พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 307 หญิงสาวผู้ร่ำรวย
บทที่ 307 หญิงสาวผู้ร่ำรวย
เมื่อเย่ชิงเฉิงตื่นขึ้นจากห้วงแห่งความฝัน นางมองไปที่หลิงตู้ฉิง ซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าด้วยแววตาประหลาดใจ
วิชาที่สูญหายไปนับหมื่นปีเหตุใดจึงปรากฏขึ้นกับคนผู้นี้?
นอกจากนี้มันยิ่งทำให้นางเริ่มสับสนหนักเข้าไปใหญ่ว่า หลิงตู้ฉิงเน้นการฝึกฝนไปในทิศทางไหนกันแน่
ในตอนแรกนางคิดว่า หลิงตู้ฉิงเป็นผู้เชี่ยวชาญอักขระเวทย์ แต่หลังจากสนทนากับสีเป่ยเซียะ นางก็พบว่าหลิงตู้ฉิงเป็นนักหลอมโอสถที่น่าทึ่ง และเมื่อครู่ตอนที่นางนั่งอยู่ตรงหน้าเขา เขากลับกำลังสร้างอาวุธวิเศษระดับราชวงศ์ขั้นสูงสุดโดยเหมือนกับว่ามันไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยด้วยซ้ำ คน ๆ หนึ่งจะมีความสามารถหลากหลายแบบนี้ได้ยังไง?
นางเหม่อมองไปที่หลิงตู้ฉิงอยู่สักพัก จากนั้นก็ถามว่า “เจ้าเรียนรู้ วิชาห้วงนิทราแห่งราชันย์ มาได้ยังไง?”
หลิงตู้ฉิงมองไปที่เย่ชิงเฉิง และพูดอย่างเรียบเฉย “ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่งพยายามใช้วิชาห้วงนิทราแห่งราชันย์เพื่อสังหารข้า แต่เขาทำไม่สำเร็จและถูกข้าสังหารลง หลังจากนั้นข้าจึงได้เรียนรู้วิชาห้วงนิทราแห่งราชันย์”
ได้ยินเช่นนี้ เยว่ชิงเฉิงก็ยิ่งงุนงงหนักเข้าไปใหญ่ นางพูดอย่างติด ๆ ขัด ๆ “วิชาห้วงนิทราแห่งราชันย์นี้เป็นวิชาลับของอารามจินตภาพ ซึ่งมีแต่ผู้สืบทอดเท่านั้นที่จะได้รับการถ่ายทอดมา นี่เจ้ารู้บ้างรึเปล่าว่าการเลือกผู้สืบทอดของอารามจินตภาพนั้นยากแค่ไหน หากอารามจินตภาพรู้เรื่องนี้นักบวชพวกนั้นจะต้องล่าหัวเจ้าไปจนสุดขอบฟ้า!”
“งั้นมันก็คงจะยากหน่อย” หลิงตู้ฉิงเอ่ยอย่างไม่แยแส
คนผู้นั้นมันก็เป็นแค่ผู้สืบทอดและคนที่รู้เรื่องนี้ทั้งหมดก็ถูกเขาฆ่าตายไปจนหมดแล้ว
เย่ชิงเฉิงพูดไม่ออก วิชาห้วงนิทราแห่งราชันย์ที่หายสาบสูญไปนานนับหมื่นปี และเป็นไปได้ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้อาจมีผู้สืบทอดบางคนอาจโชคดีไปเจอมันโดยบังเอิญ แต่แล้วการสืบทอดมรดกนี้กลับถูกทำลายโดยบุคคลตรงหน้านาง หนี้แค้นระดับเช่นนี้ต่อให้เป็นสมณะที่อยู่มาเป็นพันปีก็คงยากที่จะระงับอารมณ์ตัวเองไม่ให้เด็ดหัวชายผู้นี้!
