พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 373 บุญหล่นทับตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์
บทที่ 373 บุญหล่นทับตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์
หลิงตู้ฉิงรู้สึกสับสน ขณะที่เขาเฝ้าดูสีเป่ยเซียะจากไป
ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงเปลี่ยนอารมณ์ได้เร็วขนาดนี้ได้กัน?
เมื่อครู่เขารู้สึกได้ถึงอารมณ์หลากหลายประเภทที่ปะทุขึ้นมาจากร่างกายของนาง ซึ่งในนั้นก็คืออารมณ์ความโกรธ
แต่ทำไมนางถึงต้องโกรธ?
เขาเองจำได้ว่าในตอนแรก เย่ชิงเฉิงก็โกรธเขาเช่นกัน แต่ผลสุดท้ายนางก็ตกหลุมรักเขานี่นา
หรือว่าผู้หญิงทุกคนจะเป็นแบบนี้?
ทำไมอารมณ์ของผู้หญิงมันช่างซับซ้อนได้ถึงขนาดนี้กัน!
หลิงตู้ฉิงอดไม่ได้ที่จะเกาหัวด้วยความรู้สึกสับสน
แต่เมื่อเขานำแร่ทองคำศักดิ์สิทธิ์ออกมาตรวจสอบอีกครั้ง หลิงตู้ฉิงก็รู้สึกดีใจขึ้นมาเล็กน้อยและพึมพำในใจ “ด้วยแร่ทองคำศักดิ์สิทธิ์ ข้าสามารถสร้างอาวุธสำหรับ *จุนเอ๋อ ได้ในอนาคต สำหรับหน้าที่การเป็นขุนพล หากปราศจากอาวุธที่ยอดเยี่ยม เขาจะไม่สามารถที่จะแสดงความแข็งแกร่งออกมาได้อย่างเต็มที่ เมื่อไหร่ที่ข้ามอบอาวุธที่เหมาะสมให้กับเขาได้ พลังของเขาจะต้องแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอีกเป็นอย่างมาก แม้ว่าแร่ทองคำศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้จะมีขนาดเล็กไปหน่อย แต่มันก็เกิดจากวิถีแห่งสำนักเบญจธาตุ มันคงไม่มีปัญหาอะไรหากจะใช้มันเพื่อสร้างอาวุธธรรมดาให้เขาไปก่อน”
*จุนเอ๋อ คือ หลิงว่านจุน
เมื่อตรวจสอบมันอีกรอบจนถี่ถ้วนและเก็บมันลงไปแล้ว เตาหลอมโอสถก็หยุดหมุนพอดีเช่นกัน ซึ่งมันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าโอสถเพลิงหยวนนั้นเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว
เมื่อหลิงตู้ฉิงเปิดเตาหลอมออก ด้านในเตานั้นมีโอสถที่มีเปลวเพลิงสีแดงอมส้มขนาดเท่าเม็ดลำไยอยู่ 1 เม็ด
“เมื่อข้ากินโอสถเพลิงหยวนนี้เข้าไปเมื่อไหร่ ร่างกายของข้าควรจะกลายเป็นร่างเพลิงวิญญาณและถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงร่างเพลิงวิญญาณระดับต่ำ แต่เมื่อไหร่ที่ในอนาคตมันยังสามารถพัฒนาต่อไปได้อีก พลังของมันก็จะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อย ๆ สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือเสื้อผ้าของข้าคงจะต้องไหม้ไปจนหมดแน่ ๆ หลังจากที่ข้ากลืนมันลงไป”
หลิงตู้ฉิงถือโอสถเพลิงหยวนและคิดต่อไป “ดูเหมือนว่าข้าคงต้องปิดผนึกรูขุมขนทั้งหมดของข้า และปล่อยให้โอสถเพลิงหยวนเปลี่ยนร่างกายของข้าให้เสร็จ มันถึงจะไม่มีปัญหา”
เขาใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดบนร่างกายของเขาปิดผนึกรูขุมขนทั้งหมดของเขา จากนั้นก็กลืนโอสถเพลิงหยวนทันที ส่งผลให้เปลวเพลิงจากโอสถเริ่มปะทุอยู่ภายในร่างกายของเขาทันที เพื่อป้องกันไม่ให้เปลวเพลิงเล็ดรอดออกจากร่างกาย หลิงตู้ฉิงจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเม้มปากของเขาให้แน่นและตั้งใจจดจ่อกับการดูดซับโอสถเพลิงหยวน
ในเวลาเดียวกัน หยุนจื่อรุ่ยก็วิ่งเข้ามาและรายงานว่า “นายท่าน ผู้อาวุโสหนานกงของตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์มาขอพบท่าน เขาบอกว่าเขาต้องการที่จะหารือเกี่ยวกับข้อตกลงกับท่าน”
หลิงตู้ฉิงเม้มปากแน่นและโบกมือให้หยุนจื่อรุ่ย แสดงออกว่าตอนนี้เขาไม่สะดวกและบอกให้หนานกงซ่งหยวนรอสักครึ่งวันเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ด้วยการแสดงท่าทางของเขาที่เอาแต่โบกมือไปโบกมือมาแบบนั้น ใครจะรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร?
