พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 292 ชายผู้รนหาที่ตาย
บทที่ 292 ชายผู้รนหาที่ตาย
ขณะนี้หลิงตู้ฉิงตรวจสอบแหวนมิติทีละวงจนเขาได้สะดุดตากับแหวนมิติบางวงที่ได้รับมา ซึ่งทำให้ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปทันที และรีบเดินไปหาหยุนจื่อรุ่ยกับเปียนเฉียวเฉียวพร้อมกับถามว่า “อมนุษย์สองตนที่มีเกล็ดหนาบนร่างกายของพวกเขาอวัยวะภายในของพวกเขาถูกทำลายไปรึเปล่า?”
หยุนจื่อรุ่ยและเปียนเฉียวเฉียวรีบพยักหน้า “นายท่าน นี่ท่านรู้ได้ยังไง? แต่ตัวที่ท่านพูดถึงทั้งสองตัวนั้นได้ตายไปหลายวันแล้ว นายหญิงบอกว่าให้พวกเราลากศพของพวกมันออกไปทิ้งกลางถนน ข้าคิดว่าป่านนี้ศพของพวกมันคงถูกคนอื่น ๆ เก็บไปเรียบร้อยแล้วล่ะนายท่าน”
หลิงตู้ฉิงพูดอย่างหมดหนทาง “งั้นก็ช่างมันไปก็แล้วกัน”
“นายท่านมีปัญหากับอมนุษย์สองตนนั้นงั้นเหรอ?” หยุนจื่อรุ่ยถาม
“สองตนนั้นมาจากเผ่าปีศาจ ร่างกายของพวกมันข้าสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง” หลิงตู้ฉิงพูดอย่างเป็นกันเองว่า “ในอนาคตหากพวกเจ้าพบศพที่ดูไม่เหมือนมนุษย์ อย่าทิ้งมันไป แต่จงเก็บไว้ให้ข้า”
หยุนจื่อรุ่ยและเปียนเฉียวเฉียวรีบพยักหน้า “ถ้าเจอศพแบบนี้อีก พวกเราจะเก็บไว้ให้นายท่านแน่นอน”
แม้ว่าพวกนางจะไม่รู้ว่าหลิงตู้ฉิงจะต้องการศพเหล่านี้ไปทำอะไร แต่พวกนางก็ยินดีทำตามทุกอย่างที่หลิงตู้ฉิงบอก
สำหรับหลิงตู้ฉิง เขาส่ายหัวและกลับไปที่สวนด้านหลัง เพื่อตรวจสอบสิ่งของที่อยู่ในแหวนมิติที่เพิ่งได้รับมาอย่างละเอียดอีกครั้ง
ไม่นานต่อมาจากแหวนมิติ 10 กว่าวง หลิงตู้ฉิงก็ได้เลือกส่วนผสมของโอสถที่แตกต่างกันกว่า 70 หรือ 80 อย่างขึ้นมาแยกไว้ และเดินออกไปตามหาซือโถวเหวินหยวน
“ซือโถว จงออกไปที่หอการค้าอื่น ๆ ในเมือง และถามพวกเขาว่าพวกเขามีไขกระดูกอสูรธาตุศักดิ์สิทธิ์อายุพันปีขายไหม ถ้ามีก็ซื้อมาให้ข้า เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจถึงราคาว่ามันจะแพงสักแค่ไหนก็ตาม” หลิงตู้ฉิงสั่งขึ้น
ซือโถวเหวินหยวนมองไปยังหลิงตู้ฉิง และถามอย่างสงสัย “นายท่าน ท่านต้องการหลอมโอสถบำรุงวิญญาณงั้นหรือ?”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ถูกต้อง!”
