พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 300 การมาถึงของคนจากสำนักอักขระวิญญาณ
บทที่ 300 การมาถึงของคนจากสำนักอักขระวิญญาณ
เมื่อสีเป่ยเซียะเข้าไปในสวนด้านหลังหมู่ตึกหยูอี่ และเห็นว่าหลิงตู้ฉิงกำลังปรับแต่งกระบี่บินให้อยู่ในระดับราชวงศ์ขั้นสูงสุด นางก็รู้สึกตกตะลึงและพบว่ามันมีอะไรบางอย่างแปลก ๆ
นอกจากอักขระเวทย์และการหลอมโอสถแล้วเขายังรู้วิธีปรับแต่งอาวุธด้วยงั้นเหรอ?
ความสามารถเช่นนี้นี่คือปีศาจชนิดใดกันแน่?
คนที่สามารถฝึกฝนเต๋าอักขระเวทย์ได้จนถึงระดับนี้ก็นับได้ว่าเป็นอัจฉริยะแล้ว และถ้าหากยังสามารถฝึกฝนเต๋าโอสถจนสามารถหลอมโอสถระดับสวรรค์ได้อีกเขาสามารถถูกขนานนามได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบ แต่ถ้ายังสามารถมีทักษะการสร้างสมบัติวิเศษได้อีกอย่าง แบบนี้ไม่ใช่อัจฉริยะ แต่เป็นสัตว์ประหลาด!
“เชิญนั่ง!” หลิงตู้ฉิงพูดอย่างไม่แยแส สายตาของเขายังคงอยู่ที่กระบี่บินในมือเพราะมันกำลังจะเป็นรูปเป็นร่าง
สีเป่ยเซียะพยักหน้าเล็กน้อย และนั่งตรงข้ามหลิงตู้ฉิงโดยไม่พูดอะไร
ในทางกลับกัน หยูเอ๋อเกือบจะระเบิดความโกรธของนางออกมา และตะโกนด่าหลิงตู้ฉิงที่กล้าดูหมิ่นองค์หญิงของนางโดยการแสดงท่าทีไม่แยแสเช่นนี้
แต่เนื่องจากองค์หญิงของนางและหลิงตู้ฉิง ทั้งสองฝ่ายต่างได้พบกันแล้ว และสีเป่ยเซียะก็ไม่ได้พูดอะไร นางจึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามและทำได้แค่ยืนอยู่ข้าง ๆ สีเป่ยเซียะพลางจ้องมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยแววตาเย็นชา
หลังจากนั้นในไม่กี่อึดใจ หลิงตู้ฉิงก็ได้สร้างกระบี่บินในมือเสร็จ จากนั้นต่อหน้าสีเป่ยเซียะ หลิงตู้ฉิงก็ได้เดินไปที่ค่ายกลเพื่อสับเปลี่ยนกระบี่บินอันใหม่เข้าไป ซึ่งทำให้อำนาจของค่ายกลกระบี่เพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อย
จากนั้นหลิงตู้ฉิงก็หันกลับมาและยิ้มให้สีเป่ยเซียะ “เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับค่ายกลกระบี่ของข้า?”
“คุณชายเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง…” สีเป่ยเซียะถอนหายใจ
ในตอนที่หลิงตู้ฉิงเปลี่ยนกระบี่บิน มันทำให้นางรู้สึกได้ถึงพลังของค่ายกลกระบี่ที่เปลี่ยนแปลงไปจนนางอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน
เหตุผลที่หลิงตู้ฉิงเอ่ยถามขึ้นนั้นจุดมุ่งหมายของเขาไม่ใช่เพื่อโอ้อวดต่อสีเป่ยเซียะ แต่เพื่อเตือนนางว่าเขามีความสามารถพูดคุยกับนางได้อย่างเท่าเทียมกัน
“สายตาไม่เลว” หลิงตู้ฉิงยิ้มและเดินกลับมานั่งที่นั่งของเขา
สีเป่ยเซียะหัวเราะ “ข้าเป็นคนที่ได้รับการฝึกฝนจนเข้าสู่ขอบเขตนักบุญ ดังนั้นแน่นอนว่าสายตาของข้าย่อมไม่เลว ด้วยเหตุนี้ข้าจึงรีบออกจากเมืองหลวงทันทีหลังจากได้ยินชื่อเสียงของคุณชาย”
“แล้วยังไงต่อ?” หลิงตู้ฉิงถามขึ้น
“ข้าอยากเชิญให้คุณชายมาอยู่กับอาณาจักรข้า!” สีเป่ยเซียะพูดอย่างตรงไปตรงมา “ไม่ใช่ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา แต่เป็นแขกผู้มีเกียรติ ตราบใดที่คุณชายเห็นด้วยและตราบใดที่ค่าตอบแทนที่คุณชายต้องการนั้นสมเหตุสมผล ข้ารับปากว่าได้ว่าข้าจะทำให้ท่านพึงพอใจได้อย่างแน่นอน”
หยูเอ๋อที่อยู่ข้าง ๆ เมื่อได้ยินข้อเสนอนี้ขององค์หญิงของนาง นางตื่นตระหนกเป็นอย่างมากพลางคิดในใจ ‘นี่ไม่ใช่ว่าองค์หญิงของนางกำลังจะยื่นเงื่อนไขให้ชายผู้นี้ขออะไรก็ได้เพื่อเป็นสิ่งตอบแทนไม่ใช่หรือ?’
