พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 330 ความพิโรธของสำนักสำนักกระบี่วารี
บทที่ 330 ความพิโรธของสำนักสำนักกระบี่วารี[ฟรี]
โม่เอ๋อเกิดในสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นนางจึงจึงรู้จักกับจิตรกรและได้รู้ว่าพวกเขานั้นน่าทึ่งเพียงใด
เช่นเดียวกับผู้เชี่ยวชาญอักขระเวทย์ อำนาจของจิตรกรเองก็มาจากการต้องเข้าใจกฎของโลก
ตราบใดที่พวกเขาเข้าใจกฎของโลก พวกเขาจะสามารถแสดงพลังที่น่ากลัวได้ เนื่องจากพวกเขามีความสามารถในการบันทึกกฎของโลกลงไปในภาพที่พวกเขาวาดขึ้น
ตัวอย่างเช่นหากจิตรกรได้ไปเห็นกระบวนท่าของผู้เชี่ยวชาญคนใดก็ตาม และถ้าจิตรกรผู้นั้นเข้าใจถึงแก่นแท้ของวิชาที่เขาเห็น เขาจะสามารถนำกระบวนท่านั้นบันทึกลงในภาพวาดของเขาและสามารถเปิดใช้งานมันได้อย่างอิสระ
แต่แน่นอนว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะเข้าใจถึงแก่นแท้ของกระบวนท่าของผู้อื่นและการวาดมันออกมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน
เมื่อเห็นเหวินลู่หยานจากไปอย่างไม่เชื่อมั่น โม่เอ๋อก็รู้สึกโกรธ
“นายท่าน ข้าว่าคราวหลังท่านอย่ามอบของแบบนี้ให้นางเลยจะดีกว่า!” โม่เอ๋อพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง “นี่มันไม่ต่างอะไรจากท่านให้หวีกับคนศีรษะล้านแท้ ๆ ท่านอาจจะไม่รู้ว่าแม้กระทั่งในสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของเราก็ไม่มีสมบัติวิเศษแบบนี้มากนัก!”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ไม่ต้องกังวล นี่มันคือสิ่งที่ข้ามอบให้นางก็เพราะว่าสำนักของนางสร้างผลงานให้ข้าได้ดีในครั้งนี้ แต่พวกนางจะไม่ได้รับมันอีกในอนาคตหรอก”
โม่เอ๋อพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นนางส่งสายตาอ้อนวอนไปให้กับหลิงตู้ฉิง และพูดอย่างเขินอาย “เอ่อ…นายท่าน ท่านยังมีของอะไรแบบนี้อยู่อีกบ้างรึเปล่า? โม่เอ๋อยังไม่เคยเห็นภาพวาดของจิตรกรระดับสูงเช่นนี้ใกล้ ๆ เลย ท่านจะว่าอะไรไหมหากจะให้ข้ายืมดูมันสักหน่อย”
“เอานี่ไป!” หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “ข้าจะให้เจ้าติดตัวไว้ เจ้าไม่จำเป็นต้องคืนมันให้ข้า”
เมื่อเห็นเช่นนี้ โม่เอ๋อดีใจมาก “ขอบคุณนายท่าน!”
