พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - บทที่ 382 ความวุ่นวายก่อนเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ
บทที่ 382 ความวุ่นวายก่อนเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ
หลังจากที่หลิงตู้ฉิงยื่นยันต์สั่งสวรรค์ให้กับเสี่ยวเยว่เฟิง แต่หญิงสาวในยันต์สั่งสวรรค์กลับมีท่าทีปฏิเสธ นางกลับลอยขึ้นไปลอยอยู่ด้านบนของค่ายกลกระบี่เหินเมฆาแทน
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหญิงสาวในยันต์สั่งสวรรค์เช่นนี้ หลิงตู้ฉิงก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “เอาล่ะเฟิง เจ้าไม่ต้องไปใส่ใจกับนาง”
หลังจากนั้นหลิงตู้ฉิงก็หันกลับมาและสั่งคนอื่น ๆ “มอบแหวนมิติทั้งหมดให้กับโม่เอ๋อและเฟิง พวกเจ้าไม่สามารถนำสิ่งของอื่น ๆ ทั้งหมดที่เกินระดับสวรรค์ติดตัวเข้าไปได้”
ในขณะที่เขาพูด เขาก็เริ่มที่จะยื่นสิ่งของของเขาออกไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาหยิบสิ่งของอื่น ๆ ในร่างกายออกมา หลิงตู้ฉิงก็หยิบยันต์เคลือบหยก 3 แผ่นออกมาแล้วเดินออกมาจากค่ายกลกระบี่เหินเมฆา เขามอบหนึ่งแผ่นให้กับลั่วหยุนและอีกแผ่นให้กับเย่หยูหลัน
“ถ้าเกิดปัญหาที่เจ้าไม่อาจรับมือได้ให้ใช้มัน ข้าคิดว่าข้าคงไม่ต้องบอกวิธีใช้” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้น “แต่พวกเจ้าทุกคนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่อาณาเขตของค่ายกลกระบี่เหินเมฆา เนื่องจากตอนนี้มันถูกเปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์แล้ว ดังนั้นอย่าโทษข้าทีหลัง ถ้าพวกเจ้าเข้าไปและถูกสังหารลง”
ลั่วหยุนยิ้มอย่างขมขื่น เขาที่เป็นถึงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชัน เหตุไฉนทำไมตอนนี้เขาถึงถูกปฏิบัติเหมือนกับคนรับใช้ได้แบบนี้กัน?
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้อารมณ์เขากำลังค่อนข้างดีอยู่ เขาจึงไม่เก็บเอาการกระทำที่ดูน่ารำคาญของหลิงตู้ฉิงมาถือสาหาความนัก เขามองดูยันต์เคลือบหยกที่อยู่ในมือและเริ่มตรวจสอบมัน
ซึ่งภาพที่ถูกวาดลงบนยันต์เคลือบหยกนั้นมันเป็นภาพของกระบี่!