เมื่อพบกับหญิงสาวที่งดงามเช่นสีเป่ยเซียะ ไม่ใช่ว่าคนหยาบคายผู้นี้จะถือโอกาสเรียกร้องอะไรที่มันยอดแย่จากองค์หญิงของนางอย่างนั้นเหรอ?
อย่างไรก็ตาม สีหน้าของหลิงตู้ฉิงยังคงไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากที่ได้ยินข้อเสนอ ราวกับว่าเขาไม่เห็นว่าสีเป่ยเซียะนั้นน่าดึงดูดแค่ไหน เขาส่ายหัวและพูดว่า “ข้าว่าข้าเคยบอกคนของเจ้าไปแล้วนะว่าข้าไม่สนใจ!”
สีเป่ยเซียะแสดงสีหน้าสงสัยและถามว่า “ทำไมล่ะ? ถึงแม้ว่าคุณชายจะมีความสามารถ แต่ท่านเองก็ยังต้องการผู้สนับสนุนเพื่อช่วยให้ท่านพัฒนาตัวเองและบรรลุเป้าหมายบางอย่างที่ท่านไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้ ไม่เช่นนั้นมันจะน่าเสียดายมากสำหรับความสามารถที่คุณชายมีอยู่ทุกวันนี้หากไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างถูกต้อง”
สีเป่ยเซียะรู้สึกสนใจในตัวของหลิงตู้ฉิงเป็นอย่างมาก เพราะความสามารถที่เป็นดั่งสัตว์ประหลาดของเขาที่สามารถบรรลุเต๋าอักขระเวทย์ หลอมโอสถ สร้างอาวุธวิเศษและค่ายกลไปจนถึงระดับที่น่ากลัวได้ขนาดนี้
หลิงตู้ฉิงยิ้ม “อาณาจักรอี้จิ๋นของเจ้าดีแค่ไหนกัน?”
เมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงได้ดูถูกอาณาจักรอี้จิ๋น หยูเอ๋อซึ่งอยู่ด้านข้าง นางไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปและตะคอกเสียงดังว่า “อาณาจักรอี้จิ๋นของเราเป็นหนึ่งในห้าอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งที่สุดในอาณาเขตนภา แถมตอนนี้พวกเรายังมีคนที่มีความสามารถมากมาย ซึ่งเพียงพอที่จะรวบรวมอาณาจักรทั้งหมดในอาณาเขตนภาให้เป็นหนึ่งเดียวกับเราได้ทั้งหมดอีกด้วย!”
สีเป่ยเซียะ ซึ่งฟังอยู่ก็ไม่พอใจกับการใช้คำพูดเชิงดูหมิ่นอาณาจักรอี้จิ๋นของนางเช่นนี้เหมือนกัน นางจึงปล่อยให้หยูเอ๋อพูดออกมาและเมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงไม่ได้โต้แย้งอะไร นางจึงยิ้มพูดเสริมต่อ “อาณาจักรอี้จิ๋นของเรามาจากสำนักสายธารทองคำ!”
เสี่ยวเยว่เฟิงที่กลัวว่าหลิงตู้ฉิงจะไม่รู้จักชื่อของสำนักสายธารทองคำ นางจึงแนะนำเขาว่า “นายท่าน สำนักสายธารทองคำ เป็นสำนักที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนฮ่าวเหมี่ยวและแข็งแกร่งกว่าสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาเขตนภาอย่างเทียบไม่ติด”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “อืม…ก็ไม่เลว แต่ถึงอย่างนั้นแล้วยังไงล่ะ?”