นางรีบหยิบยันต์เคลือบหยกจากมือของหลิงตู้ฉิงอย่างตื่นเต้นและเพ่งมองสิ่งที่อยู่บนยันต์เคลือบหยก ซึ่งมันคือรูปของสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง
ซือโถวเหวินหยวนที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งมองไปที่ยันต์เคลือบหยกด้วยความอิจฉา
ครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยได้รับมัน แต่เนื่องจากเขาทำเสียเรื่องในคราวนั้น จากนั้นเขาก็ไม่กล้าที่จะขอภาพจากหลิงตู้ฉิงอีกต่อไป
เมื่อมองไปที่สัตว์ประหลาดในมือของโม่เอ๋อ เขาสังเกตเห็นว่ามันถูกวาดเป็นรูปวัวซึ่งเขาทั้งสองที่อยู่บนหัวของมันนั้นมีสีเขียวคล้ายกับหยกแถมยังถูกล้อมรอบด้วยสายฟ้า ซึ่งหากดูจากลักษณะภายนอกเช่นนี้แล้วเขาสามารถเดาได้ทันทีว่าคงจะมีพลังที่น่ากลัวมากทีเดียว
เมื่อเห็นภาพนี้ มันทำให้เขานึกถึงบันทึกที่อยู่ในสำนักเต๋าสวรรค์ของเขา ที่ได้มีการบันทึกเกี่ยวกับสัตว์ประเภทต่าง ๆ ในทันที และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็นึกถึงบางสิ่งที่ดูคล้ายกับสัตว์ประหลาดตัวนี้มาก เขาถามอย่างระมัดระวัง “นายท่าน ถ้าข้าจำไม่ผิดนี่น่าจะเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ควบคุมสายฟ้า วัวอัสนี ใช่ไหม?”
โม่เอ๋อหยิบมันขึ้นมาและมองไปที่สัตว์ประหลาดที่อยู่ในยันต์เคลือบหยก นางขมวดคิ้วอยู่นาน แต่คิดไม่ออกว่ามันคืออะไร เมื่อนางได้ยินซือโถวเหวินหยวนพูดแบบนี้ นางมองไปที่หลิงตู้ฉิงอย่างคาดหวังและถามว่า “นายท่าน มันคือ วัวอัสนี งั้นเหรอ?”
“ใช่!” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ด้วยระดับการบ่มเพาะของเจ้า เจ้าสามารถควบคุมมันได้ไม่ยาก แต่เจ้าต้องไม่เอาอย่างคนที่อยู่ข้าง ๆ เจ้าเด็ดขาด ข้าเคยมอบอสูรกลืนสวรรค์แก่เขา แต่เขาเกือบจะทำให้เมืองทั้งเมืองกลายเป็นเมืองร้าง!”
โม่เอ๋อมองไปที่ซือโถวเหวินหยวน ซึ่งอยู่ข้าง ๆ นางโดยไม่รู้ตัว เมื่อนางเห็นสีหน้าลำบากใจของซือโถวเหวินหยวน นางจึงรีบพูดว่า “นายท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะควบคุมมันให้ดี”
นอกเหนือจากความรู้สึกอึดอัด ซือโถวเหวินหยวนก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก และสถานการณ์ภายในสำนักหุบเขาบุปผาอนันต์ก็กลับมาเงียบสงบตามเดิม
ในทางกลับกัน ขณะนี้บรรยากาศภายนอกสำนักหุบเขาบุปผาอนันต์นั้นเริ่มที่จะคุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในหุบเขาบุปผาอนันต์ทำให้ผู้คนสงสัยและคาดเดาไปในทิศทางเดียวกันว่า หุบเขาบุปผาอนันต์จะต้องได้รับขุมทรัพย์จากสำนักโบราณมาอย่างแน่นอนและเมื่อบวกกับข่าวที่ว่า หลิวซ่งที่ได้ไปหุบเขาบุปผาอนันต์และพ่ายแพ้กลับไปในขณะที่นำสมบัติวิเศษระดับเซียนไปด้วย มันยิ่งยืนยันข่าวลือของสำนักหุบเขาบุปผาอนันต์ให้เป็นจริงเป็นจังยิ่งขึ้น
แต่ถึงแม้ว่าจะมีการแก้ข่าวจากศิษย์ของหุบเขาบุปผาอนันต์ว่า สิ่งที่พวกเขาได้รับมานั้นได้มาจากหลิงตู้ฉิง แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครเชื่อคำอธิบายนี้เลยสักคน
ทุก ๆ คนต่างคิดไปในทางเดียวกัน ใครจะเต็มใจช่วยเหลือคนอื่นขนาดนี้? โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสมบัติวิเศษระดับเซียนที่พวกนางอ้างว่าได้รับมาจากหลิงตู้ฉิง ซึ่งมันยิ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่ในสายตาของคนอื่น ๆ นอกสำนัก
ในขณะที่สำนักอื่น ๆ กำลังมีข้อสงสัยและยังไม่สามารถหาเหตุผลดี ๆ ในการจัดการกับสำนักหุบเขาบุปผาอนันต์ได้ แต่สำหรับสำนักกระบี่วารี ในตอนนี้พวกเขาได้มีข้ออ้างที่เหมาะสมเรียบร้อยแล้ว
ซึ่งพวกเขาประกาศเหตุผลง่าย ๆ ที่จะจัดการกับสำนักหุบเขาบุปผาอนันต์ว่า ‘เจ้าทำร้ายคนของข้า ดังนั้นเจ้าผิด!’