“นายท่านจะให้เขากลับไปก่อนอย่างนั้นเหรอ?” หยุนจื่อรุ่ยนึกขึ้นได้ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปบอกให้เขากลับไปก่อนก็แล้วกัน”
เมื่อเห็นว่าหยุนจื่อรุ่ยกำลังจะจากไป หลิงตู้ฉิงก็รู้สึกกระวนกระวาย เนื่องจากว่าเขาเองก็กำลังต้องการที่จะแลกเปลี่ยนหยกวิญญาณแสงศักดิ์สิทธิ์จากหนานกงซ่งหยวน
ในเมื่อตอนนี้พวกเขามาหาเขาถึงที่แล้ว เขาจะปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอยไปได้ยังไง?
หลิงตู้ฉิงเปิดปากอย่างไม่มีทางเลือกและพูดว่า “ให้เขารอก่อน!”
แต่ทันทีที่เขาเปิดปาก เปลวเพลิงก็พุ่งออกมาจากปากของเขาจนเสียงดังสนั่น
โชคดีที่หยุนจื่อรุ่ยไม่ได้ยืนอยู่ตรงหน้าเขา มิฉะนั้นร่างของนางคงจะถูกไฟคลอกจนตายแน่นอน
หยุนจื่อรุ่ยตกใจและถามอย่างเร่งรีบ “นายท่าน! ท่านเป็นอะไรกัน!? พี่เสี่ยว! นายท่านถูกไฟคลอก!”
เมื่อนางเห็นเปลวเพลิงที่รุนแรงพุ่งออกมาจากปากของหลิงตู้ฉิง นางจึงเรียกหาเสี่ยวเยว่เฟิงด้วยอาการตื่นตระหนกทันที
เสี่ยวเยว่เฟิงเมื่อได้ยินเสียงร้องโวยวายนางจึงรีบกระโจนมาที่สวนด้านหลังทันที แต่เมื่อนางเห็นสภาพของหลิงตู้ฉิงตอนนี้ เสี่ยวเยว่เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
“ข้าไม่เป็นอะไร!” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ “ให้หนานกงซ่งหยวนรอข้าไปก่อน บอกกับเขาว่าข้าจะพบกับเขาแต่หลังจากที่เสร็จธุระ!”
หยุนจื่อรุ่ยมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาแปลกประหลาด การมีเปลวเพลิงพุ่งออกมาจากปากและดวงตา มันเป็นอาการของคนที่ไม่เป็นอะไรตรงไหนกัน?
เสี่ยวเยว่เฟิงที่เคยเห็นมามากกว่าหยุนจื่อรุ่ย นางจึงไม่ค่อยจะรู้สึกกังวลอะไรนัก
เสี่ยวเยว่เฟิงพยักหน้าและพูดว่า “นายท่าน ข้าจะไปบอกให้ผู้อาวุโสหนานกงรออีกหน่อยก็แล้วกัน”
หลังจากที่นางพูดจบ นางก็พาหยุนจื่อรุ่ยออกไป
หยุนจื่อรุ่ยกระซิบ “พี่สาว นายท่านปกติดีจริง ๆ หรือ?”
เสี่ยวเยว่เฟิงส่ายหัวและยิ้ม “จะมีอะไรเกิดขึ้นกับนายท่านได้ยังไง เอาล่ะเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องของนายท่านหรอก”
“ผู้อาวุโสหนานกง นายท่านกำลังยุ่งอยู่ ท่านอาจต้องรอสักครึ่งวัน”
หนานกงซ่งหยวนไม่รังเกียจและยิ้มตอบ “ได้ งั้นข้าขอนั่งรออยู่ที่นี่ก็แล้วกัน”
จากนั้นเขาก็เริ่มคุยกับเสี่ยวเยว่เฟิง
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน ในที่สุดหลิงตู้ฉิงก็ดูดซับโอสถเพลิงหยวนจนหมดและเดินออกมาจากสวนด้านหลังด้วยการเคลื่อนไหวที่ยังดูไม่ปกติดี เนื่องจากเปลวเพลิงในร่างของเขายังคงไม่เข้าที่ดีสักเท่าไหร่
“สรุปแล้วเจ้าพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนหยกวิญญาณแสงศักดิ์สิทธิ์กับข้าแล้วหรือยัง?” หลิงตู้ฉิงถามอย่างตรงประเด็น
หนานกงซ่งหยวนถามตอบด้วยสีหน้าที่ยังไม่ปล่อยวาง “ท่านไม่มีสิทธิ์ของเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับเหลืออยู่แล้วจริง ๆ งั้นเหรอ?”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “ตอนนี้ข้าไม่มี แต่ถ้าข้าบังเอิญได้รับกุญแจเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับอันใหม่เมื่อไหร่ ข้าจะกันไว้สิทธิ์หนึ่งให้แก่เจ้า”
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอขอบคุณท่านหลิงไว้ล่วงหน้า!” หนานกงซ่งหยวนพูดอย่างช่วยไม่ได้ “เอาเป็นว่าตอนนี้เรามาแลกเปลี่ยน หยกวิญญาณแสงศักดิ์สิทธิ์ กันก่อนก็แล้วกัน”
อันที่จริง หนานกงซ่งหยวนไม่ได้เก็บคำพูดของหลิงตู้ฉิงมาคิดอย่างเป็นจริงเป็นจังนัก
เขาได้แต่คิดในใจว่า หลิงตู้ฉิงจะไปหากุญแจดอกใหม่มาได้ง่าย ๆ จากที่ไหนได้กัน?