ไม่ต้องพูดถึงหยูเอ๋อ แม้แต่สีเป่ยเซียะตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกโกรธขึ้นมาบ้างแล้วพลางสบถในใจ
‘นี่กล้าดูถูกสำนักของพวกข้าขนาดนี้เลยเหรอ? ดินแดนฮ่าวเหมี่ยวไม่ใช่ดินแดนที่อ่อนแอเหมือนอาณาเขตนภา แต่เป็นดินแดนขนาดใหญ่ที่มีแต่ผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งรวมตัวกันอยู่ การที่จะสามารถกลายเป็นสำนักอันดับหนึ่งในสถานที่เช่นนั้นจะต้องมีความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง’
อย่างไรก็ตาม ด้วยประสบการณ์ที่ดำรงตำแหน่งระดับสูงมาเป็นเวลานาน ถึงแม้ว่านางจะรู้สึกโกรธแต่นางก็ยังสามารถควบคุมตนเองได้
“คุณชายหลิง ท่านรู้ตัวรึเปล่าว่ากำลังดูถูกสำนักของข้าอยู่ ท่านไม่กลัวว่าข้าจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้และพลั้งมือทำร้ายท่านงั้นเหรอ?” สีเป่ยเซียะพูดอย่างตรงไปตรงมา “แม้ว่าท่านจะมีความสามารถ แต่ระดับการบ่มเพาะของท่านก็ต่ำเกินไป และค่ายกลกระบี่ของท่านที่อยู่ที่นี่ก็ไม่เพียงพอที่จะปกป้องท่านได้นานนักหรอก”
หลิงตู้ฉิงหรี่ตามองนางและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าทำเช่นนั้นจะดีกว่า! เราไม่มีความเป็นศัตรูต่อกันแต่ถ้าเจ้ายืนกรานที่จะทำเช่นนั้นมันจะส่งผลกระทบต่อข้ามาก!”
ด้วยฐานะของสีเป่ยเซียะ หากพวกเขาเป็นศัตรูต่อกัน มันจะหมายความว่าหลิงตู้ฉิงจะต้องต่อสู้กับคนทั้งอาณาจกัอี้จิ๋น ซึ่งการที่จะกำราบอาณาจักรทั้งอาณาจักรได้นั้นเขาจำเป็นต้องสร้างความเสียหายชนิดพลิกฟ้าสะเทือนแผ่นดินเพื่อเป็นการกดขี่ฝั่งตรงข้ามให้ยอมจำนนโดยสมบูรณ์ และผลที่จะตามมาก็คือต้องมีผู้คนที่ตายด้วยน้ำมือของเขาจนนับไม่ถ้วนและแน่นอนว่ามันจะมีผลต่อเต๋าตู้ฉิงของเขาที่แม้แต่การจะฆ่าคนเพียงสักคนหนึ่งเขายังต้องคิดแล้วคิดอีก นับประสาอะไรกับการพรากชีวิตนับไม่ถ้วนซึ่งมันอาจจะหมายถึงการที่เขาต้องเริ่มบ่มเพาะใหม่จากศูนย์เลยด้วยซ้ำ
ท่าทีของเขาทำให้สีเป่ยเซียะเข้าใจผิดและคิดว่าหลิงตู้ฉิงกลัวการขู่คุกคามของนาง นางยิ้มและพูดว่า “เนื่องจากเป็นเช่นนั้น ทำไมคุณชายไม่เห็นด้วยกับคำขอของข้า เมื่อมีเราคอยปกป้องท่านจะสามารถแสดงความสามารถได้อย่างเต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้นอาณาจักร อี้จิ๋นของเรายังมีความลับที่ล้ำค่าอีกมากมายหากคุณชายกลายเป็นคนของข้า ข้าก็จะแบ่งปันความลับเหล่านั้นกับท่านบ้างเช่นกัน”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะและส่ายหัว “ลืมซะเถอะ ข้ามีความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ต่อคนที่ฝึกฝนดวงใจจักรพรรดิ!”
สีเป่ยเซียะพูดอย่างจริงจัง “ถ้าอย่างนั้นท่านก็เข้าใจผิดแล้ว พี่ชายของข้าไม่ได้ฝึกฝนดวงใจจักรพรรดิ!”