จากนั้นหลิงตู้ฉิงก็มอบเหรียญคริสตัลระดับสวรรค์ 1,000 ชิ้นให้กับซือโถวเหวินหยวน และพูดว่า “ถ้าเงินจำนวนทั้งหมดนี้ยังไม่พอที่จะซื้อมันได้ ตราบใดที่ราคาของมันไม่ได้ไร้เหตุผลจนเกินไปข้าก็ยอมรับได้ เจ้าเพียงแค่นำผู้ขายมาหาข้า แล้วข้าจะทำการแลกเปลี่ยนกับพวกเขาเอง”
ซือโถวเหวินหยวนยิ้มอย่างขมขื่นและส่ายหัว “นายท่าน ข้าเกรงว่ามันอาจจะหายากสักหน่อย ไขกระดูกอสูรธาตุศักดิ์สิทธิ์อายุพันปี นี้ถือได้ว่าเป็นของวิเศษที่มีระดับเกือบจะอยู่ในระดับสวรรค์แล้ว แต่ข้าจะไปดูก่อน ถ้ามีข้าจะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเจรจาขอซื้อกับพวกเขา”
หลังจากพูดจบ ซือโถวเหวินหยวนก็รีบออกไปพร้อมกับเหรียญคริสตัลระดับสวรรค์
ตอนนี้เขาเชื่อฟังหลิงตู้ฉิงมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่เหตุการณ์ที่เขาเห็นอสูรกลืนสวรรค์รวมไปถึงค่ายกลกระบี่เหินเมฆา มันทำให้เขาเข้าใจแล้วว่าหลิงตู้ฉิงน่ากลัวเพียงใด แม้ว่าเขาจะไม่ได้เผชิญหน้ากับพลังของค่ายกลกระบี่โดยตรง แต่เจตจำนงแห่งกระบี่ของ ค่ายกลกระบี่ที่เขาสัมผัสได้ตอนที่หลบตัวอยู่ในห้อง มันทำให้เขาสั่นกลัวจนแทบไม่กล้าจะหายใจเสียงดังเลยด้วยซ้ำ
เมื่อซือโถวเหวินหยวนจากไป หลิงตู้ฉิงก็ได้หยิบเตาหลอมโอสถขึ้นมา แต่หลอมโอสถระดับต่ำแบบง่าย ๆ ขึ้นมาให้กับหยุนจื่อรุ่ยและเปียนเฉียวเฉียว เพื่อให้พวกนางนำไปบ่มเพาะและยังถือว่าเป็นการอุ่นเตารอเตรียมที่จะหลอมโอสถบำรุงวิญญาณในช่วงเวลาถัดไป
เนื่องจากโอสถบำรุงวิญญาณนั้นเป็นโอสถที่อยู่ในระดับสวรรค์ ซึ่งต่อให้ตอนนี้เขาจะมีระดับการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 10 แล้ว เขาก็ยังต้องมีการเตรียมความพร้อมทุกอย่างก่อนที่จะทำการหลอมมัน
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก หยุนจื่อรุ่ยและเปียนเฉียวเฉียวที่ได้รับโอสถหลายชนิดจากหลิงตู้ฉิง พวกนางก็รู้สึกตื่นเต้นกันเป็นอย่างมาก พวกนางต่างพากันเดินออกมาจากสวนด้านหลังด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
แต่แล้วเมื่อพวกนางเดินกันออกมาถึงหน้าประตูอาคารด้านนอก พวกนางก็ได้เห็นเสี่ยวหยูฉิงที่กำลังยืนรออยู่ที่ด้านหน้าประตู
“น้องสาว โปรดแจ้งกับนายของพวกเจ้าให้ทีว่าข้า เสี่ยวหยูฉิง มาขอเข้าพบ” เสี่ยวหยูฉิงกล่าวพลางส่งยิ้ม
เปียนเฉียวเฉียวเบนหน้าไปทางป้ายประกาศที่เขียนกฎการเข้ามาในอาคารไว้และพูดขึ้น “ตอนนี้นายท่านกำลังว่างอยู่ แต่ท่านจะต้องทำตามกฎที่เขียนเอาไว้ก่อนท่านถึงจะสามารถเข้าไปได้”
เสี่ยวหยูฉิง เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาก็พยักหน้าเข้าใจและหยิบวัสดุระดับราชวงศ์ขึ้นมา 1 ชิ้นและยื่นให้กับเปียนเฉียวเฉียว จากนั้นเขาก็เดินตามนางเข้าไปพบกับหลิงตู้ฉิงทันที
เมื่อมาถึงสวนด้านหลัง เปียนเฉียวเฉียวได้ส่งวัสดุระดับราชวงศ์ให้กับหลิงตู้ฉิง และพูดว่า “นายท่าน ชายผู้นี้ชื่อ เสี่ยวหยูฉิง เขาต้องการที่มาเข้าพบกับนายท่านตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