เมื่อเห็นเช่นนี้ ลั่วหยุนก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับมันมากมายและเก็บมันลงไปในแหวนมิติพร้อมกับที่เย่หยูหลันก็ทำแบบนั้นเช่นกัน
จากนั้นหลิงตู้ฉิงก็ได้เดินกลับเข้าไปด้านในค่ายกลกระบี่เหินเมฆาและมอบยันต์เคลือบหยกแผ่นสุดท้ายให้กับโม่เอ๋อและพูดว่า “ถ้าค่ายกลกระบี่เหินเมฆาไม่สามารถแก้ปัญหาได้ให้ใช้สิ่งนี้แทน แต่เวลาเจ้าใช้มัน จงอย่าถือมันไว้ในมือของเจ้า เแค่โยนมันออกไปหาเป้าหมายเท่านั้นก็พอ”
ยันต์เคลือบหยกที่โม่เอ๋อได้รับมาด้านในของมันถูกวาดขึ้นเป็นรูปวัตถุทรงกลม ซึ่งนางเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
เย่ชิงเฉิงมอบปึกหนึ่งของโองการจักรพรรดิให้โม่เอ๋อและพูดว่า “นี่คืออำนาจของขอบเขตราชันตอนปลายที่พ่อของข้าทิ้งไว้ ว่าแต่สามี ตอนนี้ในตัวข้านั้นมีหินจันทราศักดิ์สิทธิ์ และหยกวิญญาณแสงศักดิ์สิทธิ์อยู่ในห้วงจิตสำนึก มันคงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”
หลิงตู้ฉิงยิ้ม “ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ตอนนี้พวกมันกำลังหลอมรวมกันเพื่อก่อตัวกลายเป็นสมบัติแห่งโชคชะตาประจำกายอยู่ภายในร่างของเจ้า ดังนั้นพวกมันจึงสามารถเข้าไปได้เพราะระดับของพวกมันจะคงอยู่ในระดับการบ่มเพาะเดียวกับของเจ้า เอาล่ะ ในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างพร้อมแล้ว พวกเรากลับเข้าไปด้านในรถม้าเพื่อเตรียมตัวเข้าไปกันก่อน! ลั่วเอ๋อ เจ้าเองก็ตามเข้ามารับกุญแจเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับไปด้วย พวกข้าจะเกาะติดไปกับร่างของเจ้าเพื่อเข้าไปด้านใน”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิง อี้ลั่วเอ๋อก็เดินตามหลิงตู้ฉิงและคนของครอบครัวเขาเข้าไปด้านในรถม้าและรับกุญแจเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับมา แต่นางรู้สึกสับสนกับคำพูดของหลิงตู้ฉิง
อย่างไรก็ตาม เปลือกตาของนางเริ่มกระตุก เนื่องจากหลิงตู้ฉิงและครอบครัวของเขาทุกคนจู่ ๆ กลับหดตัวเล็กลงจนมีขนาดเท่ากับเมล็ดงา ซึ่งจุดเล็ก ๆ เหล่านั้นก็ได้ไปเกาะอยู่บนมือของนางแทน
ทักษะวิชาเช่นนี้มันคืออะไรกัน!?
“นายท่าน…” อี้ลั่วเอ๋อร้องออกมาโดยไม่รู้ตัว
เมล็ดงาเล็ก ๆ พูดว่า “อย่าบอกใคร จงไปหาหลิงเฟิงและซือโถว จากนั้นก็เตรียมตัวเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับได้แล้ว!”
“เข้าใจแล้ว” อี้ลั่วเอ๋อรีบพูด หลังจากนั้นนางก็พาพวกเขาทั้งห้าเดินออกไปหาซือโถวเหวินหยวน และเสี่ยวหลิงเฟิงอย่างระมัดระวัง และพูดว่า “ข้าได้รับคำสั่งจากนายท่านให้พาพวกเจ้าเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับด้วยกัน!”
ซือโถวเหวินหยวนถามด้วยความประหลาดใจ “หืม? แล้วนายท่านและคนที่เหลืออยู่ที่ไหน?”
เขาไม่คิดว่าหลิงตู้ฉิงและคนของเขาจะยอมพลาดโอกาสเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับแน่นอน ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่ยอมเสียความพยายามมากมายเพื่อให้ได้มาอยู่จนถึงจุดนี้
อี้ลั่วเอ๋อพูดอย่างเรียบเฉย “เรื่องของนายท่านไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถเข้าไปยุ่งได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็เข้าไปกันเถอะ!” ซือโถวเหวินหยวนพยักหน้า หลังจากนั้นทั้งสามก็เดินออกจากค่ายกลกระบี่เหินเมฆาและมุ่งหน้าไปยังทางเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ
เมื่อร่างกายของอี้ลั่วเอ๋อได้สัมผัสกับหมอกสีดำที่อยู่รอบ ๆ ทางเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ กำแพงแสงก็ปรากฎขึ้นล้อมรอบพวกเขาทั้งสามไว้ด้านใน
เมื่อเห็นว่านางถูกกำแพงแสงล้อมไว้ แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลัง จากนั้นอี้ลั่วเอ๋อก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ด้วยกุญแจเพียงดอกเดียว พวกเขากลับสามารถเข้าไปในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับได้ถึง 8 คน!