“อ๋อ?” หลิงตู้ฉิงมองไปที่สีเป่ยเซียะด้วยความประหลาดใจ
“ข้าบอกเหตุผลไม่ได้เนื่องจากมันเกี่ยวข้องกับความลับของเรา” สีเป่ยเซียะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “สำหรับอัจฉริยะเช่นท่าน ข้าขอรับประกันได้เลยว่าข้าจะให้ความสำคัญกับท่านมากแน่นอน หากท่านตกลงที่จะติดตามข้า ข้ารับรองได้ว่าท่านจะไม่เสียใจ”
หลิงตู้ฉิงมองไปที่สีเป่ยเซียะ และกำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา แต่ทันใดนั้นแรงกดทับที่รุนแรงได้เข้าปกคลุมเมืองเจินไห่
การแสดงออกของสีเป่ยเซียะเปลี่ยนไปทันทีที่พลังนี้ปรากฏขึ้น นางตะคอก “ใครกันที่มันคิดจะทำร้ายข้าทันทีหลังจากที่ข้าออกจากเมืองหลวง!”
“ใครบังอาจทำตัวกำแหงในอาณาจักรอี้จิ๋นของข้า?!” ใครบางคนตะโกนขึ้น
“พวกเราสำนักอักขระวิญญาณมาที่นี่เพื่อคิดบัญชีแค้นส่วนตัวกับคนผู้หนึ่ง พวกเราไม่มีเจตนามารบกวนหรือดูหมิ่นอาณาจักรอี้จิ๋นของพวกท่าน โปรดอภัยให้พวกเราด้วย” ผู้อาวุโสเหยาของสำนักอักขระวิญญาณตะโกนขึ้น “ไอ้สารเลวหลิงตู้ฉิง เจ้าอยู่ที่ไหนออกมาลงนรกเดี๋ยวนี้!”
คนจากสำนักอักขระวิญญาณได้มาถึงแล้ว พวกเขารู้ดีว่าอาณาจักรอี้จิ๋นนั้นมีผู้ใดหนุนหลังอยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงได้รีบแนะนำตัวเองทันทีโดยหวังว่าพวกเขาจะไม่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยชื่อเสียงของสำนักอักขระวิญญาณของพวกเขา การสังหารคนเพียงคนเดียวในอาณาจักรอี้จิ๋น มันคงไม่มีใครในเมืองเจินไห่แห่งนี้กล้าขัดพวกเขาหรอกจริงไหม?
หลังจากเสียงตะโกนประกาศตัวดังขึ้น ทุกคนของสำนักอักขระวิญญาณก็พุ่งไปยังทิศทางของหมู่ตึกหยูอี่ตั้งอยู่ทันที
อย่างไรก็ตามสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือองค์หญิงแห่งอาณาจักรอี้จิ๋นก็อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน
เหล่าองครักษ์ของสีเป่ยเซียะที่มากับนาง ตอนนี้ต่างกรูกันออกมายืนขวางต่อหน้าผู้คนของสำนักอักขระวิญญาณ และตะโกนด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “หยุด!”
บรรดาองครักษ์ทุกคนต่างรู้ว่าองค์หญิงอยู่ในหมู่ตึกหยูอี่ พวกเขาต่างคิดอย่างเย้ยหยันในใจ ‘ล้างแค้นเจ้าของหมู่ตึกหยูอี่งั้นเหรอ? มันเรื่องตลกบ้าอะไรกันที่จำเป็นต้องส่งผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญมา 1 คน และระดับเหนือล้ำมาอีก 2 คน เพื่อมาล้างแค้นผู้เชี่ยวชาญที่อยู่แค่ขอบเขตประสานทะเลปราณ?’
นี่มันเห็นกันชัด ๆ อยู่แล้วว่าไอ้คนพวกนี้มาที่นี่เพราะองค์หญิงแน่นอน!
เมื่อเหล่าคนของสีเป่ยเซียะคิดได้เช่นนี้ พวกเขาก็ไม่ยอมถอยแม้ว่าผู้อาวุโสเหยาของสำนักอักขระวิญญาณจะเรียกชื่อของหลิงตู้ฉิงก็ตาม ส่งผลให้บรรยากาศทั่วทั้งเมืองเจินไห่ตึงเครียดถึงขีดสุด!