หลิงตู้ฉิงมองไปที่เสี่ยวหยูฉิงด้วยความสงสัย จากนั้นเขาถามขึ้นว่า “เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”
เสี่ยวหยูฉิงพยักหน้าและตอบกลับ “ข้าต้องการถามท่านถึงเรื่องของศิษย์น้องของข้าว่าเขาหายไปไหน? ข้าได้ยินหลายคนพูดว่าเขาได้เข้ามาที่หมู่ตึกหยูอี่นี่ และจากนั้นก็ไม่มีใครเห็นเขาอีกเลย”
“ศิษย์น้องของเจ้าใช่คนที่ชื่อว่า เสี่ยวเฉินอู่ รึเปล่า?” หลิงตู้ฉิงเหล่ตามองไปยังเสี่ยวหยูฉิง พลางเก็บวัสดุที่เพิ่งได้รับมาเข้าไปในแหวน
เสี่ยวหยูฉิงพยักหน้า “ใช่ พวกเราเป็นศิษย์ของสำนักอักขระวิญญาณ”
“สำนักอักขระวิญญาณของพวกเจ้านี่มันอยู่ที่ไหนกัน?” หลิงตู้ฉิงถามขึ้น และจากนั้นเขาตอบกลับ “เสี่ยวเฉินอู่นั่นตายไปแล้ว เขามาที่นี่เพื่อทดสอบรับยันต์สั่งสวรรค์ ในตอนแรกข้าเห็นว่าเขาดูมีหน่วยก้านไม่เลวข้าเลยเตือนเขาว่าอย่าลอง แต่เขากลับไม่เชื่อข้า และจากนั้นร่างเขาก็สลายหายเป็นฝุ่นผงไป”
เสี่ยวหยูฉิงขมวดคิ้วและตอบกลับ “สำนักอักขระวิญญาณของข้าเป็นสำนักอันดับหนึ่งของอาณาเขตหยกปีกนก และศิษย์น้องข้านั้นเป็นถึงอัจฉริยะของสำนักในรอบพันปี แล้วการที่เขาต้องมาตกตายลงที่นี่ อย่าบอกนะว่าหมู่ตึกหยูอี่ไม่คิดจะรับผิดชอบอะไรเลย?”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะและตอบกลับ “ถึงแม้ว่าตอนนี้หมู่ตึกหยูอี่จะเป็นของข้า แต่ก่อนหน้านี้มันถูกครอบครองโดยสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์มาก่อน ฉะนั้นถ้าเจ้าอยากจะเรียกร้องความเป็นธรรม เจ้าก็จงไปเรียกร้องเอากับสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์นู่นเถอะ”
“แต่ตอนนี้หมู่ตึกหยูอี่อยู่ในมือท่านแล้ว” เสี่ยวหยูฉิงเถียงขึ้น
หลิงตู้ฉิงถามว่า “คือพวกเจ้าต้องการให้ข้ารับผิดชอบงั้นสินะ? เอาล่ะตอนนี้ข้าค่อนข้างอารมณ์ดี ลองบอกความในใจของเจ้ามาให้ข้าฟังสักหน่อยก็แล้วกัน”
เสี่ยวหยูฉิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูด “ตามกฎเดิม ข้ามาที่นี่เพื่อยันต์สั่งสวรรค์!”
“ที่แท้เจ้าก็มาที่นี่เพื่อยันต์สั่งสวรรค์ โดยใช้การตายของศิษย์ของเจ้ามาเป็นข้ออ้างก็แค่นั้นเองนี่นา” หลิงตู้ฉิงถอนหายใจและพูดว่า “แต่น่าเสียดายที่ข้าใช้ยันต์สั่งสวรรค์ไปแล้ว นอกจากนี้ข้าไม่เคยได้ยินชื่อของสำนักอักขระวิญญาณของเจ้า ดังนั้นข้าอยากจะถามว่าในสำนักของเจ้ามีบุคคลที่ทรงพลังอยู่บ้างรึเปล่า? นอกจากนี้ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่แค่คนเดียว? ถ้าเจ้าต้องการที่จะฉกของของข้า ข้าแนะนำว่าเจ้าควรกลับไปพานายของเจ้ามาด้วย มิฉะนั้นเพียงแค่เจ้าที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตนภาระดับ 12 มันคงยังไม่เพียงพอ”
เสี่ยวหยูฉิงมองไปที่หลิงตู้ฉิงและพูดว่า “คราวนี้คนที่มาที่เมืองเจินไห่ไม่ใช่ข้าคนเดียวแน่นอน ทางสำนักของข้ายังส่งผู้อาวุโสที่อยุ่ในระดับหลุดพ้นสามัญมาด้วยอีก 1 คน!”