หลังจากประกาศข้ออ้างที่สั้น ๆ เช่นนั้นแล้ว สำนักกระบี่วารีก็เริ่มการเคลื่อนไหวเพื่อทวง ‘ความยุติธรรม’ จาก ‘หุบเขาบุปผาอนันต์’ ทันที ซึ่งคนที่เคลื่อนไหวในครั้งนี้ก็รวมไปถึงเจ้าสำนักสำนักกระบี่วารี ผู้ซึ่งมีระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับนักบุญขั้นสูงสุดที่เป็นคนออกโรงเอง
ในสายตาของสำนักกระบี่วารี การที่สำนักที่อ่อนแออย่างหุบเขาบุปผาอนันต์จะได้รับทรัพย์สมบัติมากมายตามที่ลือกันเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องที่พวกเขารับไม่ได้
หรือต่อให้แม้ว่าหุบเขาบุปผาอนันต์จะเจอสมบัติไม่มากมายอะไรเท่าไหร่ แต่ผู้ที่ควรจะได้รับมันก็สมควรที่จะเป็นพวกเขาไม่ใช่สำนักที่อ่อนแอเช่นนี้ที่ได้ประโยชน์ไป
ขณะนี้ที่ด้านนอก ผู้เชี่ยวชาญ 5 คนก็ได้มาถึงหุบเขาบุปผาอนันต์เรียบร้อยแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าผู้นำกลุ่ม 5 คนนี้คือ เจ้าสำนักสำนักกระบี่วารี และยังมีผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญอีก 1 คน และอีก 3 คน คือผู้เชี่ยวชาญระดับหลุดพ้นสามัญ
จากความแข็งแกร่งที่เห็นกันอยู่นี้ มันแสดงให้เห็นความแตกต่างของความแข็งแกร่งอย่างชัดเจนระหว่างหุบเขาบุปผาอนันต์และสำนักกระบี่วารีว่ามันยิ่งใหญ่มากเพียงใด
“ข้าขอทราบได้ไหมว่าพวกท่านมาที่นี่เพื่ออะไร?” เหวินลู่หยานถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ในใจของนางตอนนี้เต้นรัวราวกับกลองศึก นี่สำนักสำนักกระบี่วารียกโขยงกันมาขนาดนี้ หรือว่าพวกเขาตั้งใจที่จะทำลายสักนักของนางให้ราบเป็นหน้ากลองในวันนี้จริง ๆ งั้นเหรอ?
จู้กวงเหยาพูดขึ้นด้วยสีหน้านิ่งว่า “ผู้อาวุโสหลิวของสำนักของข้าอุตส่าห์หลงใหลในตัวเจ้า แต่เจ้ากลับไม่เห็นคุณค่าของความเมตตาของเขา แถมเจ้ากลับทำร้ายเขาจนบาดเจ็บสาหัสอีก นี่เจ้าคงไม่เห็นสำนักกระบี่วารีของข้าอยู่ในสายตาเลยสินะ?”
เหวินลู่หยานตอบกลับด้วยอารมณ์เดือดดาล “ถามจริง? ไอ้ความเมตตาที่พวกเจ้าพูดถึงมันคือการบังคับขืนใจให้ข้าไปเป็นภรรยาของเขาเนี่ยนะ แบบนี้น่ะเหรอที่พวกเจ้าเรียกว่าความเมตตา?”
