พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 261 สถานการณ์คับขัน
บทที่ 261 สถานการณ์คับขัน
ขณะนี้ทุกคนกำลังบินไปยังเกาะวายุคลั่ง กงหนิวที่ตอนนี้ระดับการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตนภาแล้ว เมื่อเขาบินด้วยความเร็วเต็มที่ ความเร็วของเขานั้นกลับเร็วกว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์เสียอีก
เป็นเพราะความเร็วที่รุนแรงนี้เอง หลิงตู้ฉิงจึงเลือกที่จะให้กงหนิวลากรถม้าของเขา แต่ไม่ว่ากงหนิวจะเร็วแค่ไหนก็ยังต้องใช้เวลา
เมื่อเห็นความกังวลบนใบหน้าของเสี่ยวเยว่เฟิง มี่ไลก็อดไม่ได้ที่จะปลอบใจนาง “เฟิง ไม่ต้องกังวลนะ มันจะต้องไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
แม้ว่าสถานะของเสี่ยวเยว่เฟิงจะเป็นแค่สารถี แต่หลังจากอยู่ในตระกูลหลิงมาหลายปีแล้วทุกคนในตระกูลต่างไม่มีใครมองว่านางต่ำต้อยกว่า ทุกคนต่างมองนางเป็นดั่งญาติพี่น้อง ซึ่งไม่ได้ต่ำต้อยไปกว่าตัวของพวกเขาเลย
เสี่ยวเยว่เฟิงฝืนยิ้มและพูดว่า “ข้าเองก็เชื่อว่านางน่าจะไม่เป็นไร…”
“มันมีอะไรเกิดขึ้นกับเกาะวายุคลั่ง?” หลิงตู้ฉิงถาม
เสี่ยวเยว่เฟิงตอบว่า “เกาะวายุคลั่ง พูดได้ว่าเป็นเกาะที่อ่อนแอที่สุดในอาณาเขตทะเลชางหมาง ความแข็งแกร่งของผู้เชี่ยวชาญบนเกาะ เพียงแค่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดารา ระดับ 2 หรือ 3 ก็จัดว่าแข็งแกร่งที่สุดแล้ว แน่นอนว่าเกาะวายุคลั่งเองก็ไม่ได้ใหญ่มาก มันมีขนาดเพียงครึ่งหนึ่งของเกาะเทียนหยวน อย่างไรก็ตามทางเข้าของอาณาเขตทะเลชางหมางนั้นอยู่ใกล้กับเกาะวายุคลั่งเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นข้ากลัวว่าผู้เชี่ยวชาญที่เข้ามาจากภายนอกอาจจะเข้ามาและยึดครองเกาะได้”
“อืม” หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเล็กน้อย “รอจนกว่าจะถึงเกาะวายุคลั่งก่อน จากนั้นเจ้าค่อยเปิดเผยร่างที่แท้จริงของเจ้าเองเพื่อขู่ผู้คนที่อยู่บนเกาะ จากนั้นเจ้าก็จงไปหาน้องสาวของเจ้า อันที่จริงเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องของนางสักเท่าไหร่หรอก แม้ว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับนาง ตราบเท่าที่นางยังไม่ตายสนิท ข้าสามารถช่วยนางได้เสมอ”
หลิวเฟ่ยเฟ่ยอดไม่ได้ที่จะกลอกตา แม้ว่าประโยคเช่นนี้มันจะดูเหมือนเป็นคำปลอบประโลม แต่ทำไมพอฟังแล้วมันกลับดูแปร่ง ๆ และไม่ค่อยจะทำให้คนฟังสบายใจขึ้นได้สักเท่าไหร่เลย?
ในทางกลับกัน เสี่ยวเยว่เฟิงไม่ได้คิดอะไรมากเกินไป นางพูดอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณ นายท่าน!”
ที่มาของชื่อเกาะวายุคลั่ง นั่นก็เป็นเพราะที่นี่มีลมอันรุนแรงและพายุฝนเกือบตลอดปี
และในเวลานี้บน เกาะวายุคลั่งกำลังมีการต่อสู้ที่รุนแรงเกิดขึ้น
ขณะนี้ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดารา 2 คนกำลังต่อสู้อยู่กลางอากาศท่ามกลางพายุฝนอันรุนแรง
ส่วนบนพื้นดินผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณ 2-3 คนและผู้เชี่ยวชาญกลุ่มใหญ่ก็เข้าร่วมในการต่อสู้ที่วุ่นวายนี้เช่นกัน
“เจ้าพวกเสื้อคลุมโลหิต พวกเจ้ากล้าลอบสังหารพวกเรา!” ชายสวมเสื้อคลุมมังกรตะโกนเสียงดัง
เขามองไปที่เสื้อคลุมโลหิต 2-3 คนที่ถูกห้อมล้อมด้วยกองทหารและพูดกับแม่ทัพที่อยู่ข้าง ๆ เขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “สับไอ้พวกเศษเดนเหล่านี้ให้ละเอียด!”