“ก็ดีเจ้าจงรีบไปเรียกเขามา!” หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ก่อนหน้านี้ข้าก็ได้ฆ่าไปแล้วคนหนึ่ง ข้าหวังว่าผู้อาวุโสของเจ้าคงจะทำได้ดีกว่าคนก่อนหน้านี้”
เสี่ยวหยูฉิงเตือนว่า “ผู้อาวุโสของข้าคือผู้เชี่ยวชาญอักขระเวทย์ระดับหลุดพ้นสามัญ ความแข็งแกร่งของเขาไม่สามารถวัดกับผู้บ่มเพาะธรรมดาที่ท่านเจอมาก่อนหน้านี้ได้ ข้าแนะนำว่าท่านควรจะมอบยันต์สั่งสวรรค์มาแต่โดยดีก่อนที่จะให้ผู้อาวุโสของข้าต้องลงมือ”
เปียนเฉียวเฉียวที่อยู่ข้าง ๆ เขามองไปที่เสี่ยวหยูฉิงด้วยความรังเกียจ ตอนแรกนางคิดว่าผู้ชายคนนี้ดูสุภาพมาก แต่สุดท้ายแล้วเขาก็แค่คนขี้ขโมยที่กล้าลงมืออย่างน่าไม่อายก็แค่นั้นเอง
ในความเป็นจริงสิ่งที่คนธรรมดาไม่รู้ก็คือ สำนักอักขระวิญญาณนี้เจตนาอยากได้ยันต์สั่งสวรรค์มาเป็นเวลานานมากแล้ว
ส่วนสาเหตุที่พวกเขาไม่กล้ามาก่อนนั้นเป็นเพราะการมีอยู่ของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าพวกเขาทั้งสองจะเป็นสำนักที่บ่มเพาะในวิถีเต๋าเส้นทางเดียวกัน แต่ความแตกต่างในด้านความแข็งแกร่งนั้นยิ่งใหญ่เกินไปราวกับสวรรค์และโลก แต่ตอนนี้เมื่อพวกเขาได้รับข่าวว่ายันต์สั่งสวรรค์และหมู่ตึกหยูอี่ได้เปลี่ยนเจ้าของแล้ว พวกเขาจึงไม่มีความเกรงกลัวอะไรอีกต่อไป
เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวหยูฉิง หลิงตู้ฉิงก็โบกมือเบา ๆ จากนั้นค่ายกลกระบี่เหินเมฆาทั้งหมดก็สำแดงอำนาจของมันขึ้นทันที
“ลองดูที่ค่ายกลนี้ก่อน แล้วลองคิดว่าเจ้าจะเอาอะไรไปจากข้าได้งั้นหรือ?” หลิงตู้ฉิงถามอย่างใจเย็น
เสี่ยวหยูฉิงมองไปที่ค่ายกลที่รายล้อมอยู่รอบตัวเขา จากนั้นเขายังคงพูดตอบอย่างใจเย็น “การมาในครั้งนี้ผู้อาวุโสของข้ายังนำสมบัติวิเศษประจำสำนักของเรามาด้วย ฉะนั้นข้ามั่นใจไม่ว่ายังไงท่านก็ต้องมอบยันต์สั่งสวรรค์มาให้เราอยู่ดี”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะและถาม “ทำไมก่อนหน้านี้เจ้าไม่กล้าที่จะชิงมันตอนที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์เป็นเจ้าของล่ะ? อ๋อใช่แล้ว! สมบัติวิเศษที่พวกเจ้านำมามันอยู่ระดับไหนกันงั้นเหรอ?”