หลิงตู้ฉิงหยิบผลึกวิญญาณ 8 ชิ้นออกมาอย่างมีความสุข และส่งมอบมันให้กับหนานกงซ่งหยวนพร้อมกับหยิบก้อนหยกที่เปล่งแสงพราวออกมาจากมือของหนานกงซ่งหยวน
หลังจากได้รับหยกวิญญาณแสงศักดิ์สิทธิ์แล้ว หลิงตู้ฉิงก็พูดกับหนานกงซ่งหยวนด้วยรอยยิ้ม “บอกข้าได้ไหมว่าเป้าหมายของเจ้าในการเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับคืออะไร?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หนานกงซ่งหยวนลังเลเล็กน้อยเพราะเขาไม่อยากพูดเรื่องนี้
หลิงตู้ฉิงยิ้ม “ลองบอกข้ามาก่อน บางทีปัญหาของเจ้า ข้าอาจจะสามารถแก้ไขให้ได้โดยที่เจ้าไม่จำเป็นต้องส่งคนของเจ้าเข้าไปด้านในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับเลยก็ได้ หรือไม่ถ้าข้าช่วยแก้ไขให้ไม่ได้จริง ๆ ข้าก็สามารถที่จะนำสิ่งที่เจ้าต้องการที่อยู่ด้านในนั้นออกมาให้เจ้าก็ได้”
หนานกงซ่งหยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “พวกเราคนหนึ่งมีข้อบกพร่องอยู่ข้อหนึ่งที่ต้องได้รับการแก้ไข ซึ่งข้าต้องการส่งคนผู้นั้นเข้าไปด้านในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับเพื่อไปตามหาน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อเปลี่ยนร่างกายของเขาให้กลายเป็นร่างกายศักดิ์สิทธิ์ที่สมบูรณ์”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนว่า “หากมีร่างศักดิ์สิทธิ์ที่สมบูรณ์แล้ว การบ่มเพาะวิชาของตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าจะได้ผลลัพธ์เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว ซึ่งแน่นอนว่าคนผู้นั้นจะได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าของสำนักเจ้าแน่นอน”
“ถูกต้อง นั่นคือเหตุผลที่ข้าต้องการสิทธิ์การเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับเป็นอย่างมาก!” หนานกงซ่งหยวนยิ้มอย่างขมขื่น
หลิงตู้ฉิงคิดสักพักแล้วถามว่า “บุคคลนั้นมีข้อบกพร่องอะไรบ้าง?”
หนานกงซ่งหยวนไม่เต็มใจที่จะตอบ
หลิงตู้ฉิงพูดเบา ๆ ว่า “ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่บอกใคร ที่ข้าถามเจ้าเช่นนี้ก็เพราะข้าเห็นว่าเจ้านำหยกวิญญาณแสงศักดิ์สิทธิ์มาแลกเปลี่ยนกับข้า ซึ่งข้าก็เลยอยากจะตอบแทนอะไรเจ้าบ้างก็เท่านั้น แต่ถ้าเจ้ารู้สึกอึดอัดไม่อยากพูดถึง เจ้าก็จงลืมมันไปซะก็แล้วกัน”
หนานกงซ่งหยวนลังเลอยู่นานก่อนที่จะพูดด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “คนผู้นั้นมีพลังแห่งความมืดอยู่ในร่างกาย! และมันเป็นเพราะพลังแห่งความมืดที่อยู่ในร่างของเขานี้เองที่ทำให้เขาไม่สามารถมีร่างศักดิ์สิทธิ์ที่สมบูรณ์ได้”
หลิงตู้ฉิงมองไปที่หนานกงซ่งหยวนอย่างแปลกประหลาดและถามว่า “คนของเจ้าคนนี้อยู่ที่ไหน? ข้าคิดว่าถ้าเป็นอย่างที่ข้าเดาจริง ๆ ตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าก็ถือว่ามีวาสนาใหญ่แล้ว!”
หนานกงซ่งหยวนมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตางุนงง คนของเขาที่มีพลังแห่งความมืดอยู่ภายในร่างมันจะเป็นวาสนาของตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาไปได้ยังไง?
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของหลิงตู้ฉิงดูเหมือนว่าจะไม่ได้ล้อเล่นเช่นกัน เขาจึงพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “เพราะเป็นไปได้ว่าที่เราจะได้สิทธิ์เพื่อเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ ดังนั้นข้าจึงนำเขามากับข้าด้วย ซึ่งขณะนี้เขาอยู่ในเมืองหยูหลันแล้ว”
“พาเขามาให้ข้าตรวจสอบ!” หลิงตู้ฉิงสั่งขณะที่เขาเริ่มสนใจ