“แล้วทำไมเจ้าไม่ลองไตร่ตรองสิ่งต่าง ๆ ให้ดี ๆ สักหน่อยล่ะ?” จู้กวงเหยาพูดต่อ “เจ้าก็เป็นแค่ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในระดับหลุดพ้นสามัญเท่านั้น ถือว่าเป็นโชคดีขนาดไหนแล้วที่เจ้าสามารถแต่งงานกับผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักของข้าได้ แต่นี่เจ้ากลับไม่รู้ผิดถูกดีชั่วใช้ค่ายกลของสำนักทำร้ายเขาจนอาการสาหัส ซึ่งทำให้ในวันนี้ข้าต้องมาที่นี่ด้วยตัวเองเพื่อสะสางปัญหา ไม่เช่นนี้ใคร ๆ เขาอาจจะเข้าใจผิดคิดได้ว่าสามารถกลั่นแกล้งสำนักกระบี่วารีของข้าได้ตามใจนึก”
เมื่อได้ฟังคำพูดอันยืดยาวอยู่นาน เหวินลู่หยานก็ถามขึ้นด้วยความรำคาญ “สรุปแล้วเจ้าต้องการอะไรกันแน่?”
อันที่จริงทั้งสองฝ่ายรู้ดีว่านี่ไม่ใช่ประเด็นหลัก ยิ่งไปกว่านั้นการที่เหวินลู่หยานไม่ฆ่าหลิวซ่งก็นับได้ว่าสุภาพมากแล้ว
จู้กวงเหยาพูดอย่างเฉยเมย “ผู้อาวุโสหลิวของข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส และต้องมีใครสักคนดูแลเขา ดังนั้นใครที่เป็นคนทำร้ายเขาต้องรับผิดชอบดูแลเขาจนกว่าเขาจะหายดี นอกจากนี้เพื่อเป็นการชดเชย ข้าจะยึดสำนักหุบเขาบุปผาอนันต์และสมบัติวิเศษของพวกเจ้าทั้งหมดเป็นค่าชดเชย”
“และอย่างสุดท้าย ข้าเคยได้ยินมาว่าวิชาการบ่มเพาะของสำนักหุบเขาบุปผาอนันต์ของเจ้านั้นมีประสิทธิภาพอย่างมากในการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ ดังนั้นเจ้าจงถ่ายทอดวิชานี้ของเจ้าให้กับผู้อาวุโสหลิวด้วยเพื่อให้เขาฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็ว เจ้าเองก็รู้ว่ากล้วยไม้หยกกำลังจะบานขึ้นในอีกไม่ช้า สำนักของข้ายังต้องการกำลังอาวุโสหลิวในการแย่งชิงมันจากสำนักอื่น ๆ”
ใบหน้าของเหวินลู่หยานซีดเซียว นางจะตกลงตามเงื่อนไขที่เขาพูดได้อย่างไร?
หากนางตกลง นางจะสูญเสียศักดิ์ศรีและหุบเขาบุปผาอนันต์จะถูกย่ำยี
“ฝันไปเถอะ!” เหวินลู่หยานพูดอย่างโกรธเคือง
ได้ยินการตอบกลับเช่นนี้ ท่าทีของจู้กวงเหยาเปลี่ยนไปเป็นเย็นชาทันทีและพูดว่า “ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่รู้ผิดชอบชั่วดีจริง ๆ เช่นนั้น ข้าจะจับพวกเจ้าทุกคนกลับไปที่สำนักของข้า! บรรดาศิษย์ชายหนุ่มของข้าจะได้มีคู่บ่มเพาะครบกันทุกคนสักที!”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้ากับข้าเราก็มาพินาศไปด้วยกัน!” เหวินลู่หยานตะโกนกลับด้วยสีหน้าไม่หวั่นเกรง ซึ่งเป็นการประกาศเริ่มการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ที่กำลังจะเริ่มขึ้น