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้หลิงตู้ฉิงคงโมโห และไล่ไอ้คนผู้นี้ออกไปแล้ว
แต่เมื่อหลังจากที่เขาได้พบกับหญิงสาวที่อยู่ในยันต์สั่งสวรรค์ และจากนั้นก็ยังได้ทำการบ่มเพาะแบบหมู่กับมี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ย ทัศนคติในตอนนี้ของเขาจึงอ่อนลงและมีความอดทนมากขึ้น เพราะเหตุนี้เขาจึงยอมให้เสี่ยวหยูฉิงพูดจาไร้สาระได้อยู่นานสองนาน
“สมบัติวิเศษของสำนักข้าคือสมบัติที่อยู่ในระดับเซียน!” เสี่ยวหยูฉิงพูดอย่างหนักแน่น
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ช่างเป็นอะไรที่ดีอะไรอย่างนี้ ด้วยค่ายกลกระบี่ของข้า ข้าสามารถป้องกันได้เฉพาะผู้เชี่ยวชาญที่มีความแข็งแกร่งในระดับเหนือธรรมชาติ แต่ถ้าหากต้องเผชิญกับสมบัติวิเศษระดับเซียนมันคงมีปัญหาอยู่บ้าง”
“เอาล่ะเจ้าจงกลับไปตามผู้อาวุโสของเจ้ามาก็แล้วกัน ให้เขามาที่นี่เพื่อปฏิบัติตามกฎของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์เหมือนก่อนหน้านี้ ถ้าเขาสามารถเอายันต์สั่งสวรรค์ไปได้ ก็ให้เขามาเอาไปได้เลย”
“งั้นก็เอาตามนั้น!” เสี่ยวหยูฉิงพยักหน้า
เมื่อเห็นว่าเสี่ยวหยูฉิงกำลังจะจากไป หลิงตู้ฉิงพูดเสริมว่า “แต่ข้าฝากเตือนเจ้าไปบอกกับผู้อาวุโสของเจ้าไว้ด้วย หากเขาล้มเหลวเขาก็จะต้องตาย นอกจากนี้หากที่สำนักของเจ้ายังมีสมบัติที่ดียิ่งกว่านี้ เจ้าจงส่งข้อความกลับไปที่สำนักของเจ้าล่วงหน้าเพื่อตามคนที่แข็งแกร่งกว่าผู้อาวุโสของเจ้ามาด้วย ไม่งั้นข้าเกรงว่าพวกเจ้าจะตายเสียก่อนและจะไม่มีใครส่งข้อความให้พวกเขา”
“ข้าจะทำแน่นอน!” เสี่ยวหยูฉิงหัวเราะในลำคอ
หลังจากเสี่ยวหยูฉิงจากไป หลิงตู้ฉิงก็หัวเราะออกมา
“สามี อะไรทำให้ท่านมีความสุขมากขนาดนี้” มี่ไลเดินมานั่งข้างหลิงตู้ฉิง และถามอย่างสงสัย
หลิงตู้ฉิงยิ้มและเล่าให้นางฟังทุกอย่าง ถึงเรื่องการสนทนาของเขากับเสี่ยวหยูฉิงเมื่อสักครู่
“หา? พวกเขาต้องการจะพรากพี่สาวไปจริง ๆ งั้นเหรอ?” มี่ไลสงสัย
หลิงตู้ฉิงพูดอย่างเหยียดหยามว่า “นี่มันคือเรื่องที่น่ายินดีต่างหากล่ะ ข้าล่ะชอบจริง ๆ ที่อยู่เฉย ๆ กลับมีคนจะมามอบสมบัติวิเศษระดับสูงให้กับข้าถึงที่แบบนี้ แล้วยิ่งนี่เป็นสมบัติระดับเซียนด้วยแล้ว มันสามารถใช้เป็นแหล่งพลังวิญญาณสำหรับค่ายกลกระบี่เหินเมฆา ซึ่งจะทำให้มันทรงพลังแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมไปอีกหลายเท่าจนไม่มีใครจะมีความแข็งแกร่งพอที่จะต่อต้านมันได้อย่างแน่นอน”