นายพลโค้งคำนับและพูดว่า “ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาเราจะไม่เคยประสบความสำเร็จในการล่าพวกเขาเลย แต่ด้วยการวางแผนที่แยบยลจนในที่สุดพวกมันก็ติดกับของเราจนได้ ครั้งนี้ข้าเชื่อว่าพวกมันจะไม่สามารถหนีไปได้อีกแล้วแน่นอน ที่เราต้องกังวลก็มีแค่คน ๆ นั้นที่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดารา ซึ่งมันคงจะยากไปสักหน่อยที่จะจัดการกับเขา และท่านแม่ทัพใหญ่เองก็ไม่สามารถรั้งเขาไว้ได้นานเช่นกัน”
ในเวลานี้ ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราของกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตที่กำลังลอยอยู่ในอากาศก็กังวลมากเช่นกัน
เดิมทีเขาวางแผนที่จะใช้ประโยชน์จากการมาเยือนของจักรพรรดิอาณาจักรแห่งนี้เพื่อทำภารกิจที่ยากลำบากนี้
แต่เขาคิดไม่ถึงว่าจักรพรรดิสุนัขตัวนี้จะวางกับดักพวกเขา แถมยังนำผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราและผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณจำนวนมากมาล้อมพวกเขาไว้
บนเกาะวายุคลั่ง ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราจัดเป็น ‘ผู้เชี่ยวชาญที่ไม่มีใครเทียบได้’ อย่างแท้จริง
แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญระดับสูงในขอบเขตประสานทะเลปราณก็ยังหาได้ยาก แต่ตอนนี้กลับมีผู้เชี่ยวชาญระดับสูงเหล่านี้มากมายปรากฎตัวขึ้นพร้อม ๆ กัน เขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระสับกระส่าย
ถ้าหากคนที่เขาพามาด้วยรอบนี้เป็นเหล่าสมาชิกเสื้อคลุมโลหิตธรรมดา เขาก็คงจะจากไปนานแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่ากลุ่มเสื้อคลุมโลหิตเหล่านี้ที่เขาพามา เป็นกลุ่มที่เขาคัดเลือกมาเป็นพิเศษ
คนกลุ่มนี้ที่เขาพามาคือกลุ่มคนจากตระกูลของเขาเอง
กลุ่มคนตระกูลของเขาเองก็เป็นหนึ่งในพวกที่หนีออกมาจากภูเขาฟีนิกซ์มาจนถึงทะเลชางหมาง ซึ่งกว่าที่พวกเขาจะมาถึงที่นี่พวกเขาก็เหลือคนที่รอดอยู่เพียงไม่กี่คนแล้ว แค่เผชิญกับชะตากรรมเช่นนี้พวกเขาแต่ละคนต่างก็ปวดร้าวใจมาก หากไม่จำเป็นจริง ๆ เขาก็ไม่มีทางทิ้งคนตระกูลของตัวเองเพื่อเอาตัวรอดไปคนเดียวได้แน่นอน
อย่างไรก็ตามผู้ชายคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าเขา ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน กลับกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราเช่นเดียวกับเขา แม้ว่าเขาต้องการที่จะเอาชนะ แต่ก็คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งวัน
แล้วคนข้างล่างจะรอถึงครึ่งวันได้ไหม แน่นอนว่าคำตอบคือดูเหมือนว่าจะไม่!
เมื่อสังเกตเห็นว่าสถานการณ์เริ่มวิกฤตมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาโบกมือและปล่อยมีดเพลิงไปยังคู่ต่อสู้ของเขา
จากนั้นเขาก็ใช้ประโยชน์จากการที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราฝั่งตรงข้ามที่กำลังถอยกลับ เขาหันไปมองด้านล่างและพุ่งลงกระโจนเข้าหาฝูงชน
เมื่อจักรพรรดิที่อยู่ด้านล่างเห็นสิ่งนี้ เขาก็ตะโกนอย่างเย็นชา “ปล่อยธนู!”
ลูกศรนับหมื่นถูกยิงออกไป บังคับให้ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราของกลุ่มเสื้อคลุมเลือดโลหิตต้องบินหลบขึ้นไปบนอากาศอีกครั้ง
เมื่อเผชิญการโจมตีพร้อมกันของลูกศรนับหมื่น เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหลบ
หลังจากพลาดโอกาส เขาก็ต้องเผชิญจากการโจมตีของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราที่เพิ่งหลบมีดเพลิงของเขาไปได้ และทั้งสองก็ปะทะกันอีกครั้ง
ในฝูงชน เสื้อคลุมโลหิต 2-3 คนเช็ดเลือดที่ผสมกับน้ำฝนออกจากใบหน้า ทำให้ยากที่จะบอกว่าเป็นเลือดของพวกเขาเองหรือของคนอื่น
เมื่อเผชิญหน้ากับฝูงชนที่แน่นขนัดรอบ ๆ พวกเขาก็รู้สึกสิ้นหวัง
ภายในกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตที่เหลืออยู่ไม่กี่คน หญิงสาวนางหนึ่งพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะฟันผู้เชี่ยวชาญตรงหน้านางพร้อมกับตะโกนขึ้น “พี่ใหญ่ตู้เฉิง ท่านรีบหนีออกไปจากที่นี่เถอะ ท่านไม่จำเป็นต้องช่วยพวกเรา! หากท่านยังคงล่าช้ามากไปกว่านี้ ท่านจะจากไปยากขึ้น!”