แน่นอนว่านางไม่รู้ว่าคนที่ทำลายมรดกของอารามจินตภาพเมื่อหลายหมื่นปีก่อน เขาคนนั้นได้นั่งอยู่ตรงหน้านางตอนนี้
“ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าได้เที่ยวไปบอกใครดีกว่าว่าเจ้ารู้ วิชาห้วงนิทราแห่งราชันย์ หรือที่เจ้าเคยไปสังหารคนที่ได้รับมันมา” เย่ชิงเฉิงเตือน
“โอ้ น่าเสียดายที่เจ้าบอกช้าเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าได้ถ่ายทอดมันให้กับคนอื่นไปแล้ว!” หลิงตู้ฉิงกล่าวอย่างไม่แยแส
แม้ว่ามันจะเป็นวิชาที่ดี แต่มันก็ไม่ใช่วิชาที่ไร้เทียมทานอะไรมากมายสำหรับเขา ดังนั้นเขาจึงถ่ายทอดมันให้กับจิ๋นชานได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมาก
เย่ชิงเฉิงจ้องไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยความงุนงง และไม่รู้จะพูดอะไรไปได้ชั่วขณะ หลังจากนั้นไม่นานนางก็หัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นในเมื่อเจ้าได้ถ่ายทอดมันให้กับคนอื่นไปแล้ว ทำไมเจ้าถึงไม่ถ่ายทอดมันให้ข้าบ้างล่ะ?”
อารามจินตภาพได้ทำมรดกนี้หายไปนับหมื่นปี หากนางสามารถส่งมรดกนี้กลับคืนไปได้ นางคงจะได้รับค่าตอบแทนเป็นสมบัติวิเศษจำนวนนับไม่ถ้วนแน่นอน
“เจ้าไม่สามารถเรียนรู้มันได้!” หลิงตู้ฉิงมองไปที่เย่ชิงเฉิง “ยิ่งจิตใจของผู้ฝึกซับซ้อนมากเท่าไหร่โอกาสที่จะเรียนรู้วิชานี้ได้ก็จะน้อยลงเท่านั้น”
เยว่ชิงเฉิงจ้องมองไปที่หลิงตู้ฉิง และตะคอกกลับ “ถ้าเจ้าไม่อยากสอนข้า เจ้าก็ไม่ต้องสอน แต่ทำไมต้องมาเหน็บแนมข้าด้วย? ช่างเถอะ ๆ กลับมาพูดถึงเรื่องการกลับไปที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของข้าต่อกันก่อน เจ้าแน่ใจใช่ไหมว่าหลังจากที่เจ้าได้เห็นสถานที่นั้นแล้วเจ้าจะช่วยพวกข้าได้?”
หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วและพูดว่า “อันที่จริงหมอกนั่นที่พวกเจ้าเห็นว่าระยะจากจุดศูนย์กลางของมันเป็นระยะ 50 กิโลเมตร แต่จริง ๆ แล้วระยะที่แท้จริงของมันคือ 30 กิโลเมตร จากที่ข้าคาดเดาแล้วพื้นที่ที่เจ้าและแม่ของเจ้าเข้าไปนั้นไม่ใช่อาณาเขตจริงของมัน”
“ไม่ใช่อาณาเขตจริงงั้นเหรอ?” เย่ชิงเฉิงนิ่งแข็งไป และทันใดนั้นก็กรีดร้อง “แล้วเจ้ารู้ใช่ไหมว่าจริง ๆ แล้วอาณาเขตนั้นมันคืออะไร? เจ้าต้องรู้แน่ ๆ เลยใช่ไหม? ใช่ไหม?”
เย่ชิงเฉิงกระโดดขึ้นอย่างตื่นเต้นและตะโกนใส่หลิงตู้ฉิงโดยไม่สนใจภาพลักษณ์ของนางเลย
สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของนางไม่เคยเข้าใจเลยว่ามันคืออะไรมาเป็นเวลาหลายพันปีและไม่มีผู้เชี่ยวชาญคนไหนที่รู้เช่นกันว่ามันคืออะไร แต่ตอนนี้คนตรงหน้านางผู้นี้กลับดูเหมือนจะรู้เรื่องของมัน เรื่องของหมอกปริศนานี่ที่เป็นปัญหารบกวนสำนักของนางมาเป็นพัน ๆ ปี!
เมื่อมองไปที่หญิงสาวที่กำลังทำตัว ‘บ้า ๆ บอ ๆ’ ตรงหน้า หลิงตู้ฉิงก็ตะลึงไปชั่วขณะก่อนที่เขาจะพยักหน้าและพูดว่า “แน่นอนข้ารู้!”
