุกใจชื้นขึ้นได้เล็กน้อยกลับบินหนีไปซะอย่างนั้น
เมื่อผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์จากไป บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่เหลืออยู่ก็เริ่มตกอยู่ในความวุ่นวายและไร้ระเบียบอีกครั้ง ซึ่งหลาย ๆ คนในตอนนี้ก็เริ่มมีความคิดที่แตกต่างกัน บางคนก็อยากที่จะอยู่ต่อแย่งชิงโจวจื่อซิน บางคนก็คิดว่าอยากจะหนีจากไป
ในขณะที่ทุกคนกำลังจะตัดสินใจ โม่หยูถังก็ร่อนลงมาจากท้องฟ้าพร้อมกับใบหน้าที่ดูน่ากลัว ขณะที่หอกทะลวงเมฆาที่อยู่ในมือของเขายังมีร่างของหมิงเย่ถูกเสียบคาอยู่ที่ปลายหอก
เมื่อทุกคนเห็นภาพอันน่าสยดสยองเช่นนี้ของโม่หยูถัง สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปทันที
เป็นที่รู้กันดีว่าในตอนนั้น กว่าที่หลูซ่างเก๋อซึ่งอยู่ในขอบเขตนภาระดับ 12 จะถูกปราบลงได้ โม่หยูถังและซือโถวเหวินหยวนต้องร่วมมือกันแถมยังใช้เวลาพอสมควรในการฆ่าเขา
แต่ตอนนี้เวลาพึ่งผ่านไป 15 นาที โม่หยูถังกลับสามารถฆ่าหมิงเย่ได้แล้ว นี่เขามีพลังมากขนาดนี้เลยเหรอ?
“นายท่าน ข้าจะไปทำลายเหรียญตราผนึกสวรรค์!” โม่หยูถังมองไปที่ฝูงชนอย่างเย็นชาพลางสลัดศพของหมิงเย่ที่ติดอยู่ปลายหอกทิ้งลงบนพื้นและรีบบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
เขาใช้เวลาไปมากในการฆ่าหมิงเย่ และตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกไม่มากที่เขาจะสามารถคงระดับพลังของเขาไว้ในจุดสูงสุดแบบนี้ ฉะนั้นเขาจึงต้องรีบกำจัดภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดให้กับหลิงตู้ฉิงก่อน
อย่างไรก็ตามในขณะที่เขาขยับตัว ขันที 2 ใน 12 คนก็เข้ามายับยั้งเขาทันที
ถ้าโม่หยูถังทำลายเหรียญตราผนึกสวรรค์ได้สำเร็จ พวกเขาจะต้องเจอกับงานยากแน่นอน พวกเขาไม่สามารถปล่อยให้มันเป็นเช่นนั้นได้
จี้จู่เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพลังของกฎภายในคฤหาสน์สราญรมย์นั้นอยู่ในระดับครึ่งสวรรค์ หากผู้เชี่ยวชาญอักขระเวทย์สามารถยืมกฎของระดับครึ่งสวรรค์มาได้ นั่นจะหลายเป็นหายนะสำหรับพวกเขาแน่นอน
ในตอนนี้เมื่อขันทีทั้งสองขยับ ทุกคนก็เริ่มลงมือตาม
ตอนนี้สถานการณ์ในคฤหาสน์จึงกลายเป็นความวุ่นวาย ซึ่งแม้แต่ตอนนี้ซือโถวเหวินหยวนก็ถูกลากเข้าไปอยู่ในการต่อสู้
ในตอนนี้จี้จู่แอบส่งข้อความไปยังอสูรโลหิตทั้งสิบสอง “พวกเจ้าจงอาศัยความวุ่นวายนี้ฆ่าไอ้พวกคนที่กินเนื้อหลูซ่างเก๋อให้ได้ เดี๋ยวถ้าหากข้าสามารถชิงตัวผู้ครองสายเลือดพฤกษาสวรรค์มาได้เมื่อไหร่ ข้าจะแบ่งเนื้อและเลือดให้พวกเจ้าครึ่งหนึ่ง”
อสูรโลหิตทั้งสิบสองพยักหน้า และพุ่งเข้าหาโม่หยูถังกับซือโถวเหวินหยวนในเวลาเดียวกัน
หลิงตู้ฉิงที่ยืนพิงดาบสีดำอมม่วงอยู่หน้าประตูรถม้า สายตาของเขาจ้องมองไปที่จี้จู่อย่างเงียบ ๆ
อันที่จริงเขาสามารถลงมือจัดการกับความสับสนวุ่นวายนี้ได้นานแล้ว แต่เหตุผลที่เขายังไม่ลงมือก็เพื่อล่อให้ ‘หนู’ ตัวนี้เข้ามากินเหยื่อ
อสูรโลหิตตนนนี้มีสายเลือดของ ‘หนูมิติ’ มันจึงสามารถเดินทางผ่านมิติได้ ตราบใดที่เขาไม่สามารถผนึกตัวจี้จู่ไว้ได้ เขาก็จะไม่สามารถฆ่ามันได้ และจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่งหากเขาปล่อยไอ้ตัวที่มีสายเลือดที่เกี่ยวกับกฎแห่งมิติให้ลอยหลุดมือไป
และด้วยข้อจำกัดของเขาที่ทั่วทั้งบริเวณของคฤหาสน์สราญรมย์ทั้งหมดถูกผนึกไว้โดย เหรียญตราผนึกสวรรค์ ดังนั้นการใช้พลังแห่งกฎระหว่างสวรรค์และโลกจึงยากกว่าแต่ก่อนหลายเท่า ภายใต้ข้อจำกัดเช่นนี้มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าถึงตัวจี้จู่ได้ด้วยวิธีการธรรมดา ๆ ด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้สึกหมดหนทางและวิตกกังวลอยู่บ้างว่าแผนการของเขาที่เตรียมไว้จะไม่สำเร็จ
คราวนี้ข้าจะจับหนูตัวนี้ไม่ได้จริง ๆ งั้นเหรอ? หลิงตู้ฉิงคิดอย่างโศกเศร้า
ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิด จี้จู่ก็หายตัวและพุ่งผ่านมิติเข้าไปในรถม้าของเขา
หลิงตู้ฉิงยิ้ม มันสำเร็จแล้ว!
เขาหันกลับและรีบเข้าไปในรถม้าเช่นกัน