ในฐานะหัวหน้ากลุ่มเสื้อคลุมโลหิตแห่งเกาะวายุคลั่ง เขาจะอธิบายได้อย่างไรหากมีอะไรเกิดขึ้นกับเด็กสาวผู้นี้?
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพี่สาวของเด็กคนนี้คือผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภา เขาจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไรกับนาง?
ต่อให้เขากลับไปบอกกับพี่สาวของนางว่า น้องสาวของนางได้เสียสละชีวิตของตนเองอย่างสมเกียรติในระหว่างทำภารกิจ แต่มันคงไม่ง่ายที่พี่สาวของนางจะยอมรับเหตุผลง่าย ๆ เช่นนี้ได้ เขามั่นใจว่าอนาคตของเขาคงจะจบไม่สวยแน่นอน
เขาจึงยังคงพยายามอย่างสุดตัวเพื่อที่อย่างน้อย ๆ เขาต้องพาเด็กสาวนางนี้ออกไปกับเขาให้ได้
ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องที่น่าสังเวชก็ได้ดังขึ้นพร้อมกับหนึ่งในเสื้อคลุมโลหิตที่อยู่ในวงล้อมก็ล้มลง ทำให้พลังป้องกันของกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตลดลงอีกระดับหนึ่ง
จากนั้นการบาดเจ็บล้มตายก็เริ่มขึ้น
เมื่อเห็น ‘กลุ่มเสื้อคลุมโลหิต’ ของเขาล้มไปทีละคน ตู้เฉิงก็รู้สึกปวดใจ คนเหล่านี้เป็นคนที่เขาฝึกฝนมาด้วยความยากลำบาก
เขามองไปที่คน 2-3 คนที่เหลืออยู่ในวงล้อมและตะโกนว่า “น้องหลิงเฟิง ข้าจะไปทวีปอื่นเพื่อตามหาเจ้านายของข้า ถ้าเจ้าตาย ข้าจะบอกให้เจ้านายของข้าให้สังหารคนของอาณาจักรนี้ไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว!”
ตอนนี้เขายอมรับในชะตากรรมแล้วว่าเขาคงต้องจากไป อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะจากไปเขาจงใจทิ้งประโยคข่มขู่นี้ไว้เบื้องหลังเพื่อให้เด็กสาวยังมีโอกาสมีชีวิตอยู่ แม้ว่านางจะถูกทรมานและทำให้อับอาย แต่ก็ยังดีกว่าตาย และตราบใดที่นางยังมีชีวิตอยู่มันก็ยังมีโอกาสเสมอที่เขาจะสามารถกลับมาช่วยนางได้
หลังจากที่พูดจบเขาก็กำลังจะเตรียมบินหนีจากไป
สำหรับจักรพรรดิที่กำลังเฝ้าดูการสังหารหมู่นี้อยู่ เขาไม่สนใจคำขู่ของตู้เฉิง และพูดอย่างเย็นชาว่า “ฆ่าพวกมันให้หมด! ต่อให้ไปตามเจ้านายของเจ้ามา ข้าก็ไม่กลัว!”
เมื่อได้รับคำสั่งยืนยันจากจักรพรรดิของตนเอง เหล่าทหารที่กำลังห้อมล้อมอยู่ในขณะนี้ก็พุ่งไปข้างหน้าเพื่อจัดการกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตที่หมดแรง 3 คนสุดท้ายทันที
แต่เมื่อถึงวินาทีที่ทุกอย่างกำลังจะถึงจุดจบ จู่ ๆ ก็มีร่างสีแดงเพลิงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
“กรี๊ดดดดดดดด ~”
ด้วยเสียงร้องที่ดังก้องไปทั่วท้องฟ้า และตามมาด้วยดวงไฟดวงยักษ์ที่ปรากฎขึ้นกลางอากาศ ส่งผลทำให้ความชื้นที่สะสมอยู่ในกลุ่มเมฆพายุระเหยกลายเป็นไอน้ำไปทั้งหมด และจากวันที่อึมครึมไปด้วยเมฆฝนก็กลายเป็นวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส ซึ่งเป็นภาพอันหายากสำหรับเกาะวายุคลั่ง
ขณะนี้ร่างของนกฟีนิกซ์ได้ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า และด้วยแรงกดดันอันมหาศาลจากพลังของขอบเขตสวรรค์ที่กวาดไปทั่วทั้งเกาะวายุคลั่ง ส่งผลให้บรรดาผู้คนที่ขาดเขลาต่างล้วนคุกเข่าลงกับพื้น