“เจ้าช่วยบอกข้ามาทีได้ไหมว่ามันคืออะไรกันแน่ นะ นะ นะ?” เย่ชิงเฉิงตื่นเต้นและไม่ดึงแขนของหลิงตู้ฉิงไม่หยุด
หลิงตู้ฉิงหน้ามุ่ยและพูดว่า “ทำไมข้าต้องบอกเจ้า?”
นี่เป็นเพราะหลิงตู้ฉิงเองก็ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะจัดการกับมันเช่นกันเมื่อเขามีความแข็งแกร่งเพียงพอ เพื่อที่จะเก็บสมบัติชิ้นนี้ไว้กับตัวเอง แน่นอนว่าเขาก็รู้เช่นกันว่าต่อให้เขาจะบอกสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ไปถึงความลับของสมบัติชิ้นนี้ คนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ก็คงไม่มีปัญญาที่จะได้มันมาครอบครองอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เขากังวลและไม่อยากบอกออกไปก็คือเขาไม่ต้องการให้มีคนรู้ความลับนี้เป็นจำนวนมากนัก หากมีคนรู้ถึงความลับนี้เป็นจำนวนมากแล้ว ในตอนที่เขาจะไปเอามันออกมามันจะต้องมีผู้คนมากมายมาสร้างความรำคาญให้กับเขาอย่างแน่นอน
“นี่เจ้า…!” เย่ชิงเฉิงจ้องไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยความโกรธสักพัก ก่อนจะสงบอารมณ์ของตัวเองและพูดว่า “ก็ได้ ๆ งั้นท่านต้องการอะไร บอกข้ามา!”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “การบอกเจ้าไปมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร แม้ว่าสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าจะขุดบรรพบุรุษทุกรุ่นออกมา พวกเขาก็ไม่สามารถจัดการกับมันได้อยู่ดี”
“ไม่ว่าสำนักของข้าจะจัดการกับมันได้หรือไม่ได้ มันก็เป็นปัญหาของสำนักข้า สิ่งที่เจ้าควรจะทำก็แค่บอกความลับนี้กับข้าเท่านั้น!” เย่ชิงเฉิงพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
ในที่สุดตอนนี้นางก็ได้พบกับความหวังแบบใหม่แล้ว ซึ่งต่อให้มันจะดูริบหรี่แต่นางก็ต้องคว้ามันมาให้ได้ อย่างไรก็ตามชายผู้นี้ซึ่งดูเหมือนว่าจะรู้ข้อมูลนี้อย่างชัดเจน แต่เขากลับทำเหมือนว่าเขาไม่ต้องการบอกนาง ซึ่งมันทำให้นางโกรธจนแทบคลั่ง
คิ้วของหลิงตู้ฉิงกระตุกขณะที่เขาพูด “แล้วเจ้าให้อะไรข้าได้บ้าง?”
เย่ชิงเฉิงจ้องไปที่หลิงตู้ฉิงเป็นเวลานาน และพูดว่า “เจ้าชอบยันต์สั่งสวรรค์ใช่ไหม? ข้าจะให้ยันต์สั่งสวรรค์ 2 แผ่นกับเจ้า!”
เมื่อพูดจบ นางก็หยิบยันต์สั่งสวรรค์ออกมาวางไว้บนมือและพูดกับหลิงตู้ฉิง “บอกมาก่อน! แล้วยันต์สั่งสวรรค์ทั้งสองนี้จะเป็นของเจ้าทันที!”
เสียงโวยวายของเย่ชิงเฉิง ตอนนี้ต่างดึงดูดผู้คนที่อยู่ในหมู่ตึกหยูอี่ให้ออกมาดูนาง ทุกคนต่างสงสัยว่าหลิงตู้ฉิงทำอะไรกับผู้หญิงคนนี้กันแน่?
เมื่อพวกเขาพบว่าเย่ชิงเฉิง ในตอนนี้กำลังถือยันต์สั่งสวรรค์สองแผ่นอยู่ในมือ มี่ไล หลิวเฟ่ยเฟ่ยและคนอื่น ๆ หรือแม้แต่เสี่ยวเยว่เฟิงก็ยังพูดไม่ออก ตามที่คาดไว้ ผู้สืบทอดสายตรงของสำนักระดับสูง แม้แต่ยันต์สั่งสวรรค์ที่นับว่าเป็นของล้ำค่ามาก ๆ ก็ยังสามารถควักออกมามอบให้กับผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย!