ในขณะที่อี้ลั่วเอ๋อเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ ผู้คนมากมายที่อยู่รอบ ๆ นั้นก็เริ่มเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของทางเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับและจากนั้นก็มีใครบางคนที่ตะโกนขึ้น “มีใครบางคนเข้าไปในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับแล้ว!”
ทางเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับที่เคยเป็นสีดำสนิทแต่ในตอนนี้กลับมีกลุ่มแสงสีขาวที่ดูคล้ายเสาขนาด 8 คนโอบปรากฎขึ้นอยู่ตรงกลาง ภาพที่เด่นเช่นนี้ฝูงชนจะมองไม่เห็นได้อย่างไร?
หลายคนมองไปที่เสาสีขาวด้วยความอิจฉา
ในขณะที่เสาแสงสีขาวกำลังเคลื่อนเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ ผู้เชี่ยวชาญผู้หนึ่งที่อยู่ในระดับนักบุญ ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถทนกับภาพที่เห็นได้อีกต่อไป เขาจึงยกมือขึ้นและปล่อยพลังวิญญาณของตนเองไปยังเสาสีขาว
เย่หยูหลันที่เห็นภาพนี้เช่นกันแต่นางก็ไม่ได้ลงมือขัดขวางอะไร เนื่องจากนางไม่เห็นว่าหลิงตู้ฉิงและเย่ชิงเฉิงอยู่ในเสาแสงสีขาวนั่น
ลั่วหยุนเองก็ขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร และปล่อยให้ผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญผู้นั้นลงมือ
อย่างไรก็ตาม จู่ ๆ กระบี่บินสามเล่มก็พุ่งออกมาจากค่ายกลกระบี่เหินเมฆาพุ่งเข้าหาผู้เชี่ยวชาญผู้นั้นทันที และเมื่อผู้เชี่ยวชาญผู้นั้นรู้สึกถึงพลังของกระบี่บินที่กำลังพุ่งเข้ามาหาเขาจึงรีบถอนมือของเขากลับอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาโบกสมบัติระดับสวรรค์ในมือของเขา เข้าป้องกันกระบี่บินทั้งสาม
หลังจากที่ป้องกันกระบี่บินได้จนหมด ผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญผู้นั้นก็ไม่มีความตั้งใจที่จะโจมตีอี้ลั่วเอ๋อต่อ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญผู้นั้นจะพลาดไป แต่ก็เหมือนกับว่าการกระทำของเขาจะไปสะกิดต่อมอะไรบางอย่างของผู้คนเข้า เพราะแทบจะทันทีที่เขาถอนตัวไป ผู้เชี่ยวชาญอีก 8 คนก็โจมตีอี้ลั่วเอ๋อต่อทันที นอกเหนือจากนั้นยังมีลำแสงอีก 2 สายยิงไปทางอี้ลั่วเอ๋อด้วยเช่นกัน
ในเวลาเดียวกัน อำนาจของค่ายกลกระบี่เหินเมฆาก็ถูกโคจรเพิ่มขึ้นไปอีกระดับ จากนั้นกระบี่บิน 8 เล่มก็บินออกมาสังหารผู้ที่ลงมือโจมตีเมื่อครู่แทบจะในทันที
ขณะเดียวกัน ลูกศร 2 ดอกก็พุ่งออกมาจากค่ายกลกระบี่เหินเมฆาและชนเข้ากับลำแสงทั้ง 2 สายจนสลายหายไป