เสี่ยวเยว่เฟิงยิ้มอย่างขมขื่นในใจ แม้ว่านางอาจจะได้เข้าร่วมกับชนชั้นสูงของภูเขาฟีนิกซ์ในอนาคต แต่ทรัพยาของภูเขาฟีนิกซ์ของนางก็คงไม่สามารถเทียบได้กับสำนักระดับสูงแบบนี้
อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นว่าเย่ชิงเฉิงหยิบยันต์สั่งสวรรค์ 2 แผ่นขึ้นมา หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “แค่นี้มันยังไม่พอ!”
โดยไม่ลังเล นางหยิบสมบัติวิเศษอีกชิ้นออกมาและพูดขึ้น “แล้วถ้าเพิ่มสมบัติวิเศษระดับราชันเข้าไปอีกชิ้นล่ะ เจ้าจะว่าไง?”
เสี่ยวเยว่เฟิงและซือโถวเหวินหยวนที่มองอยู่จากด้านข้างต่างรู้สึกหดหู่ ตามที่คาดไว้กับคุณหนูผู้ร่ำรวยผู้นี้แม้แต่สมบัติวิเศษระดับราชันก็ยังสามารถนำมันออกมาได้อย่างง่ายดาย ซึ่งแม้แต่ในสำนักของพวกเขากว่าที่พวกเขาจะได้มาซึ่งสมบัติวิเศษระดับราชัน แม้สักชิ้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
ในทางกลับกัน มี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ยที่ไม่รู้ว่าสมบัติระดับนี้มีค่าสักแค่ไหน พวกนางจึงมองภาพตรงหน้าอย่างไม่มีความรู้สึกอะไรสักเท่าไหร่
น่าเสียดายที่หลิงตู้ฉิงยังคงส่ายหัวอย่างใจเย็น “มันยังคงไม่พอ!”
เย่ชิงเฉิงพูดอย่างโกรธ ๆ “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังยุ่งอยู่กับการเพิ่มอำนาจของค่ายกลกระบี่เหินเมฆาของเจ้า แต่น่าเสียดายที่พลังสังหารของมันอ่อนแอเกินไป แต่ข้ามีวิธีที่จะหาเศษดาวหางทองคำมาให้เจ้าได้ ด้วยค่ายกลกระบี่เหินเมฆาที่เส็งเคร็งของเจ้าหากกระบี่บินแต่ละเล่มได้รับการปรับแต่งด้วย เศษดาวหางทองคำ ที่แต่ละชิ้นมีขนาดเท่าเมล็ดงา พลังของค่ายกลเจ้าจะสามารถแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมได้อีกหลายพันเท่า ข้าจะให้ เศษดาวหางทองคำ 1 กิโลกรัมกับเจ้าเพื่อเป็นค่าตอบแทนแก่เจ้า ทีนี้เจ้าบอกข้าได้รึยัง?”
“ไม่พอ!” หลิงตู้ฉิงยังคงส่ายหัว
“อย่าให้มันมากเกินไป!” เยว่ชิงเฉิงพูดด้วยความโกรธ “มันก็แค่ชื่อ ชื่อเดียวเท่านั้น ข้าจ่ายราคาไปมากแล้ว!”
หลิงตู้ฉิงหรี่ตามองนางและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าเจ้ารู้ว่ามันคืออะไร เจ้าก็จะเข้าใจเองว่าราคาที่ข้าเรียกมันไม่ได้เกินเลยไปแม้แต่น้อย!”
เย่ชิงเฉิงจ้องมองไปที่หลิงตู้ฉิงอย่างไม่แน่ใจว่าสิ่งที่หลิงตู้ฉิงพูดนั้นเป็นความจริงหรือเปล่า
หลังจากจ้องมองเป็นเวลานาน นางหยิบค้อนขนาดเล็กออกมาและโยนค้อนนั้นลงบนพื้นของสวนด้านหลังหมู่ตึกหยูอี่ จากนั้นนางเชิดหน้าขึ้นแล้วถามว่า “ถ้าเป็นไอ้นี่ล่ะพอรึยัง?”