เสี่ยวเยว่เฟิง ซึ่งใช้ลูกศรอีก 2 ดอกที่เหลือในยันต์เคลือบหยกอย่างไม่แยแส มองไปยังผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นนางมองไปที่โม่เอ๋อที่กำลังควบคุมค่ายกลกระบี่เหินเมฆา เพื่อส่งสัญญาณให้โม่เอ๋อทราบว่าหากใครก็ตามที่กล้าขยับตัวจะต้องถูกฆ่าทันที
“พวกเจ้าทุกคนก็ตามเข้าไปได้แล้ว” กู่ตงฉิงพูดกับหานซ่งหยวนและคนอื่น ๆ
หานซ่งหยวนและคนอื่น ๆ ต่างพยักหน้า จากนั้นก็เดินไปที่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับและกำแพงแสงแบบเดียวกันก็ปรากฏขึ้นห่อหุ้มพวกเขาทั้งสามไว้
ซึ่งเมื่อภาพเช่นนี้ได้ปรากฎขึ้นอีกครั้ง เหล่าผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ก็มีความคิดเช่นเดิมนั่นคือการพยายามลอบโจมตีคนกลุ่มใหม่ที่กำลังจะเข้าไป เพื่อที่จะแย่งสิทธิ์ในการเข้ามาให้กับลูกหลานของตนเองที่มาด้วย
แต่แล้วก่อนที่จะมีใครได้ลงมือ จู่ ๆ ทันใดนั้นทุกคนก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนอย่างรุนแรงของพลังวิญญาณที่อยู่ไม่ไกลจากพวกเขา
กองทัพของอาณาจักรมังกรทะยาน ขณะนี้ได้ปลดปล่อยอำนาจจนถึงขีดสุดของค่ายกลตัวเองออกมาเข้าปะทะกับเจตจำนงแห่งดาบที่ก่อตัวเป็นรูปร่างดาบยาวหลายสิบกิโลเมตร ซึ่งเมื่อมันปะทะกัน ดาบขนาดมหึมาได้ตัดผ่านอำนาจของค่ายกลได้อย่างง่ายดายราวกับว่ามันเป็นเพียงแค่กระดาษบาง ๆ และแยกกระบวนทัพของกองทัพอาณาจักรมังกรทะยานออกจากกันเป็นสองส่วน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากจากแรงระเบิดและความผันผวนของพลังวิญญาณที่ก่อตัวขึ้นจากการโจมตีนี้
ไม่มีใครมีทางรู้ได้ว่ามีผู้เสียชีวิตจากการโจมตีที่รุนแรงเพียงครั้งเดียวนี้กี่คน
เมื่อกระบวนทัพถูกทำลายลง จักรพรรดิอู่ไท่ฉวนแห่งอาณาจักรมังกรทะยานก็ตะคอกขึ้นด้วยความโกรธแค้น “นี่พวกเจ้าทำขนาดนี้มันจะไม่เกินไปหน่อยงั้นเหรอ? พวกเจ้าถึงขนาดใช้อาวุธระดับจักรพรรดิกับกองทัพธรรมดาได้ยังไง?”
เทียนหยูเฮงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นี่เจ้าคิดว่าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับเป็นของเจ้างั้นเหรอไง? แค่ข้าไม่ฆ่าพวกเจ้าให้ตายให้หมดตอนนี้มันก็ถือว่าข้าเมตตามากแล้ว ถ้าเจ้ายอมรับไม่ได้ก็ไปตามคนที่หนุนหลังเจ้ามาเจอกับข้าซะ แต่อย่าลืมบอกกับคนที่หนุนหลังเจ้าด้วยว่าข้าคือ เทียนหยูเฮงจากสันเขาทรราช!”
ในขณะที่พูดจบ เทียนหยูเฮงก็รีบพาคนของเขามาที่ทางเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับและทันเวลาที่จะเห็นอี้ลั่วเอ๋อ สีอี้เฉิงและคนอื่น ๆ ที่กำลังค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ ซึ่งเขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาทันที “พวกข้าต้องได้หนึ่งสิทธิ์การเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีผู้ใดที่สามารถเข้าไปได้ในวันนี้!”